ธุรกิจ
Lamborghini เปิดตัวพลัก-อิน ไฮบริดรุ่นแรก
Sant‘Agata Bolognese/Beijing-Automobili Lamborghini เปิดตำนานบทใหม่ในหน้าประวัติศาสตร์ของแบรนด์ เผยโฉม “Urus SE” ซูเพอร์เอสยูวีระบบพลัก-อิน ไฮบริด รุ่นแรกของ Lamborghini ในงานครั้งสำคัญ Volkswagen Group Media Night ซึ่งจัดขึ้นก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการใน Auto China Beijing 2024 โดย “Urus SE” นำเสนอดีไซจ์นรถยนต์แนวใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์ เทคโนโลยีช่วยการขับขี่ที่เหนือชั้น และระบบส่งกำลัง 800 CV ที่ไร้คู่แข่ง ชูเวอร์ชัน PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) เป็นรุ่นทอพในตระกูล Urus ทั้งในด้านความสบาย ประสิทธิภาพ การปล่อยไอเสียสู่ชั้นบรรยากาศ และประสบการณ์ที่สนุกสนานในการขับขี่ ผสานหัวใจสำคัญทั้ง 2 ด้านของแบรนด์ คือ ระบบการเผาไหม้ และระบบไฟฟ้าเพื่อให้ได้แรงบิด และกำลังเครื่องสูงสุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ Urus SE เป็นรถยนต์ที่มีความโดดเด่นที่สุดในรถยนต์คลาสส์เดียวกัน โดยสามารถลดการปล่อยไอเสียสู่ชั้นบรรยากาศได้มากถึง 80 %
สเตฟาน วิงเคิลมันน์ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Lamborghini กล่าวว่า "รถยนต์ตระกูล Urus ได้เปลี่ยนกรอบแนวคิดของวงการเอสยูวีไปอย่างสิ้นเชิง และได้สร้างเซกเมนท์ใหม่สู่โลกยานยนต์ ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปี รถยนต์ Urus ได้กลายเป็นรถรุ่นที่ขายดีที่สุดของแบรนด์ ช่วยให้ Lamborghini สามารถดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ และเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจได้ในกลุ่มตลาดที่มีความสำคัญ และด้วยการเปิดตัว Urus SE ก็ทำให้เราก้าวหน้าสู่อนาคตไปอีกขั้นซึ่งสอดคล้องตามแผนกลยุทธ์ Direzione Cor Tauri 2.0 เพื่อเดินหน้าสู่ยุคแห่งพลังงานไฟฟ้า และแนวทางเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน ซึ่งเริ่มดำเนินงานพร้อมกับการเปิดตัวซูเพอร์สปอร์ทคาร์ Revuelto เมื่อเดือนมีนาคม 2023 ที่ผ่านมา"
ประสบการณ์การขับขี่ที่ไร้คู่แข่ง
Urus SE มอบประสบการณ์การขับขี่อันไร้คู่แข่งด้วยเครื่องยนต์ระบบพลัก-อิน ไฮบริด ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพ และพลศาสตร์ของยานยนต์ให้โลดแล่นได้อย่างเต็มกำลังบนทุกเส้นทาง และการขับขี่ทุกรูปแบบ มอบทั้งแรงบิด และกำลังเครื่องสูงสุดในทุกรอบเครื่องยนต์ด้วยโซลูชันเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด อาทิ การใช้ระบบเวคเตอร์แรงบิดไฟฟ้าระหว่างเพลาทั้งสอง และระบบเฟืองท้ายไฟฟ้า
