ธุรกิจ
Ford Ranger Raptor ได้รับแรงบันดาลใจจาก Mustang
Ford Ranger Raptor นับเป็นรถกระบะสมรรถนะสูงที่สุดในตระกูล Ranger เจ้าของฉายา "เกิดมาแกร่ง" ดุดันด้วยกระจังหน้าประดับตัวอักษร F-O-R-D ที่เป็นเอกลักษณ์ ไปจนถึงเส้นสายด้านข้างตัวถังที่เน้นความแข็งแรง และการออกแบบที่คำนึงถึงหลักอากาศพลศาสตร์เพื่อลดแรงเสียดทาน เพิ่มสมรรถนะ และประสิทธิภาพของรถกระบะคันนี้อีกด้วย
เดวิด ไกรซ์ หัวหน้าวิศวกรพแลทฟอร์ม Ranger และ Everest กล่าวว่า ตัวถังภายนอกใหม่ที่ดึงดูดสายตา และเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร V6 เทอร์โบคู่ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจน เพื่อเพิ่มสมรรถนะให้แก่ Ford Ran ger Raptor เจเนอเรชันใหม่ นอกจากนี้ เรายังให้ความสำคัญกับรายละเอียดอีกมากมายที่อาจมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่เป็นสิ่งที่จะทำให้ลูกค้าสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของรถรุ่นใหม่อย่างแท้จริง
หนึ่งในสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่านั้นก็คือ การออกแบบตัวถัง ซึ่ง Ford Ranger Raptor ผ่านการทดสอบระบบอากาศพลศาสตร์ ทั้งแบบเสมือนจริง และการทดสอบทางกายภาพราว 700 ชม. โดยอาศัยหลักพลศาสตร์การไหลเชิงคำนวณ ซึ่งสามารถคำนวณ และรายงานผลจากการปรับการออกแบบได้ทันที
นักออกแบบ และวิศวกรยังใช้ต้นแบบที่หลายคนนึกไม่ถึงมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบการไหลเวียนของอากาศบริเวณรอบล้อ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดแรงเสียดทานที่สำคัญของรถ และแม้ว่า Ford Mustang กับ Ford Ranger Raptor จะเป็นรถยนต์ที่มีความแตกต่างกันมาก แต่ทีมพัฒนารถ Ford Ranger ในประเทศออสเตรเลียก็ได้นำเทคนิคที่ทีมพัฒนารถ Ford Mustang ในทวีปอเมริกา คิดค้นขึ้นมาปรับใช้เพื่อจัดการการไหลเวียนของอากาศบริเวณรอบล้อ และซุ้มล้อของรถ Ford Ranger Raptor ได้อย่างดีเยี่ยม
ความสำคัญของหลักอากาศพลศาสตร์ในการออกแบบรถกระบะ
ในอดีต การออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนารถกระบะเลย แต่เมื่อลูกค้ามีความต้องการใช้งานรถกระบะแบบอเนกประสงค์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้เพื่อทำงาน การใช้ชีวิตกับครอบ ครัว หรือการเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อน นักออกแบบจึงต้องพัฒนารถให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากขึ้น ทั้งด้านรายละเอียดความประณีต และการประหยัดน้ำมัน
ดร. นีล ลูวิงตัน ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค และหัวหน้าฝ่ายอากาศพลศาสตร์ของ Ford ออสเตรเลีย กล่าวว่า การปรับดีไซจ์นพื้นฐานของรถกระบะให้เป็นไปตามหลักอากาศพลศาสตร์ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นักออกแบบต้องเอา ชนะอุปสรรคมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ด้านหน้าขนาดใหญ่ ช่องซุ้มล้อ ท้ายห้องโดยสารแบบ 4 ประตู ที่ตัดตรงในแนวตั้งเพื่อเชื่อมกับกระบะท้ายที่เปิดรับลม
“การปรับงานออกแบบเพียงเล็กน้อย อาจช่วยพัฒนาประสิทธิภาพทางอากาศพลศาสตร์ได้เป็นอย่างมาก” ดร. ลูวิงตัน กล่าวเสริม
“สำหรับ Ford Ranger Raptor เจเนอเรชันใหม่ เราเน้นที่ส่วนสำคัญหลายอย่างทั้งการสร้างม่านอากาศกั้นบริเวณล้อหน้า และหลังเพื่อลดแรงเสียดทาน ปรับเสา C ใหม่ เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของอากาศเหนือกระบะท้าย และการออกแบบฝาครอบขอบกระบะ และสปอยเลอร์บนฝาปิดกระบะท้ายให้เสริมกัน”
การจัดการระบบไหลเวียนอากาศบริเวณรอบซุ้มล้อ และบันไดข้าง
ดร. ลูวิงตัน กล่าวว่า ล้อรถยนต์ คือ แหล่งกำเนิดหลักของแรงต้าน หากใช้ผ้าจริงๆ มาทำม่านคลุมล้อเพื่อทำให้ลมไหลเวียนบริเวณรอบๆ ล้อนั้นได้ ก็คงดูตลก นักออกแบบ และวิศวกรของ Ranger Raptor จึงใช้แรงบันดาลใจเรื่องม่านอากาศจาก Ford Mustang มาพัฒนาต่ออย่างชาญฉลาดโดยการออกแบบกันชนหน้า และไฟตัดหมอกเพื่อชาร์จลมที่ด้านหน้ารถ และสร้างม่านอากาศที่บริเวณล้อหน้า
ชุดกันชนหน้า และกรอบไฟตัดหมอกได้รับการออกแบบให้ดักกระแสลมผ่านเข้าทางร่องข้างไฟตัดหมอกไปยังล้อหน้า และไหลไปตามด้านข้างตัวถัง ดร. ลูวิงตัน บอกว่าการออกแบบนี้มีข้อดี 2 ประการ คือ ช่วยลดแรงต้านสูงที่บริเวณด้านหน้ารถ และยังใช้กระแสลมที่มีโมเมนตัมสูงเข้าไปลดทอนลมที่เกิดโดยธรรมชาติจากล้อหน้า
