“Rabbit Care” เอาใจลูกค้ารถยนต์ EV พร้อมดูแลให้อุ่นใจส่งบริการช่วยเหลือ 24 ชม. อัดโปรโมชันรับไฮซีซันตลาดยานยนต์ ส่งความคุ้ม และความแคร์ ครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์
ชยพัทธ์ สกุลร่มโพธิ์ชัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเชิงพาณิชย์ บริษัท แรบบิท แคร์ จำกัด (Rabbit Care) ผู้นำพแลทฟอร์มโบรกเกอร์ประกันภัย (Insur Tech) และผลิตภัณฑ์ด้านการเงิน (Fin Tech) ออนไลน์ของประเทศไทยในเครือ BTS เผยอัตราการเติบโตของยอดขายประกันรถยนต์ EV เติบโตสูงกว่า อัตราการเติบโตของเบี้ยประกันรวมรถยนต์ทุกประเภทถึง 46 % ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งได้อานิสงส์จากความตื่นตัวในการเป็นเจ้าของรถ ยนต์ EV นโยบายสนับสนุนของภาครัฐ รวมถึงการแข่งขันของโปรโมชันของผู้ผลิตรถยนต์ นอกจากนี้ยังเปิดเชคลิสต์ 4 ข้อควรรู้ และต้องเตรียมตัวสำหรับการตัดสินใจเลือกรถยนต์ EV ได้แก่ พฤติกรรมการใช้รถ ความหลากหลายของประเภทรถที่มีอยู่ในตลาด ความพร้อมของศูนย์บริการ ค่าใช้จ่ายแฝง พร้อมชูความโดดเด่นแผนประกันภัยรถยนต์ EV ที่ครบครัน เพื่อรองรับกระแสความนิยมรถยนต์ EV ที่ยังพุ่งต่อเนื่อง
“ตลาดรถยนต์ EV ยังคงได้รับการสนใจ และเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่เทคโนโลยี EV ก็ยังจะมีการพัฒนาเพิ่มเติมต่อไปอีก ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคโนโลยีแบทเตอรีไฟฟ้าไปจนถึงระบบขับเคลื่อนแบบไร้คนขับ (Autonomous driving) ความคึกคักของการแข่งขันในตลาดผลิตภัณฑ์ EV ในตลาดโลก นำโดยแบรนด์จากสหรัฐอเมริกา และจีน ที่เริ่มมีการทยอยเปิดตัวโมเดลรุ่นรถใหม่ๆ เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่กำลังพิจารณารถยนต์ EV เป็นหนึ่งในตัวเลือก
อย่างไรก็ตาม รถยนต์ EV ยังถือเป็นอะไรที่ใหม่มากสำหรับคนไทย ดังนั้น การที่จะซื้อรถยนต์ประเภทดังกล่าว ควรที่จะมีการศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบว่าตอบโจทย์การใช้งาน และไลฟ์สไตล์ของตนเองหรือไม่ เนื่องจากรถ ยนต์ EV มีรายละเอียดการใช้งานที่ต้องทำความเข้าใจให้ดีหลายด้าน ได้แก่
· พฤติกรรมการใช้รถ โดยจะต้องคำนึงถึงการใช้งานระยะทางเฉลี่ย/วัน การวางแผนในการชาร์จให้เหมาะสมกับการใช้งานของแต่ละบุคคล เนื่องจากจุดชาร์จอาจจะยังไม่เพียงพอในแต่ละพื้นที่ จึงจำเป็นต้องมีการวางแผนล่วงหน้าก่อนการเดินทาง
· ความหลากหลายของประเภทรถ อาจจะยังมีตัวเลือกประเภทของรถที่ไม่ครอบคลุมทุกความต้องการในการใช้งานเท่าที่ควรหากเทียบกับรถสันดาปทั่วไปที่มีให้เลือกทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถกระบะ รถตู้ และรถบรรทุก
· ความพร้อมของศูนย์บริการ ปัจจุบันอู่รถทั่วไปยังไม่มีความชำนาญในการดูแลรถยนต์ EV ที่มากพอ แบรนด์รถยนต์ EV จึงเดินหน้าขยายศูนย์บริการให้ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อลดความกังวลของเจ้าของรถเกี่ยวกับการรับบริ การหลังการขาย อาทิ การนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจเชค และบำรุงรักษารถให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานอยู่เสมอ