“ภารกิจของโครงการนี้ แน่นอนว่า คือ การนำเสนอประสิทธิภาพการขับขี่เหนือระดับที่ผสานกับลักษณะเด่นในดีเอนเอของแบรนด์ Lamborghini” รูเวน โมห์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิค Lamborghini กล่าว “Urus SE ถูกกำหนดให้เป็นรุ่นทอพของคลาสส์ ทั้งในด้านความเพลิดเพลินของการเดินทาง และพลศาสตร์การขับขี่ โดยเป็นรถยนต์ที่ผสานคุณสมบัติที่แตกต่างกันไว้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นความสะดวกสบายที่สมบูรณ์แบบ และในขณะเดียวกันก็มอบสมรรถนะที่เหนือระดับ และการขับขี่ที่สนุกสนานมากที่สุด เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ไม่มีรถยนต์รุ่นใดจะทำได้เทียบเท่า”
เครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ V8 4.0 ได้ถูกนำมาพัฒนาใหม่เพื่อให้สามารถทำงานกับระบบส่งกำลังไฟฟ้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้มีกำลังเครื่องถึง 620 CV (456 กิโลวัตต์) และแรงบิด 800 นิวตันเมตร โดยระบบสันดาปได้ถูกผสานเข้ากับระบบส่งกำลังไฟฟ้าเพื่อมอบกำลังเครื่อง 192 CV (141 กิโลวัตต์) และแรงบิด 483 นิวตันเมตร และเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทีมวิศวกรจึงให้ความสำคัญกับการปรับทูนการทำงานที่สอดคล้องกันระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) กับมอเตอร์ไฟฟ้า จนได้กำลังเครื่องสูงสุดที่ 800 CV พร้อมการันตีกำลังเครื่องเฉลี่ยดีที่สุดในทุกๆ โหมดการขับขี่ และสภาพพื้นผิวถนน พร้อมติดตั้งแบทเตอรีลิเธียม 25.7 กิโลวัตต์ชั่วโมง บริเวณใต้พื้นห้องเก็บสัมภาระด้านบนระบบเฟืองท้ายไฟฟ้า
มอเตอร์ซิงโครนัสชนิดแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnet Synchronous Motor) ซึ่งติดตั้งอยู่ในระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 ระดับ สามารถช่วยบูสต์เครื่องยนต์สันดาป V8 และยังเป็นตัวสร้างแรงฉุดได้อีกด้วย ทำให้ Urus SE เป็นรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อด้วยระบบไฟฟ้า 100 % ที่สามารถเดินทางได้ไกลกว่า 60 กม. เมื่อขับขี่ด้วยโหมดไฟฟ้า (EV Mode) เพียงอย่างเดียว
เทคโนโลยีใหม่ที่ถูกนำมาใช้ใน Urus SE เป็นครั้งแรก คือ ระบบเวคเตอร์แรงบิดไฟฟ้าตามแนวยาวรูปแบบใหม่ที่ติดตั้งไว้บริเวณกลางตัวรถ พร้อมคลัทช์อีเลคโทรไฮดรอลิคแบบมัลทิเพลท ซึ่งช่วยสร้างแรงบิดแปรผันระหว่างเพลาหน้า และเพลาหลังได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำหน้าที่ประสานการทำงานให้สอดรับกับเฟืองท้ายไฟฟ้าบนเพลาหลังอย่างราบรื่น จะคอยกระจายแรงบิดเมื่อทำการเบรค ทำให้รถยนต์สามารถควบคุมอาการ Oversteer ได้แบบ “on demand” เพื่อมอบสัมผัสอันเร้าใจเสมือนขับขี่รถยนต์สายพันธุ์สปอร์ทตัวจริง
ทั้ง 2 ระบบที่กล่าวมา ได้รับการออกแบบ และปรับทูนการทำงานให้เหมาะสมกับการยึดเกาะถนนทุกรูปแบบ และทุกสไตล์การขับขี่ มอบแรงฉุด และการตอบสนองที่ฉับไวสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการพุ่งทะยานในสนามแข่ง หรือวิ่งตะลุยไปบนเนินทราย พื้นน้ำแข็ง หรือทางดิน
