ทดลองขับ(formula)
Tank 500 ไฮบริดเอสยูวีใหม่จาก GWM
Tank เป็นแบรนด์เอสยูวีของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (GWM) ที่เน้นความทันสมัย ถือกำเนิดขึ้นและสร้างกระแสความนิยมในหมู่ผู้บริโภคในปัจจุบันด้วยยอดขายของแบรนด์เกิน 200,000 คัน ในปี 2565 ที่ประเทศจีน แพลตฟอร์ม Tank รองรับระบบส่งกำลังได้ถึง 3 รูปแบบ ได้แก่ ICE, HEV และ PHEV รองรับได้ทั้งเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรและ 3.0 ลิตร การออกแบบโดยรวมของโมดูลาร์ที่ให้ความยืดหยุ่น รองรับระบบกันสะเทือนที่หลากหลายและความสามารถในการขยายขนาดเพื่อผลิตรถในขนาดที่แตกต่างกัน เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ออฟโรดที่มีประสิทธิภาพครอบคลุม และระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะที่ได้รับการยอมรับ GWM เลือก Tank 500 Hybrid เอสยูวีไฮบริดระดับพรีเมียม เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ 2.0 ลิตร 244 แรงม้าทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 106 แรงม้า ระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ พร้อมโหมดการขับขี่สูงสุดถึง 11 รูปแบบ Tank 500 Hybrid มีขนาดตัวรถใหญ่ที่สุดในรถระดับเดียวกัน มิติตัวรถ ยาว/กว้าง/สูง 5,078/1,934 /1,905 มม. ระยะฐานล้อ 2,850 มม. มีให้เลือก 2 รุ่น คือ รุ่น ULTRA และรุ่น PRO
สีภายนอกมีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ ขาว ดำ เทา และสีใหม่ เทาคริสตัล (ในรุ่น ULTRA)
GWM Tank 500 Hybrid เป็นรถเอสยูวีออกแบบตาม DNA ของ Tank ที่มีความบึกบึน แกร่ง แต่ยังเปี่ยมไปด้วยความเรียบหรู สง่างาม
ด้านหน้า หรูหรา แข็งแกร่ง ด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ผสานช่องระบายอากาศแนวนอนและโลโก TANK ที่ลงตัวรับเส้นสายที่นูนขึ้นของฝากระโปรง
ไฟหน้า Intelligent LED ดีไซน์เฉพาะตัว มีระบบเปิด/ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ระบบปรับไฟสูง/ต่ำอัตโนมัติ และฟังก์ชันหน่วงเวลาไฟส่องทางหลังดับเครื่อง (Follow me home) พร้อม Daytime Running Light และไฟตัดหมอก LED
ด้านหลัง ออกแบบภายใต้แนวคิดออฟโรด ด้วยประตูท้ายแบบ horizontal พร้อมระบบดูดไฟฟ้า ที่ช่วยผ่อนแรงและอำนวยความสะดวกสบายในการปิดประตูท้าย ยางอะไหล่ติดตั้งบนประตูท้าย พร้อมกล้องมองหลังที่ซ่อนอยู่บนฝาครอบยางอะไหล่ได้อย่างลงตัว
ไฟท้าย Vertical LED ดีไซน์โดดเด่นในแนวตั้ง มาพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 และไฟตัดหมอกแบบ LED ตอบโจทย์ทั้งแฟชั่นและฟังก์ชัน ให้ความสว่างชัดเจนเพื่อความปลอดภัย
หลังคาซันรูฟแบบพาโนรามิคขนาดใหญ่ เปิด/ปิดด้วยระบบไฟฟ้า มาพร้อมราวหลังคา เสาอากาศแบบ shark fin และสปอยเลอร์ท้าย
บันไดข้างระบบไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชัน เปิด/ปิดอัตโนมัติเมื่อเปิด/ปิดประตู
ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว พร้อมยางขนาด 265/50 R20 มอบภาพลักษณ์หรูหราและการขับขี่ที่มั่นใจในทุกเส้นทาง ในรุ่น ULTRA และล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางขนาด 265/60 R18 ในรุ่น PRO
ภายในสีดำ และทูโทนสีน้ำเงิน/เบจ เฉพาะสีเทาคริสตัล ในรุ่น ULTRA
Tank 500 Hybrid ออกแบบสไตล์ Luxury ให้ความรู้สึกหรูหรา กว้างขวาง สะดวกสบาย และใส่ใจในทุกรายละเอียด ด้วยคอนโซลหน้าสีทูโทน เบาะหนัง Nappa ลำโพง Infinity และการตกแต่งห้องโดยสารด้วย Ambient Light, วัสดุสี Black, Silver, Piano Black, Chrome ให้ความเพลิดเพลินในทุกช่วงเวลาการขับขี่
หน้าจอทั้ง 3 มีการเชื่อมต่อของข้อมูลถึงกันช่วยให้ควบคุมง่ายและปลอดภัย 1. หน้าจอกลางอัจฉริยะแบบสัมผัส ขนาด 14.6 นิ้ว รองรับความบันเทิงได้ทั้ง Apple CarPlay, Android Auto, MP5, Bluetooth, ระบบนำทาง, และแสดงข้อมูลการขับขี่ต่าง ๆ 2. หน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบดิจิทัล ขนาด 12.3 นิ้ว 3. หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกด้านหน้า
ระบบความบันเทิงพร้อมลำโพง Infinity จำนวน 12 ลำโพง ระบบแอมพลิฟายเออร์อิสระ และระบบปรับระดับเสียงอัตโนมัติตามความเร็วรถ ให้คุณภาพเสียงระดับสูง
พวงมาลัยไฟฟ้าปรับแบบ 4 ทิศทาง และระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ (Paddle Shift) สะดวกและคล่องตัวในการขับขี่ พร้อมสวิทช์ควบคุมเครื่องเสียงและสวิทช์ควบคุมจอแสดงข้อมูลการขับขี่ ไฟตกแต่งห้องโดยสาร พร้อมฟังก์ชันแบบหลายสี และเป็นจังหวะ ช่วยสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารให้คุณเพลิดเพลินในทุกการขับขี่และการผจญภัย
นาฬิกาแบบคลาสสิก เพิ่มความหรูหราให้กับห้องโดยสารได้อย่างลงตัว
เบาะนั่งไฟฟ้าคู่หน้า พร้อมระบบเบาะนวดไฟฟ้า ระบบดันหลังปรับด้วยไฟฟ้า ระบบระบายอากาศและเบาะหนัง Nappa เพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าของผู้ขับขี่
เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง พร้อมระบบ Memory Seat และระบบ Welcome Seat เพื่อความสะดวกสบายในการขึ้น/ลงจากรถ
เบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง พร้อมปุ่มปรับตำแหน่งเบาะผู้โดยสารด้านหน้าจากด้านคนขับ
เบาะนั่งโดยสารแถวที่ 2 พร้อมหน้าจอควบคุมระบบระบายอากาศและเบาะระบายอากาศ อีกระดับของความสบายด้วยที่พักแขนตอนกลาง ม่านบังแดด และช่องปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
เบาะนั่งโดยสารแถวที่ 3 พร้อมพนักพิงปรับไฟฟ้า เพิ่มความสะดวกด้วยตำแหน่งปรับพนักพิงบริเวณข้างประตูผู้โดยสารแถวที่ 2 และประตูท้าย