· ค่าใช้จ่ายแฝง ที่อาจจะเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นค่าตู้ และค่าติดตั้ง Wallbox ซึ่งรถบางยี่ห้ออาจไม่ได้แถมมาให้ ค่าใช้จ่ายในการเพิ่มมิเตอร์ไฟเพื่อให้รองรับโหลดของการชาร์จไฟให้เพียงพอ การดูแล และการเปลี่ยนแบทเตอ รีในอนาคต หรือค่ายางรถยนต์ที่แพงกว่ารถสันดาป
และนี่เป็นเพียง 4 เชคลิสต์เบื้องต้นสำหรับมือใหม่ที่สนใจจะเป็นเจ้าของรถยนต์ EV คันแรก ซึ่งเมื่อพร้อม และศึก ษาข้อมูลเป็นอย่างดีแล้ว ขณะนี้ถือเป็นอีกช่วงเวลาที่เหมาะสมทั้งด้วยการสนับสนุนส่วนลดจากภาครัฐ ส่วนลดที่น่าดึงดูดจากแบรนด์รถยนต์ รวมถึงโปรโมชันอื่นๆ ที่จะทำให้ภาคประชาชนที่สนใจหันมาใช้รถยนต์ EV ได้รับความคุ้มค่าที่มากขึ้น
สำหรับในฝั่งผู้ประกอบการโบรกเกอร์ประกันภัยเองก็พบว่ายอดขายประกันรถยนต์ EV เติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะ โดย ชยพัทธ์ กล่าวว่า “Rabbit Care ในฐานะผู้นำ Insur Tech พบว่าอัตราการเติบโตของตัวเลขยอดขายประกันรถยนต์ EV เติบโตสูงกว่า เมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันรวมรถยนต์ทุกประเภทถึง 46 % ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เราจึงได้เดินหน้าขยายความครอบคลุมผลิตภัณฑ์กลุ่มประกันรถยนต์ EV จากพันธมิตรทางธุร กิจหลากหลายแบรนด์เข้ามาไว้บนพแลทฟอร์มของ Rabbit Care”
“เพื่อมอบความสะดวกให้แก่ลูกค้าในการเปรียบเทียบเบี้ยประกัน และสิทธิประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว และปลอด ภัย เราจึงเพิ่มตัวเลือกเบี้ยประกัน และความคุ้มครองของรถยนต์ EV ให้ครบทุกยี่ห้อ และทุกโมเดล อีกทั้งยังมอบสิทธิประโยชน์ ความคุ้มครอง และความแคร์ที่มากกว่าสำหรับลูกค้าที่เลือกซื้อประกันรถยนต์ EV กับ Rabbit Care ไม่ว่าจะเป็นผ่อน 0 % สูงสุด 10 เดือน บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนตลอด 24 ชม. บริการช่วยเหลือแจ้งเคลม รถใช้ทดแทนระหว่างซ่อม ทั้งนี้ประกันรถยนต์ EV ชั้น 1 ของเราราคาเริ่มต้นเพียง 14,900 บาท* ประกันชั้น 2+ เริ่มต้นเพียง 9,500 บาท** (*** ราคาเบี้ยประกันขึ้นอยู่กับทุนประกันภัย และประเภทรถ) หรือหากยังไม่มั่นใจว่ารถของตนเองเหมาะกับความคุ้มครองแบบไหน สามารถปรึกษาได้ที่ Care Center โทร. 1438”
“การที่อุตสาหกรรมรถยนต์ EV มีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ นั้น มีส่วนช่วยให้บริษัทประกันมีข้อมูลที่ครอบคลุมในการประเมินความต้องการ พฤติกรรมการใช้งาน และความเสี่ยงของผู้ขับขี่รถยนต์ EV และออกแบบผลิตภัณฑ์ ประ กันรถยนต์ EV ที่หลากหลาย ตอบโจทย์ และเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เราเชื่อมั่นว่า จุดแข็งของระบบปฏิบัติการความแคร์ CareOS 2.0 ของเรายังมีบทบาทที่สำคัญในการจัดการ และวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจลูกค้ามากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มรถน้ำมัน ไฟฟ้า หรือพลังงานทางเลือกอื่นๆ ที่จะตามมาในอนาคตอีกด้วย เช่น รถยนต์พลังไฮโดรเจน หรือเชื้อเพลิงสังเคราะห์ (E-Fuels)”