Urus SE เป็นรถยนต์ที่โดดเด่นที่สุดในคลาสส์เดียวกัน ด้วยแรงบิด และกำลังเครื่องที่เหนือล้ำในทุกรอบเครื่องยนต์ และทุกสภาพถนน โดยมอบกำลังเครื่องยนต์สูงสุดถึง 800 CV (588 กิโลวัตต์) ที่ 6,000 รตน. และสามารถให้แรงบิดรวม 950 นิวตันเมตร ที่ 1,750 รตน. และสูงสุดที่ 5,750 รตน. จึงมอบประสิทธิภาพสูงสุดในคลาสส์ในทุกแง่มุมของการขับขี่ ผลลัพธ์อันน่าประทับใจนี้มาจากการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านอัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักเครื่อง (Weight-to-Power Ratio) ที่ 3.13 กก./CV (เปรียบเทียบกับ 3.3 ในรุ่น Urus S) โดย Urus SE สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.4 วินาที (Urus S ที่ 3.5 วินาที) และจาก 0-200 กม./ชม. ในเวลาเพียง 11.4 วินาที (Urus S ที่ 12.5 วินาที) สามารถทำความเร็วสูงสุดที่ 312 กม./ชม. (Urus S ที่ 305 กม./ชม.) ข้อมูลเหล่านี้ทำให้ SE เป็นรถยนต์ที่ทรงพลังสูงสุดของตระกูล Urus และสร้างมาตรฐานใหม่ในกลุ่มรถยนต์ซูเพอร์เอสยูวี
งานออกแบบรถยนต์ และอากาศพลศาสตร์
Urus SE คือ การสร้างนิยามใหม่ให้แก่งานออกแบบรถยนต์อันโฉบเฉี่ยวที่เปลี่ยนแนวคิดของดีไซจ์นเอสยูวีไปอย่างสิ้นเชิง พร้อมนำเสนอเส้นสายใหม่ที่สื่อถึงการอัพเกรดประสิทธิภาพระบบอากาศพลศาสตร์ได้อย่างชัดเจน
ดีไซจ์นของ Urus SE สะท้อนถึงรูปทรงแบบพลศาสตร์ที่เน้นภาพลักษณ์ความเป็นรถสปอร์ท และความแข็งแกร่งบึกบึนได้อย่างโดดเด่น ส่วนหน้าหรูหราด้วยการออกแบบฝากระโปรงทรงใหม่แบบ Floating Design โดยลบเส้นสายที่เป็นตัวแบ่งส่วนต่างๆ ทิ้งไป เพื่อเสริมความรู้สึกลื่นไหลต่อเนื่อง และเน้นย้ำถึงรูปทรงแบบนักกีฬา ชวนให้นึกถึงแนวคิดการออกแบบแนวใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรุ่น Revuelto นอกจากนี้ ยังเสริมด้วยองค์ประกอบใหม่ๆ อีกมากมาย ทั้งชุดไฟหน้าที่ใช้เทคโนโลยี Matrix LED ซึ่งเป็นดีไซจ์นซิกเนเจอร์ใหม่ล่าสุดที่มีแรงบันดาลใจมาจากหางวัวกระทิง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ Lamborghini นั่นเอง ตลอดจนการออกแบบส่วนกันชนท้าย และตะแกรงหน้าใหม่ในทุกรายละเอียด
มิตจา โบร์เคิร์ต ผู้อำนวยการฝ่ายการออกแบบ Lamborghini กล่าวว่า การออกแบบ และสัดส่วนของ Urus ยังคงสวยงามอย่างไม่มีสิ่งใดเทียบได้ และยังสะท้อนถึงความเป็น Lamborghini อย่างไร้ที่ติ ในขณะเดียวกัน Urus SE แสดงถึงวิวัฒนาการอันเปี่ยมเสน่ห์อย่างยิ่ง ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญาการออกแบบระดับไอคอนิกที่ยอดเยี่ยมของเรา และที่สำคัญ คือ การมอบสัมผัสอันหรูหรายิ่งกว่าเดิมด้วยโปรแกรมการตกแต่งแบบ Ad Personam โดยเรานำแรงบันดาลใจมาจากรุ่น Revuelto พร้อมฝากระโปรงรถแบบ Floating เพื่อมอบเส้นสายที่สะอาดตา และรูปทรงส่วนหน้าที่แข็งแกร่งบึกบึน โดยระบบไฟหน้าที่ล้ำสมัยได้ผสานดีไซจ์นซิกเนเจอร์แบบ DRL ไว้อย่างลงตัว การออกแบบส่วนท้ายให้ความสำคัญกับช่วงกว้าง ตกแต่งด้วยดิฟฟิวเซอร์แบบใหม่ และปรับช่องติดป้ายทะเบียนรถให้มีระดับต่ำลง ดีไซจ์นตะแกรงหลังนำแรงบันดาลใจมาจากรถยนต์ซูเพอร์สปอร์ทของ Lamborghini อย่าง Gallardo สำหรับการออกแบบห้องโดยสารภายในยังคงสืบทอดปรัชญา “Feel like a pilot” เพื่อยกระดับปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักขับ และระบบดิจิทอลภายใน