พื้นที่ห้องโดยสารอเนกประสงค์ มากประโยชน์ใช้สอยด้วยห้องโดยสารและที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่ ปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยได้ตามต้องการ เบาะนั่งโดยสารแถวที่ 2 สามารถแยกพับเบาะได้แบบ 60:40 และเบาะนั่งแถวที่ 3 สามารถพับเรียบ ช่วยเพิ่มพื้นที่และความสะดวกในการจัดเก็บสัมภาระ (พื้นที่สัมภาระด้านท้ายสูงสุด 1,400 ลิตร เมื่อพับเบาะเรียบ) แผงควบคุมที่คอนโซลกลาง พร้อมฟังก์ชันควบคุมการขับขี่ ช่วยให้การปรับเปลี่ยนการขับขี่ในสถานการณ์ต่าง ๆ เป็นเรื่องง่าย ด้วยโหมดการขับขี่ 11โหมด และเพิ่มความสะดวกสบายด้วยปุ่มเบรกมือไฟฟ้าพร้อมฟังก์ชันหยุดอัตโนมัติขณะรถหยุดนิ่ง
เกียร์แบบ Electronic Shifter ชุดเกียร์ไฟฟ้า ดีไซน์หรู สีเดียวกับแผงคอนโซล ระบบเปิด/ปิดลอกประตูอัตโนมัติเมื่อเข้าใกล้และออกห่างจากรถ ระบบกุญแจ Smart Key และระบบ Push Start เพิ่มความสะดวกสบาย ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาหากุญแจ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ แยกอิสระซ้าย/ขวา พร้อมระบบกรองอากาศ PM2.5 ระบบชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย ช่วยให้การชาร์จ Smart Phone สะดวกและรวดเร็ว
Tank 500 Hybrid ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร พร้อมระบบเทอร์โบแปรผัน (VGT) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังเครื่องยนต์สูงสุด 244 แรงม้า พร้อมแรงบิดเครื่องยนต์สูงสุด 38.7 กก.-ม. (380 นิวตัน-เมตร) และกำลังมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 106 แรงม้า พร้อมแรงบิดมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 27.3 กก.-ม. (268 นิวตัน-เมตร) ระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ (9HAT) รองรับระบบการขับเคลื่อนที่หลากหลายของรถไฮบริด รองรับการขับขี่ พร้อมโหมดการขับขี่สูงสุดถึง 11 รูปแบบ ปกติ/ สปอร์ท/ ประหยัด/ อัตโนมัติ/ พื้นโคลน/ พื้นทราย/ พื้นหิน/ 4H/ พื้นหิมะ/ 4L/ เชี่ยวชาญ การออกแบบระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระ ดับเบิล ครอส อาร์ม และระบบกันสะเทือนหลังแบบอิสระมัลติลิงค์ ให้การขับขี่ที่ยึดเกาะถนนและนั่งสบาย ตอบสนองการขับขี่ทั้งในเมืองและนอกเมือง
Tank 500 Hybrid มีระบบช่วยเหลือการขับขี่แบบออฟโรด
• ระบบลอคเฟืองขับด้านหน้าและด้านหลัง (Electric Differential Lock for front and rear axles) ช่วยเพิ่มความสามารถในการขับขี่แบบออฟโรดของยานพาหนะเมื่อเผชิญกับทางลาดชัน โคลน ทะเลทราย และภูมิประเทศที่ซับซ้อนอื่น ๆ ด้วยกลไกการถ่ายโอนกำลัง ทำงานร่วมกันกับกลไกลอคของกล่องถ่ายโอนทั้งล้อหน้าและล้อหลัง สร้างระบบขับเคลื่อนออฟโรดแบบ 3 Locks เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ออฟโรด
• ระบบช่วยกลับรถในพื้นที่แคบ (TANK Turn) หลังจากเปิดฟังก์ชัน เมื่อระบบตรวจพบความตั้งใจในการบังคับเลี้ยวมากเกินไป ระบบจะส่งแรงเบรกไปที่ล้อหลังด้านในเพื่อลดรัศมีวงเลี้ยว เพื่อช่วยให้รถสามารถเลี้ยวในวงแคบได้
