ระเบียงรถใหม่
Toyota Land Cruiser 250 เอสยูวีจอมลุย ดีไซจ์นย้อนยุค
การผลิต Toyota Land Cruiser รถตรวจการณ์ขนาดใหญ่รุ่นแรก เริ่มขึ้นในปี 2494 เป็นรุ่นที่ทำตลาดยาวนานที่สุดของ Toyota โดยจะครบรอบ 72 ปี ในปีนี้ มียอดขายสะสมแล้วทั่วโลกกว่า 11.3 ล้านคัน ใน 170 ประเทศทั่วโลก
หลังจากนั้น Toyota ได้ผลิตรุ่นที่เล็กกว่า เพื่อทำตลาดในชื่อ Land Cruiser Prado รหัส J70 ใน ปี 2527 โดยมีเฉพาะในรูปแบบตัวถังสั้นเท่านั้น และได้ทำตลาดต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน J150 นับเป็นเจเนอเรชันที่ 4 ซึ่งลากขายกันมานานตั้งแต่ปี 2552 โดย Land Cruiser Prado มีจำหน่ายในทุกตลาดของ Toyota ยกเว้นในสหรัฐอเมริกา แคนาดา ที่วางจำหน่ายในชื่อ Lexus GX ที่ได้รับการตกแต่งให้หรูหราขึ้น
ไม่นานมานี้ ได้มีการเปิดตัว Toyota Land Cruiser 250 Series โดยจะไม่มีคำว่า Prado ต่อท้ายอีกแล้ว ซึ่งได้รับการพัฒนาบนโครงสร้างตัวถัง GA-F Platform ที่ใช้งานในกลุ่มเอสยูวีขนาดกลางของ Toyota ไปจนถึง Full-Size SUV ของแบรนด์หรูอย่าง Lexus ลดการบิดของตัวถังลง 30% มีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น 50%
Toyota Land Cruiser 250 ถูกออกแบบในดีไซจ์นย้อนยุค ภายใต้แนวคิด "Back to Origin" โดยใช้พื้นฐานของ Lexus GX เจเนอเรชันที่ 3 มาผสมกับความคลาสสิกเรียบง่ายของ Toyota Land Cruiser 40 Series และ Toyota FJ Cruiser
การออกแบบภายนอกที่มีความเหลี่ยมสัน ทั้งตัวถังไฟหน้า กระจังหน้า โดยภายนอกของ Land Cruiser 250 ใหม่ จะมีให้เลือก 2 แบบ ที่ต่างกันบริเวณไฟหน้า แบบที่ 1 มาพร้อมเส้นไฟ LED Daytime Running Light และไฟหน้าทรงกลมที่ให้อารมณ์ย้อนยุคมากกว่า
แบบที่ 2 ที่ติดตั้งชุดไฟหน้าแบบ Triple LED ทรงเหลี่ยมที่ดูทันสมัยกว่าหลังคาซันรูฟ ที่เลือกได้ทั้งแบบธรรมดา และพาโนรามิคบานใหญ่ ส่วนด้านท้าย ให้อารมณ์คล้ายกับรุ่น 60 Series ไฟท้าย LED แนวตั้ง
มิติตัวรถ มีความยาว 4,925 มม. ความกว้าง 1,980 มม. ความสูง 1,870 มม. ฐานล้อ 2,850 มม. มีขนาดใหญ่ขึ้นเมื่อเทียบกับเจนเนอเรชันที่แล้ว โดยยาวกว่าเดิม 100 มม. กว้างกว่าเดิม 95 มม. และสูงกว่าเดิม 20 มม. ฐานล้อยาวกว่า 60 มม. ทำให้มีมิติตัวถังใกล้เคียงพี่ใหญ่อย่าง Toyota Land Cruiser 300 ที่มีมิติตัวถังยาว 4,990 มม. กว้าง 1,980 มม. ฐานล้อ 2,850 มม.
