ข่าวจากประเทศอังกฤษ ระบุว่า Mercedes-Benz จะเปิดตัวรถไฟฟ้า G-Class ขนาดคอมแพคท์ภายในทศวรรษนี้ โดยแผนกพัฒนาโมเดล “G” (G Division) หลังจากเปิดตัว EQG เมื่อปลายปีที่แล้ว
ผู้บริหารฯ ยืนยันว่า “Little G” ไม่ใช้ขุมพลังเครื่องยนต์สันดาปภายในอย่างแน่นอน ทั้งยังมีบุคลิกเฉพาะรุ่น โดยยังคงดีเอนเอของ G-Class ไว้อย่างครบถ้วน
นับว่าเป็นการแตกตัวของซีรีส์ G-Class อีกรูปแบบต่อจาก EQG ซึ่งเป็นแบบแรกที่แตกตัวออกมาก่อน จากนั้นเป็น "Little G" จะตามมาในปี 2569
แม้ Mercedes-Benz มีพแลทฟอร์ม MMA (Mercedes Modular Architecture) สำหรับรถระดับเริ่มต้นอย่าง Mercedes-Benz CLA ที่จะเปิดตัวเร็วๆ นี้ แต่ได้รับการยืนยันว่า “Little G” จะได้พแลทฟอร์มที่ต่างไป อาจใช้โมดูลจากรถขับหลังที่มีขนาดใหญ่กว่า เพื่อสมรรถนะในเส้นทางทุรกันดารที่แท้จริง เป็นหลักการเดียวกับ EQG ที่ใช้แชสซีส์แบบขั้นบันไดของ G-Class เครื่องยนต์สันดาปภายใน แต่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัว
นับว่าเป็นการขยายตลาดรถลุยให้กว้างขึ้น และ “Little G” จะมีความสำคัญในการสร้างแบรนด์ย่อยของ G-Class ตามแนวทางของ Maybach และ AMG รวมถึง Land Rover Defender ที่ประสบความสำเร็จในขณะนี้
การผลิต G-Class ด้วยผู้ชำนาญการเฉพาะเหมือนกับการผลิต Maybach และ AMG นับว่าเป็นข้อได้เปรียบ เพราะค่ายดาวสามแฉกมีรถระดับไอคอนระดับตลาดบน อย่าง S-Class, SL, G-Class รวมไปถึงแบรนด์ AMG และ Maybach ที่มีคาแรคเตอร์เฉพาะ ทั้งสามารถแยกย่อยครอบคลุมทุกกลุ่มได้
คอมแพคท์เอสยูวี “Little G” อาจใช้พแลทฟอร์ม 800 โวลท์ ที่ทำระยะเดินทาง 248 ไมล์ (ประมาณ 399 กม.) และชาร์จเต็มใน 15 นาที จากการรองรับกระแสชาร์จ 250 กิโลวัตต์ และใช้มอเตอร์ไฟฟ้าที่พัฒนาขึ้นใหม่ ซึ่งจะเปิดตัวครั้งแรกใน Mercedes-Benz CLA ใหม่ โดยให้กำลัง 201 แรงม้า ในรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง และเวอร์ชัน AMG จะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ให้กำลังสุทธิ 536 แรงม้า
“Little G” จะแชร์มอเตอร์ไฟฟ้ากับ CLA โดยสามารถเลือกแบทเตอรีลิเธียม ไอรอน ฟอสเฟท (LFP) หรือลิเธียม นิคเคิล แมงกานีส โคบอลท์ ออกไซด์ (NMC) โดยมีความจุระหว่าง 58-85 กิโลวัตต์ชั่วโมง