สำหรับการออกแบบส่วนท้าย มีการจัดสรรพื้นที่เก็บสัมภาระใหม่ทั้งหมด โดยนำรูปทรงที่ต่อเนื่องมาจากรุ่น Gallardo โดยผสานเส้นสายต่างๆ ได้อย่างกลมกลืน เชื่อมต่อชุดไฟท้ายด้วยดวงไฟรูปตัว “Y” และดิฟฟิวเซอร์หลังรูปแบบใหม่ ซึ่งทำให้รถยนต์มีสัดส่วนคล้ายรถสปอร์ทมากยิ่งขึ้น ส่วนสปอยเลอร์ใหม่ยังทำงานร่วมกับดิฟฟิวเซอร์หลังในการช่วยเพิ่มแรงกดด้านหลังขณะวิ่งด้วยความเร็วสูงเพิ่มขึ้นถึง 35 % เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Urus S จึงเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่มากยิ่งขึ้น
ประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์ได้ถูกยกระดับขึ้นด้วยการออกแบบท่อระบายลมที่ส่วนล่างตัวรถ และท่อลมเข้าแบบปรับปรุงใหม่ พร้อมออกแบบช่องทางลมให้ต่อเนื่องมากขึ้นเพื่อลดความร้อนของชิ้นส่วน และเครื่องยนต์ได้ดีกว่าเดิม ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่ารุ่น Urus เดิมถึง 15 % การออกแบบส่วนหน้ายังผสานกับการเพิ่มประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์ด้านล่างเพื่อช่วยปรับปรุงการไหลเวียนของอากาศ และระบายความร้อนให้แก่ระบบเบรค ซึ่งมีประสิทธิภาพการระบายความร้อนด้วยอากาศสูงขึ้นถึง 30 % เมื่อเปรียบเทียบกับระบบเก่า
การตกแต่งรถยนต์ในสไตล์ของคุณ
Urus SE เสนอออพชันการตกแต่งที่เหนือชั้นที่สุดในรถยนต์คลาสส์เดียวกัน โดยมีทั้งล้ออัลลอยรุ่นอัพเดทใหม่พร้อมดีไซจ์น Galanthus ขนาด 23 นิ้ว เป็นรุ่นมาตรฐาน พร้อมยาง Pirelli P Zero รุ่นใหม่ นอกจากนี้ ยังมีโทนสีตัวรถให้เลือกมากมาย และออพชันการตกแต่งอีกมากกว่า 100 องค์ประกอบ พร้อมนำเสนอ 2 โทนสีใหม่ในวันเปิดตัว ทั้งโทนสี Arancio Egon (สีส้ม) ที่จับคู่กับการตกแต่งห้องโดยสารโทนสี Arancio Apodis (สีส้ม) และโทนสี Bianco Sapphirus (สีขาว) จับคู่กับการตกแต่งห้องโดยสารโทนสี Terra Kedros (สีน้ำตาลแดง)
ออพชันการตกแต่งภายในยังมอบทางเลือกคู่สีอีกกว่า 47 แบบ และการเย็บตะเข็บตกแต่งถึง 4 สไตล์ (Q-citura stitching) พร้อมออพชันในโปรแกรมการตกแต่ง Ad Personam ที่ช่วยให้เจ้าของ Urus SE สร้างสรรค์รถยนต์ให้มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครเพียงหนึ่งเดียวในโลก
ดีไซจ์นห้องโดยสารภายใน
การตกแต่งภายในได้รับการอัพเดทใหม่ เพื่อขับเน้นดีไซจ์นระดับซิกเนเจอร์ “Feel like a pilot” อันเป็นเสมือนดีเอนเอของ Lamborghini โดยนำเสนอฟีเจอร์ใหม่มากมายบริเวณแผงหน้าปัดด้านหน้า และยกระดับภาพลักษณ์รถยนต์น้ำหนักเบาเหมือนกับในรุ่น Revuelto