ทำให้ Land Cruiser 250 Series ถูกยกระดับสมรรถนะถึงขีดสุดของการเป็นรถสไตล์ Off Road รวมทั้งมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้งานตามความเหมาะสม ของแต่ละภูมิภาค การออกแบบภายในห้องโดยสารก็เช่นกัน ที่ผสมผสานกับรูปแบบดั้งเดิมของ Land Cruiser กับความทันสมัย ภายในเป็นเบาะ 3 ตอน 7 ที่นั่ง สามารถปรับ และพับได้ตามความต้องการ โดยเบาะตอนที่ 2 พับได้แบบ 40/60 และตอนที่ 3 พับได้แบบ 50/50 ด้วยระบบไฟฟ้า
มาตรวัดเรืองแสงพร้อมจอ MID 12.3 นิ้ว จอสัมผัสขนาดใหญ่ 10.1 นิ้ว รองรับ Apple Carplay และ Android Auto พร้อมช่องแอร์ใต้จอกลาง ที่เสียบชาร์จ USB-C 2 จุด USB-A 1 จุด ที่ชาร์จมือถือไร้สาย ที่วางแก้ว 13 จุด หัวเกียร์ดีไซจ์นกะทัดรัดจับกระชับพร้อมเบรคมือไฟฟ้ากับ Auto Hold พวงมาลัยมัลติฟังค์ชัน 3 ก้าน
ด้านเครื่องยนต์มีหลายขนาดทั้งสันดาปล้วน, Mild Hybrid และ Full Hybrid ซึ่งจะขายตามแต่ละประเทศ เครื่องยนต์เบนซินมีทั้งแบบ Full Hybrid ด้วย i-Force MAX Hybrid
- เครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.4 ลิตร T24A-FTS 279 แรงม้า แรงบิด 429 นิวตันเมตร ที่ 1,700-6,300 รอบ/นาที จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า โดยให้กำลังรวม 330 แรงม้า แรงบิด 630 นิวตันเมตร
- เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ i-Force Engine 2.4 ลิตร T24A-FTS 281 แรงม้า แรงบิด 430 นิวตันเมตรที่ 1,700-6,300 รอบ/นาที ทั้ง 2 จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Direct Shift
- เครื่องยนต์เบนซินที่ยกมาจากเจเนอเรชันที่แล้ว ขนาด 2.7 ลิตร Dual VVT-I 163 แรงม้าที่ แรงบิดสูงสุด 246 นิวตันเมตรที่ 3,900 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ Super ECT
- เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบแปรผัน 1GD-FTV ขนาด 2.8 ลิตร 204 แรงม้าแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,600–2,800 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ
- เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบแปรผัน 1GD-FTV ขนาด 2.8 ลิตร 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,600–2,800 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ มาพร้อม Mild Hybrid 48 V พ่วงแบทเตอรี ก้อนเล็กกับมอเตอร์ไฟฟ้าเสริมพละกำลัง โดยเฉพาะในช่วงออกตัว และจังหวะเร่งแซง
- เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบคู่ขนาด 3.5 ลิตร V6 ให้พละกำลัง 415 แรงม้า แรงบิด 650 นิวตันเมตรที่ 2,000-3,600 รอบ/นาที คู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ สำหรับอเมริกาเหนือ
มาพร้อมระบบการขับขี่ Multi-Terrain Select พี่พร้อมจะบุกตะลุยในทุกสภาพเส้นทาง ประกอบด้วย Auto, Dirt, Sand, Mud, Deep Snow และ Rock และ Crawl Control ควบคุมความเร็วอัตโนมัติบนเส้นทาง ทุรกันดาร พร้อมปรับช่วงล่างใหม่เพิ่มสมรรถนะในการ ผ่านอุปสรรคที่ยากลำบาก รวมถึงปรับในส่วนพวงมาลัยไฟฟ้า EPS ลดแรงที่ส่งผ่านมาจากพื้นถนนมายังมือผู้ขับขี่ เมื่อขับบนถนนขรุขระ การบังคับเลี้ยวที่ แม่นยำมากขึ้น เพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่ที่ดีขึ้น
ทุกขุมพลังระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ จะเป็นแบบ Full-time พร้อม Torsen Limited-Slip ที่สามารถลอคอัตราการกระจายแรงบิดได้อย่างเหมาะสม รวมไปถึงชุดเกียร์ทรานเฟอร์แบบไฟฟ้าที่ สามารถปรับโหมดระหว่าง 4WD-High และ 4WD-Low ได้รวดเร็ว นอกจากนี้ในรุ่น Overtrail ยังมาพร้อม Differential lock ด้านหลัง
Toyota Land Cruiser คันแรกที่มีพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า และเป็นรุ่นแรกของบริษัทที่สามารถปลดลอคเหล็กกันโคลงด้านหน้าทั้ง 2 ฝั่ง เพื่อให้เกิดความนุ่มนวลในขณะขับไปบนทางวิบาก ตลอดจนสร้างความมั่นคงของตัวรถในขณะขับขี่บนทางปกติ นอกจากนี้ยังเปลี่ยนระบบบังคับเลี้ยวมาเป็นเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า EPS เพื่อให้เกิดความสะดวกสบายในขณะขับขี่ช่วงความเร็วต่ำ และช่วยให้ระบบรักษารถให้อยู่กลางเลน LTA ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- มาพร้อมระบบช่วยเหลือการขับขี่ และความปลอดภัยแบบเต็มพิกัด ระบบควบคุมระยะห่าง และความเร็วแปรผันตามทุกช่วงความเร็วด้วยเรดาร์ DRCC (Dynamic Radar Cruise Control) แบบ All-Speed
- เตือนการชนด้านหน้าพร้อมเบรคอัตโนมัติ Pre-Collision System (PCS) with Pedestrian Detection
- รักษาช่องทางวิ่ง Lane Tracing Assist (LTA)
- ตรวจจับรถออกนอกเลน Lane Departure System (LDS)
- ควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง Lane Centering
- ไฟสูง-ต่ำอัจฉริยะAuto High Beam (AHB)
- ระบบหักหลบพวงมาลัยอัตโนมัติ หลีกเลี่ยงการชนรถ คน และสิ่งแวดล้อมรอบตัวรถ
Toyota land Cruiser 250 พร้อมวางจำหน่ายทั่วโลก โดยเริ่มที่ญี่ปุ่น และยุโรป ตั้งแต่ครึ่งปีแรกของปี 2024 ตามด้วยออสเตรเลีย กลางปี 2024 และสหรัฐอเมริกา
เรื่องโดย : พรเทพ คงลาภอำนวย
คอลัมน์ Online : ระเบียงรถใหม่ (บก. ออนไลน์)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/online/461257