ธุรกิจ
Michelin เผยพัฒนาการตลาดยางล้อ และการปฏิรูปโรงงาน
Florent Menegaux ประธานกรรมการบริหารกลุ่ม Michelin เปิดเผยว่า ในช่วง 2-3 ปีมานี้ ตลาดยานยนต์ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงเชิงลึก โดยในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ความต้องการและรูปแบบการใช้ยานยนต์ของผู้บริโภคทุกที่ทั่วโลกเปลี่ยนไปอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากคุณสมบัติของยานยนต์ที่มีน้ำหนักมากขึ้น ปรับแต่งได้ตามต้องการมากขึ้น ให้ความสะดวกสบาย และปลอดภัยมากขึ้น ตลอดจนการเกิดขึ้นของธุรกิจแบ่งปันรถใช้ (Car Sharing) และพัฒนาการของธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ (Leasing) ยิ่งกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อม ที่เข้มงวดมากขึ้นเรื่อยๆ ยังส่งผลกระทบสำคัญต่อตลาดยานยนต์หลายแห่ง
Michelin จัดกิจกรรมวันสื่อมวลชนสากล (International Media Day) ขึ้นเป็นครั้งแรก ณ โรงงานอุตสาหกรรมในเมือง Cuneo ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นโรงงานผลิตยางรถยนต์ขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันตก และเป็นหนึ่งในโรงงานที่ทันสมัยที่สุด เพื่อเผยแพร่ข้อมูลความคืบหน้าเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางยุทธศาสตร์ 2 ด้านหลักของกลุ่ม Michelin ได้แก่
-พัฒนาการของตลาดยางล้อ ท่ามกลางบริบทความต้องการใหม่ๆ ของผู้ขับขี่ และผู้ผลิต ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
-การปฏิรูปโรงงาน Michelin ท่ามกลางความท้าทายใหม่ๆ ทั้งด้านมนุษย์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม
ในโอกาสนี้ Michelin เน้นเรื่องการให้ความสำคัญกับพันธกิจด้านสิ่งแวดล้อมขององค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป้าหมายที่จะผลิตยางโดยใช้วัสดุที่ยั่งยืน 100 % ภายในปี 2593
ในบริบทดังกล่าว Michelin เป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อกระแสหลักในตลาดยางล้อ
1. การเพิ่มจำนวนขนาดยางล้อ เพื่อรองรับยานยนต์ที่มีน้ำหนักมากขึ้น แนวโน้มนี้ส่งผลโดยตรงต่อปริมาณการใช้เชื้อเพลิง และการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ท่ามกลางความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและการขาดแคลนทรัพยากร แต่ Michelin ตอบโจทย์นี้ได้อย่างลงตัวด้วยเทคโนโลยี ยกตัวอย่างเช่น การลดแรงต้านทานการหมุนของยางล้อซึ่งไม่เพียงช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้ถึง 3.4 พันล้านลิตร ตลอดอายุการใช้งานยางล้อในปี 2564 แต่ยังส่งผลต่อเนื่องโดยช่วยลดการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ 8.7 ล้านเมตริกตัน เมื่อเทียบกับปี 2553 ทั้งนี้ Michelin มุ่งมั่นที่จะทุ่มเทความพยายามอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2573 เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้ดีขึ้นอีก 10 % (ตามข้อมูลของ Michelin)
2. ยางสำหรับทุกฤดูกาล (All-Season Tire) ได้รับการพัฒนาอย่างจริงจังในยุโรป ยางสำหรับทุกฤดูกาล ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยได้รับความนิยมจากผู้ขับขี่ในภูมิภาคยุโรป กลับประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นโดยมียอดขายสูงขึ้นถึง 3 เท่า ยางประเภทนี้ไม่เพียงใช้งานง่าย แต่ยังให้สมรรถนะที่ดีเยี่ยมด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้าซึ่ง Michelin พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษ ทั้งนี้ กลุ่ม Michelin คาดว่าตลอดระยะ 5 ปีข้างหน้า ตลาดยางประเภทนี้ในยุโรปจะเติบโตมากกว่า 11 %
ปัจจัยส่งเสริมความสำเร็จดังกล่าว ได้แก่
-การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และการที่หิมะตกโดยไม่คาดคิด
-การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบต่างๆ ของยุโรป
-ข้อได้เปรียบสำหรับผู้บริโภคเนื่องจากไม่จำเป็นต้องมียางล้อ 2 ชุด
-พัฒนาการของธุรกิจเดินรถขนส่ง และธุรกิจสินเชื่อยานยนต์
3. ระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าได้รับความนิยมสูง การพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าทำให้ยางล้อมีบทบาทสำคัญ เนื่องจากยานยนต์ไฟฟ้ามีสมรรถนะและข้อจำกัดเฉพาะตัว จึงมีความต้องการใช้ยางล้อที่มีคุณสมบัติสูงกว่ายางสำหรับใช้งานกับยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบสันดาปภายใน
เพื่อสมรรถนะที่ดี ยางสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าจำเป็นต้องมีคุณสมบัติสำคัญ 4 ด้าน ได้แก่
-อายุใช้งานที่ยาวนาน เนื่องจากยานยนต์ไฟฟ้ามีแรงบิดสูงกว่าปกติเมื่อเร่งเครื่องและผ่อนคันเร่ง
-แรงต้านทานการหมุนของยางล้อ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับระบบอัตโนมัติของยานยนต์ไฟฟ้า
-การรับน้ำหนักบรรทุก ซึ่งถือเป็นปัจจัยพื้นฐานเนื่องจากต้องรองรับน้ำหนักของแบทเตอรีรถด้วย
-การลดเสียงรบกวน ทั้งนี้ 70 % ของระดับเสียงรบกวนที่เกิดจากยานยนต์ไฟฟ้ามาจากการขับขี่ไม่ใช่จากเครื่องยนต์
ความต้องการข้างต้นถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับ Michelin ในการนำเทคโนโลยี และความเชี่ยวชาญที่มีมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
โรงงานที่มุ่งปฏิรูปเชิงลึก
ในกิจกรรมวันสื่อมวลชนนานาชาติครั้งแรกนี้ Michelin ยังได้เผยถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังดำเนินอยู่ ณ โรงงานของกลุ่ม Michelin โดยตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา กลุ่มมิชลินได้ดำเนิน “การปฏิรูป 3 ด้าน” (Triple Revolu tion) ในโรงงานผลิต ได้แก่
-การปฏิรูปเชิงมนุษย์ (Human Revolution) ผ่านการตั้งคำถามเชิงลึกในเรื่องเป้าหมายการจัดโครงสร้างองค์กร และพันธกิจ
-การปฏิรูปทางเทคโนโลยี (Technological Revolution) ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทอล และเทคโนโลยีด้านข้อมูลมาใช้ในวงกว้าง
-การปฏิรูปทางสิ่งแวดล้อม (Environmental Revolution) บนฐานความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาอย่างยั่งยืนดำเนินไปด้วยกันได้อย่างสมดุล
โรงงานเชิงมนุษย์ (Human Factories): ภายใต้โมเดลภาวะผู้นำ Michelin ได้เริ่มดำเนินการปฏิรูประบบการทำงานด้วยแนวคิดการให้อำนาจตัดสินใจแก่พนักงาน (Empowerment) ซึ่งปัจจุบันส่งผลเชิงบวกให้เห็นอย่างชัดเจน โดย Michelin ได้นำนวัตกรรมการจัดการที่มีความแปลกใหม่นี้มาพัฒนาใช้ในโรงงานเป็นเวลา 15 ปีแล้ว เพื่อปรับปรุงการทำงานของทีมงานฝ่ายผลิตให้ดีขึ้น ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงเชิงลึกนี้ช่วยส่งเสริมให้โรงงานของ Michelin มีผลประกอบการทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทั้งยังทำให้การประกอบอาชีพด้านอุตสาหกรรมเป็นที่น่าสนใจยิ่งขึ้น อีกทั้งกลุ่ม Michelin ยังลงทุนอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาคุณภาพการพูดคุยทางสังคม (Social Dialog) โดยเฉพาะที่ผ่านความร่วมมือกับพนักงาน และองค์กรสหภาพแรงงาน ซึ่งจะได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และจริงจังตลอดระยะ 10 ปีข้างหน้า
โรงงานเชิงเทคโนโลยี (Technological Factories): Michelin ปฏิรูประบบอุตสาหกรรมขององค์กรด้วยการปรับกระบวนการทำงานให้เข้าสู่ระบบดิจิทอล และการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) มาใช้งานตลอดระยะ 5 ปีที่ผ่านมาได้มีการจัดเก็บข้อมูลสำหรับนำกลับมาใช้ภายใต้สภาพแวดล้อมในการทำงานแบบประสานความร่วมมือกัน เทคโนโลยีโรงงานอัจฉริยะ หรือ Factory 4.0
* โรงงานของ Michelin ในที่นี้ครอบคลุมโรงงานของ Camso แต่ไม่รวมโรงงานของ Fenner