หน้าจอขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว ซึ่งใหญ่กว่ารุ่นเดิม ถูกติดตั้งไว้บริเวณกลางแผงหน้าปัด และมอบการแสดงผลกราฟิค Human Machine Interface (HMI) เวอร์ชันใหม่ที่ใช้งานได้ง่ายดาย และเป็นธรรมชาติมากขึ้น เหมือนที่พบได้ในรุ่น Revuelto ทีมนักออกแบบ Lamborghini Centro Stile ยังให้ความสำคัญกับการออกแบบท่อลม โดยตกแต่งด้วยวัสดุอลูมิเนียมเคลือบผิวในรูปทรงตัว “Y” อันเป็นเอกลักษณ์ และยังหุ้มส่วนบานตกแต่ง แผงหน้าปัด เบาะนั่งด้วยวัสดุใหม่ นอกจากนี้ ยังออกแบบแผงปุ่มกดแบบกลไกเพื่อให้ได้สัมผัสของการกดที่สมจริง
ผู้ขับยังสามารถใช้งานทั้งแผงควบคุมรวมแบบดิจิทอลขนาด 12.3 นิ้ว และจอทัชสกรีนขนาด 12.3 นิ้ว ที่กล่าวไว้ข้างต้น ซึ่งถูกรวมเข้าไว้ด้วยกันตรงกลางแผงหน้าปัด และยังเป็นเสมือนหัวใจหลักของระบบ Lamborghini Infotainment System (LIS) นอกจากนี้ ยังนำเสนอระบบวัดระยะสำหรับรุ่น SE และจอแสดงผลแบบใหม่ที่ทำงานสัมพันธ์กับระบบช่วยขับต่างๆ ช่วยให้ผู้ขับสามารถรับรู้สภาวะรอบด้านได้ดียิ่งขึ้น
สัมผัส 4 โหมดการขับขี่ที่แตกต่าง
แผงควบคุม “Tamburo” ถูกติดตั้งบริเวณกลางคอนโซลเพื่อให้ผู้ขับสามารถเลือกโหมดการขับขี่ที่แตกต่างกันได้อย่างง่ายดาย และด้วยการใช้ระบบส่งกำลังแบบไฮบริด เมื่อรวมโหมดการขับขี่ของ Urus ทั้ง 6 แบบเข้ากับการทำงาน Electric Performance Strategies (EPS) แบบใหม่อีก 4 แบบ ทำให้นักขับมีตัวเลือกทั้งหมดมากถึง 11 ออพชัน โดยในรุ่นนี้ โหมดพื้นฐานทั้ง Strada, Sport, Corsa (สำหรับท้องถนน และสนามแข่ง) รวมถึง Neve, Sabbia และ Terra (สำหรับพื้นผิวที่มีการยึดเกาะที่แตกต่างจากพื้นยางมะตอย) จะสามารถทำงานร่วมกับออพชันระบบ EV Drive, Hybrid, Performance และ Recharge ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
สเตฟาโน คอสซัลเตอร์ ผู้อำนวยการกลุ่มผลิตภัณฑ์ Lanzador และ Urus Lamborghini กล่าวว่า Urus SE คือ วิวัฒนาการครั้งสำคัญ ซึ่งไม่ใช่เพียงแนวคิดด้านความยั่งยืนจากการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมหาศาลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการพัฒนาด้านสมรรถนะ และสัมผัสแบบรถยนต์สปอร์ทอีกด้วย สิ่งเหล่านี้เกิดจากการใช้โซลูชันเชิงเทคนิคที่ล้ำสมัยซึ่งเริ่มต้นขึ้นจากระบบส่งกำลังแบบไฮบริด ทำให้ Urus SE ของเราเป็นซูเพอร์เอสยูวีที่ผสานหัวใจสำคัญทั้ง 2 ด้านได้อย่างสมบูรณ์แบบ หนึ่ง คือ พลังงานจากการเผาไหม้ที่เป็นรากฐานสำคัญของแบรนด์ และอีกหนึ่ง คือ พลังงานไฟฟ้าซึ่งเป็นอนาคตใหม่ในโลกยานยนต์ เมื่อรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ทำให้รถยนต์รุ่นนี้ คือ การตีความบุคลิกภาพของ Lamborghini ที่เด่นชัดในรูปลักษณ์ใหม่ และก้าวสู่เวอร์ชันใหม่ได้อย่างน่าทึ่ง