• ระบบแสดงภาพใต้ท้องรถ (Body transparent) เพิ่มมุมมอง วิสัยทัศน์ด้วยมุมภาพใต้ท้องรถ ให้คุณก้าวข้ามผ่านอุปสรรคได้ง่ายขึ้น
• ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบออฟโรด (Off-road cruise control) ระบบจะช่วยควบคุมเครื่องยนต์และเบรกโดยอัตโนมัติ เพื่อขับเคลื่อนรถในความเร็วต่ำ ช่วยผู้ขับขี่ในการควบคุมรถบนเส้นทางออฟโรด ฟังก์ชันอัจฉริยะ (Intelligent Functions)
• การอัพเกรดเฟิร์มแวร์ผ่านระบบออนไลน์อัจฉริยะ (FOTA) ระบบดังกล่าวมาพร้อมกับความสามารถในการอัพเกรดเฟิร์มแวร์สำหรับการควบคุมระบบขับเคลื่อน ระบบส่งกำลัง ระบบการขับขี่อัจฉริยะต่างๆ รวมถึงระบบ Infotainment และระบบควบคุมอื่นๆ ภายในรถยนต์ได้อย่างง่ายดาย
• การสั่งงานด้วยเสียงอัจฉริยะ (Voice Command) มีความสามารถในการจดจำเสียงได้เป็นอย่างดี จึงสามารถช่วยลดการใช้งานจากการกดปุ่ม เป็นการเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ขับขี่และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ โดยผู้ขับขี่สามารถสั่งการและโต้ตอบด้วยเสียงเพื่อใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ รวมไปถึงการเข้าถึงระบบเอนเตอร์เทนเมนท์ภายในรถ
• GWM Application: ระบบที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมและเชื่อมต่อฟังก์ชันของรถยนต์ได้ แม้ผู้ขับขี่จะอยู่ในระยะที่ไกลจากตัวรถ เช่น การควบคุมระบบปรับอากาศ การล็อคและปลดล็อคประตู การค้นหารถยนต์ การปิดหน้าต่างปิดซันรูฟ การควบคุมระบบการระบายความร้อนของเบาะ การแสดงตำแหน่งรถยนต์ และระบบตรวจสอบสถานะอื่นๆ
Tank 500 Hybrid มาพร้อมระบบการช่วยเหลือผู้ขับขี่และระบบความปลอดภัยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย
• ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมการช่วยเข้าโค้งอัจฉริยะ (Intelligent ACC) มาพร้อมกล้องติดรถยนต์ ADAS ช่วยควบคุมในช่วงความเร็วเต็มพิกัดที่กำหนดไว้ รวมถึงการหยุดและรีสตาร์ทกลับไปยังความเร็วที่ตั้งไว้ก่อนหน้า เมื่อระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC) ทำงาน กล้องจะทำการตรวจสอบความโค้งของถนน และความเร็วจะถูกปรับอัตโนมัติหากจำเป็นต้องลดความเร็วในขณะเข้าโค้งเพื่อความปลอดภัย และเมื่อผ่านโค้งไปแล้วรถจะกลับเข้าสู่ความเร็วเดิมที่ตั้งไว้
• ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ (TJA) เป็นระบบควบคุมความเร็ว ที่ช่วยควบคุมรถให้ติดตามรถด้านหน้าหรือขับต่อไปด้วยความเร็วคงที่เพื่อลดภาระของผู้ขับขี่
• ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ 3 รูปแบบ (IIP) ใช้เซนเซอร์และกล้องในการตรวจสอบเพื่อตรวจจับวัตถุและเส้นบริเวณช่องจอดหรือจุดจอดรถ และช่วยทำงานเต็มรูปแบบเพื่อเข้าจอด ทั้งแนวตรง แนวจอดเทียบข้าง และแนวเฉียง โดยเมื่อระบุช่องว่างที่จะนำรถเข้าจอดแล้ว รถจะทำการจอดด้วยตัวเองด้วยการควบคุมพวงมาลัย เบรก และคันเร่ง
• ระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ (ARA) ในขณะที่ขับรถต่ำกว่า 30 กม./ชม. ระบบจะบันทึกเส้นทางและสามารถถอยหลังกลับได้ในระยะ 50 เมตรโดยอัตโนมัติ ในเส้นทางที่ถูกบันทึกไว้
• กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง 360 องศา ประกอบไปด้วยกล้องที่มองได้รอบ 4 ตัว มีความละเอียดคมชัด 4 Megapixel โดยระบบจะรวมเอามุมมองภาพทั้ง 4 กล้องมาสร้างภาพที่มีมุมมอง 360 องศา เพื่อแสดงให้เห็นมุมมองของรถจากมุมบน ระบบทำงานอัตโนมัติเมื่อเข้าสู่โหมดการถอยหลัง โดยสามารถดูได้เมื่อขับรถที่ความเร็ว 15 หรือ 30 กม./ชม. และตอนสตาร์ทรถ
• ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรงและทางแยก (AEBI) ช่วยตรวจจับรถยนต์ทั้งทางตรงและทางแยก เมื่อเสี่ยงต่อการชน ระบบจะส่งสัญญาณเตือนด้วยเสียงและการเบรกอัตโนมัติช่วยหลีกเลี่ยงการชนหรือลดแรงกระแทก
• ระบบช่วยเตือนและเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA&RCTB) เซนเซอร์ช่วยตรวจสอบจุดอับสายตาด้านหลังของตัวรถทั้งด้านซ้ายและด้านขวาของช่องทางเดินรถในขณะถอยหลัง เมื่อกำลังถอยหลังออกจากช่องจอด เซนเซอร์หลังของรถจะทำการเช็กด้านซ้ายและขวาของช่องจราจรและ ส่งสัญญาณเตือนด้วยเสียง หากผู้ขับขี่ยังเพิกเฉยไม่หยุดรถ ระบบเบรกอัตโนมัติในกรณีฉุกเฉินจะเริ่มทำงานเพื่อหลีกเลี่ยงการชน
• เซนเซอร์กะระยะ 6 จุดด้านหน้า และ 6 จุดด้านหลัง
• ระบบช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง (WDS) โดยระบบจะตรวจสอบรถบรรทุกขนาดใหญ่หรือรถที่มีขนาดยาวในระหว่างการแซง ระบบจะรักษาช่องว่างระหว่างรถตามระยะที่เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ และกลับสู่เลนเดิมอัตโนมัติ
• ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKA) ระบบตรวจจับเส้นถนนและช่วยประคองพวงมาลัยให้รถอยู่ในเลน
• ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW) ระบบตรวจจับเส้นถนนและช่วยแจ้งเตือนเมื่อรถกำลังออกนอกเลน
• ระบบช่วยรักษาระยะให้อยู่กลางเลน (LCK) ระบบตรวจจับเส้นถนนและช่วยประคองรถให้อยู่กึ่งกลางเลน
• ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนในภาวะฉุกเฉิน (ELK) โดยหากมีการตรวจสอบพบรถอีกคันกำลังแล่นมา หรือมีรถแซงขึ้นมาจากอีกเลนหนึ่ง ระบบจะทำการแทรกแซงการทำงานมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงหรือลดการชน • ระบบช่วยชะลอความรุนแรงของการเกิดการชนซ้ำครั้งที่ 2 (SCM) โดยรถจะพยายามรักษาเสถียรภาพเอาไว้เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน
• ระบบช่วยลงทางลาดชัน (HDC) ใช้เบรกเพื่อช่วยควบคุมความเร็วของรถขณะขับบนทางลาดชันเพื่อให้ผู้ขับขี่มีสมาธิในการบังคับพวงมาลัย • ระบบช่วยออกตัวบนทางชัน (HSA) เมื่อออกจากจุดที่หยุดนิ่งบนเนินสูงชัน เบรกจะยังคงค้างอยู่ราว 2 วินาที จนกระทั่งคันเร่งทำงานเพื่อป้องกันการถอยหลัง
• ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู (DOW) หลังจากจอดรถยนต์แล้ว ระบบจะแจ้งเตือนหากระบบตรวจพบเป้าหมายที่เสี่ยงต่อการชนหากเปิดประตูรถยนต์
• ระบบตรวจความดันลมยาง (TPMS) โดยรถจะทำการวัดแรงดันลมยางอย่างต่อเนื่องและเตือนผู้ขับขี่หากมีแรงดันลมยางล้อใดลดลง
เพื่อจะเปรียบการใช้งานงานกับเอสยูวีที่เคยผ่านมือ เส้นทางที่เราเลือกสำหรับการทดลองขับ Tank 500 Hybrid ในครั้งนี้ ก็เป็นเส้นทางนครนายกที่คุ้นเคย ซึ่งผ่านทั้งสภาพการจราจรติดขัดย่านรามคำแหง ทางด่วน ถนนที่มีรอยต่อ คอสะพาน โค้งกว้างๆ โค้งและทางแคบ ทางดิน เส้นทางที่มีน้ำท่วม หน้าตา รูปร่าง ยางอะไหล่ประตูท้าย เห็นแล้วทำให้นึกถึง ราชาออฟโรด Tank 500 มิติตัวรถ ยาว/กว้าง/สูง 5,078/1,934 /1,905 มม. ใหญ่กว่า Ford Everest ที่มีมิติ 4,914/1,923/1,842 มม. ความสะดวกเริ่มตั้งแต่ก่อนขับ Tank 500 Hybrid บันไดข้างไฟฟ้ากางออกมารับ เมื่อสัมผัสมือเปิดประตู ประตูท้ายที่มีระบบดูด ทำให้การปิดบานสวิงที่ยางอะไหล่เบาแรงขึ้นมาก เบาะนั่งตัดเย็บประณีต คู่หน้าแบบไฟฟ้า หน้าจอแบบสัมผัส ขนาด 14.6 นิ้ว รองรับความบันเทิงได้ทั้ง Apple CarPlay, Android Auto, MP5, Bluetooth, ระบบนำทาง, และแสดงข้อมูลการขับขี่ต่าง ๆ พาโนรามิคซันรูฟ เบาะแถวที่ 2 กว้างใหญ่ นั่งสบาย ปรับและพับแยกได้ทั้งส่วน 40/60 พร้อมระบบปรับอุณหภูมิในเบาะ และระบบปรับอากาศแยกส่วนซ้าย/ขวา เย็นสบายด้วยช่องลมบนหลังคาและหลังคอนโซลเกียร์ เข้า/ออกเบาะแถว 3 ได้สะดวก และสามารถพับเก็บด้วยไฟฟ้าผ่านสวิทช์ควบคุมแยกซ้าย/ขวา กำลังเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ 2.0 ลิตร 244 แรงม้า เสริมแรงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ามาเร็ว และส่งกำลังต่อด้วยระบบเกียร์แบบ 9 จังหวะ พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเกือบตลอดเวลา ยกเว้นเลือกใช้โหมดขับขี่แบบ ECO หรือประหยัด จะขับเคลื่อนด้วย 2 ล้อหลัง ซึ่งตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยบนมาตรวัดอยู่ที่ 10-11 กม./ลิตร ส่วนอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 8.9 วินาที ส่วนการควบคุมและใช้งานระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ก็สะดวก และยังมีระบบลอคเฟืองขับด้านหน้าและด้านหลัง ระบบช่วยกลับรถในพื้นที่แคบ ระบบแสดงภาพใต้ท้องรถ และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบออฟโรดที่ใช้ง่ายเพียงแค่กดปุ่ม ทั้งหมดนี้ถือเป็นมาตรฐานใหม่ในแบบฉบับ เอสยูวีสายลุย ที่หรูหราสะดวกสบายไม่แพ้เอสยูวีค่ายยุโรป