ซึ่งผสานการทำงานของหุ่นยนต์เข้ากับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ส่งผลให้การปฏิรูปดำเนินไปได้เร็วขึ้นถึง 10 เท่า โดยเฉพาะเรื่องการเพิ่มคุณภาพการผลิต และความยืดหยุ่น นอกจากนี้ยังช่วยยกระดับสภาพแวดล้อมในการทำงาน และคุณสมบัติของพนักงาน นวัตกรรมเหล่านี้เป็นปัจจัยส่งเสริมให้ ?รแ้ำสรื บรรลุผลกำไรรายปีที่มีมูลค่าราว 60 ล้านยูโร
โรงงานเชิงนิเวศ (Ecological Factories): ระหว่างปี 2548-2562 ?รแ้ำสรื ลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากโรงงานผลิตลงได้แล้วราวกึ่งหนึ่ง แต่เป้าหมายที่กลุ่ม ?รแ้ำสรื ตั้งไว้สูงกว่านั้นมาก ซึ่งก็คือ การบรรลุปริ มาณการปล่อยมลพิษเป็น 0 (Zero Net Emissions) ภายในปี 2593 โดยมีเป้าหมายระยะกลางอยู่ที่การลดปริมาณการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ลง 50 % ในช่วงปี 2553-2573 การรับมือกับความท้าทายดังกล่าวจะบรรลุผลได้ก็ต่อเมื่อกลุ่ม Michelin เร่งสร้างการรับรู้ และการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Energy) ทั้งนี้ Michelin ไม่ได้ต้องการเพียงลดผลกระทบของแกสคาร์บอนไดออกไซด์เท่านั้น แต่กลุ่ม Michelin ยังมุ่งมั่นที่จะลดปริมาณการใช้น้ำลงให้ได้มากกว่า 30 % ภายในปี 2573 อีกด้วย
Michelin นำเสนอยางล้อ 2 รุ่น ซึ่งผลิตจากวัสดุที่ยั่งยืนในสัดส่วนสูง และผ่านการรับรองสำหรับใช้งานบนท้องถนนทั่วไปแล้ว
Michelin รุกสู่ความก้าวหน้าอีกขั้นด้วยการเปิดตัวยางรถยนต์ และยางรถโดยสาร 2 รุ่น ซึ่งผลิตจากวัสดุที่ยั่งยืนในสัดส่วนสูงถึง 45 % และ 58 % ตามลำดับ ความก้าวหน้าดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของ Michelin ที่จะบรรลุเป้าหมายในการผลิตยางล้อโดยใช้วัสดุที่ยั่งยืน 100 % ภายในปี 2593 โดยยางทั้ง 2 รุ่นนำเทคโนโลยีแห่งอนาคตปี 2568 สำหรับการผลิตสินค้าครั้งละมากๆ (Mass Production) มาใช้ ความก้าวหน้าเหล่านี้ซึ่งเกิดขึ้นจากความเชี่ยวชาญของมิชลินในด้านวัสดุ การวิจัย และพัฒนา และการร่วมพันธมิตรกับธุรกิจสตาร์ทอัพด้านนวัตกรรม (Innovatory Startups) จะเป็นประโยชน์ต่อผลิตภัณฑ์ทุกประเภทของกลุ่ม Michelin ทั้งนี้ การนำวัสดุที่ยั่งยืนมาใช้ในการพัฒนายางล้อเป็นพันธกิจหนึ่งที่กลุ่ม Michelin ให้ความสำคัญภายใต้บริบทของการดำรงไว้ซึ่งสมรรถนะที่เหนือกว่า และการใส่ใจไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในทุกขั้นตอนของวัฏจักรผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การออกแบบ การผลิต การขนส่ง การใช้งาน และการนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ หรือรีไซเคิล (Recycling)
“Michelin ปฏิรูปองค์กรอย่างต่อเนื่องมาตลอด โดยมุ่งรับมือกับความท้าทายของตลาดยางล้อที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอด้วยเครื่องมือทางอุตสาหกรรมที่เป็นนวัตกรรมใหม่ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทั้งยังเป็นเครื่องมือที่มนุษย์มีบทบาทสำคัญ วัฒนธรรมซึ่งมุ่งเน้นนวัตกรรมของทีมงาน Michelin ช่วยขับเคลื่อนให้กลุ่ม Michelin คาดการณ์ และคิดค้นโซลูชันใหม่ๆ ได้ทุกวันเพื่อตอบสนองความคาดหวังของลูกค้า และสังคม ด้วยเหตุนี้ เราจึงเชื่อมั่นว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของเรา ทั้งในธุรกิจยาง ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับยาง และธุรกิจอื่นนอกเหนือจากยาง ได้อย่างแน่นอน”
ABOUT THE AUTHOR
นุสรา เงินเจริญ
บรรณาธิการข่าวธุรกิจและสังคม รักการอ่าน ขอบงานเขียน ชอบพบปะผู้คน ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ผู้บริหารในวงการยานยนต์ไทย ท่องเที่ยว เป็นประสบการณ์ที่ดี พร้อมได้ เปิดโลก ได้พัฒนาตัวในแวดวงสื่อสารมวลชน
ภาพโดย : บริษัทผู้ผลิตคอลัมน์ Online : ธุรกิจ (บก. ออนไลน์)