ระบบ EV Drive ช่วยให้ผู้ขับได้สัมผัสประสบการณ์ และศักยภาพของพลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเมื่อได้รับการปรับแต่งมาเพื่อวิ่งบนท้องถนนในเมือง โดยสามารถวิ่งได้ไกลสุดถึง 60 กม. และเร่งความเร็วสูงสุดที่ 130 กม./ชม. เมื่อทำความเร็วสูงกว่านี้ เครื่องยนต์ V8 ก็จะเข้ามาสนับสนุนการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า เช่นเดียวกันเมื่อผู้ขับต้องการแรงบิดที่มากกว่าระดับสูงสุดจากมอเตอร์ไฟฟ้า
ระบบ Hybrid ซึ่งสามารถเลือกใช้ได้เมื่อขับขี่ในโหมด Strada มอบประสิทธิภาพ และความสบายสูงสุดบนการทำงานที่สมดุลระหว่างเครื่องยนต์สันดาป และมอเตอร์ไฟฟ้า และแน่นอน ถือเป็นโหมดใช้งานแบบอเนกประสงค์ที่เหมาะสำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน ระบบ Recharge ซึ่งสามารถเลือกได้เมื่อใช้โหมด Strada, Sport, Corsa และ Neve โดยสามารถชาร์จไฟให้แบทเตอรีได้ถึง 80 % โดยที่ยังให้สมรรถนะการขับขี่สูงสุด ส่วนระบบ Performance เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องสัมผัสศักยภาพที่แท้จริงของ Urus SE ซึ่งไม่เพียงเลือกได้ในโหมด Strada, Sport และ Corsa เท่านั้น แต่ยังรวมถึงโหมด Sabbia และ Terra อีกด้วย โดยมอบประสิทธิภาพด้านพลศาสตร์ที่เหนือชั้นของซูเพอร์เอสยูวีตัวจริง แม้ไม่ได้วิ่งบนพื้นยางมะตอย
เมื่อวิ่งในโหมดที่แตกต่างกัน สปริงลมจะปรับเปลี่ยนการทำงานเพื่อสร้างค่าความสูงรถที่เหมาะสม ตั้งแต่การเดินทางระยะ 15 มม. ในโหมด Corsa ไปจนถึงสูงสุดที่ 75 มม. เมื่อระบบยกตัวรถทำงานเต็มที่ นอกจากนี้ พารามิเตอร์ที่คอยปรับพวงมาลัย ระบบการขับขี่ และเสียงเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ V8 ก็จะทำงานแบบแปรผันเช่นกัน เพื่อสะท้อนถึง “บุคลิก” ที่แตกต่างของ Urus SE
ทีมผู้พัฒนายังให้ความสำคัญอย่างมากกับระบบกันสะเทือนแบบถุงลม (Air Suspension) เพื่อเน้นประสบการณ์ การขับขี่ของแต่ละโหมดให้โดดเด่นยิ่งขึ้น โดยในโหมด Strada ได้เพิ่มระดับความสบายของรถยนต์ Urus S ให้มากขึ้นไปอีก ส่วนในโหมด Sport จะเพิ่มความสนุกสนานในการขับขี่ โดยเสริมคาแรคเตอร์ของระบบส่งกำลังแบบใหม่ในการสตาร์ท และการดริฟท์ที่มันอย่างต่อเนื่อง โหมด Corsa ออกแบบมาเพื่อการพุ่งทะยานในสนามแข่งขัน ทำให้ Urus SE โชว์ศักยภาพด้านพลศาสตร์ได้อย่างเต็มที่ ด้วยการติดตั้งหน่วยควบคุมไฟฟ้า (ECU) สำหรับระบบกันสะเทือน ซึ่งช่วยควบคุมรูปแบบการเคลื่อนไหวของโครงแชสซีส์ (ทั้งการ Pitch, Yaw, Roll และ Pump) ซึ่งทำให้ตัวรถมีความเสถียรสูง และตอบสนองกับขอบสนามแข่งได้อย่างฉับไว รวมไปถึงการวิ่งบนทางขรุขระ และพื้นผิวที่มีการยึดเกาะต่ำ ซึ่งเกิดจากการติดตั้งเหล็กกันโคลงที่ควบคุมการทำงานด้วยระบบไฟฟ้า 48V ส่วนในโหมด Neve, Stabbia และ Terra ได้ถูกปรับปรุงประสิทธิภาพใหม่เพื่อเสริมประสิทธิภาพแรงกระทำกับพื้นถนนที่สม่ำเสมอ และสร้างแรงฉุดที่ดีที่สุดบนพื้นผิวทุกประเภท