“การจัดการการไหลของอากาศบริเวณรอบล้อสำคัญต่อการปรับปรุงประสิทธิภาพทางอากาศพลศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อเน้นสมรรถนะ การขับขี่ในเมือง หรือประโยชน์ใช้สอยอื่นๆ แต่สำหรับ Ford Ranger นอกจากการเพิ่มม่านอากาศที่ล้อหน้าแล้ว เรายังพัฒนาสปอยเลอร์กันยางที่ส่วนหน้าของล้อหลังเพื่อลดแรงเสียดทานจากยางหลังอย่างมีประสิทธิภาพ และลดความสี่ยงที่กระแสลมจะกระทบระบบช่วงล่างและบันไดเหยียบข้างกระบะท้าย” ดร. ลูวิงตัน กล่าว
บันไดเหยียบข้างกระบะท้ายนับเป็นการออกแบบอันชาญฉลาดที่ช่วยให้ผู้ใช้งานขึ้นลงจากด้านข้างกระบะได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องเหยียบล้อหลังเพื่อขึ้นกระบะอีกต่อไป ทีมนักออกแบบมั่นใจว่า บันไดเหยียบข้างกระ บะท้ายแทบไม่ส่งผลกระทบต่อแรงเสียดทานตามหลักอากาศพลศาสตร์ ดร. ลูวิงตัน ยังเน้นย้ำว่า Ford ยังคงมุ่งมั่นตั้งใจพัฒนารถเพื่อมอบประสบการณ์ใช้งานที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ลูกค้าอยู่เสมอ
ดร. ลูวิงตัน กล่าวว่า บันไดเหยียบข้างกระบะท้ายอยู่ก่อนล้อหลังเพียงเล็กน้อย จึงไม่มีผลกระทบต่อการต้านทานอากาศมากนัก อุปกรณ์นี้จึงเป็นประโยชน์ต่อทั้งลูกค้า และตัวรถ คือ ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีขึ้นจากการใช้งานรถ และตัวรถก็ไม่ได้รับผลกระทบด้านอากาศพลศาสตร์
ปรับรูปทรงกระบะท้ายใหม่
ดร. ลูวิงตัน กล่าวว่า ทีมนักออกแบบได้ปรับรูปทรงของเสา C ฝาครอบขอบกระบะท้าย และสปอยเลอร์บนฝาปิดกระบะท้าย เพื่อให้การไหลเวียนของอากาศเหนือกระบะและรอบกระบะท้ายดีขึ้น ทำให้มั่นใจได้ว่ากระบะท้ายได้รับการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์อย่างดีที่สุด
“การไหลเวียนของอากาศเหนือกระบะท้ายส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพทางอากาศพลศาสตร์โดยรวมของรถ รูปทรงของรถจึงมีส่วนสำคัญในการกำหนดปริมาณอากาศไหลเวียนในที่ว่างเหนือกระบะ” ดร. ลูวิงตัน กล่าว
“จากการปรับแต่งรูปทรงหลังคา และเสา C อย่างประณีตเพื่อให้สอดรับกับรูปทรงของฝาครอบขอบกระบะท้าย และสปอยเลอร์บนฝาปิดกระบะท้าย เราจึงควบคุมปริมาณอากาศไหลเวียน และลดการต้านทานตามหลักอา กาศพลศาสตร์ลงได้”
ถึงแม้ Ford จะออกแบบส่วนหน้าของรถให้มีขนาดใหญ่ และดุดัน แถมยังมีซุ้มล้อที่กว้าง แต่แรงต้านอากาศโดยรวมของ Ford Ranger Raptor เจเนอเรชันใหม่ ลดลงไปถึง 3 % ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มการยึดเกาะถนน และลดเสียงรบกวนในห้องโดยสารแล้ว ยังช่วยให้รถกินน้ำมันน้อยลง เนื่องจากแรงต้านอากาศจากการวิ่งบนทางหลวงที่ลดลงทุกๆ 3 % เทียบได้กับการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงลง 1 %
Ford Ranger Raptor
Ford Ranger Raptor เจเนอเรชันใหม่ มาพร้อมตัวเลือกเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร Eco Boost V6 เทอร์โบคู่ ที่มอบพละกำลัง 397 แรงม้า และแรงบิด 59.4 กก.-ม. หรือ 583 นิวตันเมตร และตัวเลือกเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 210 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 51.0 กก.-ม. หรือ 500 นิวตันเมตร ผสานการทำงานกับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ทรงพลังด้วยโหมดการขับขี่ที่เลือกได้ถึง 7 แบบ รวมถึงโหมด Baja จึงทำให้เรียกได้ว่าเป็นรถกระ บะตระกูล Ranger ที่ทรงพลังที่สุดที่เคยมีมา
นอกเหนือจากระบบเชื่อมต่อการสื่อสารที่ล้ำสมัยแล้ว Ford Ranger Raptor รุ่นเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร ยังมีระบบควบคุมเฟืองท้ายแบบ Locking Differentials ทั้งด้านหน้า และหลัง พร้อมชอคอับแบบ Live Valve จาก Fox และเทคโนโลยีช่วยในการขับขี่อัจฉริยะอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงระบบ Active Valve Exhaust ที่ปรับระดับเสียงท่อ 4 โหมดได้อีกด้วย
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ
ภาพโดย : บริษัทผู้ผลิต
คอลัมน์ Online : ธุรกิจ (บก. ออนไลน์)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/online/458158