ทิศทางอุตสาหกรรมแกสธรรมชาติเหลว (LNG) ในปี 2567 จากการเปิดเผยของ Shell ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่สำคัญของตลาด LNG ทั่วโลก ซึ่งคาดว่าจะมีความต้องการเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 50 % ภายในปี 2583 จากปัจจัยหนุนหลายประการ โดยเฉพาะการเปลี่ยนมาใช้ LNG แทนถ่านหินของอุตสาหกรรมในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อการใช้พลังงาน
LNG มีบทบาทสำคัญในการเสริมพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์ โดยเฉพาะในประเทศที่มีสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนสูง การมี LNG เป็นส่วนเสริมในการผลิตพลังงานในช่วงที่พลังงานหมุนเวียนขาดความต่อเนื่อง ช่วยให้สามารถรักษาความยืดหยุ่นในระยะสั้น และความมั่นคงในระยะยาวของอุปทานได้ Shell หนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมพลังงานระดับโลก ได้ร่วมแบ่งปันมุมมอง และข้อมูลอัพเดท Shell’s LNG Outlook 2024 ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความต้องการ และความสำคัญของ LNG ที่มีผลต่อความมั่นคงทางพลังงาน การช่วยลดการปล่อยคาร์บอน รวมถึงการคาดการณ์แนวโน้ม และโอกาสเติบโตของ LNG ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ในงาน Future LNG Asia: Accelerating Innovation to Drive Asia’s Energy Transition เมื่อไม่นานมานี้
เจฟเฟอร์สัน เอดเวิร์ดส รองประธานกรรมการอาวุโส Global Market Analytics, Shell LNG Marketing and Trading กล่าวย้ำถึงความสำคัญของ LNG ในภูมิภาคเอเชียว่า แม้ LNG จะคิดเป็นสัดส่วนเพียง 14 % ของปริมาณแกสธรรมชาติที่ใช้ทั่วโลกในปัจจุบัน แต่ก็มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความมั่นคงทางพลังงาน และช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไปพร้อมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากปริมาณการผลิตแกสธรรมชาติภายในประเทศของหลายประเทศเริ่มลดลง ทำให้มีการคาดการณ์ว่า LNG จะคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 75 % ของแหล่งพลังงานแกสธรรมชาติใหม่ทั้งหมดของเอเชีย ไปจนถึงปี 2583 และจะแซงหน้าการผลิตแกสในประเทศในแถบเอเชีย ในฐานะแหล่งพลังงานหลักของเอเชียที่ใหญ่ที่สุด ในปี 2573"
"การที่ LNG ได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องจากประเทศในแถบเอเชียมีการลงทุนด้านพลังงานลม และแสงอาทิตย์จำนวนมาก จนนำไปสู่สัดส่วนของการผลิตไฟฟ้าแบบผันแปรที่สูงขึ้น จึงจำเป็นต้องอาศัยการผลิตไฟฟ้าที่มีความมั่นคง เพื่อสร้างความเสถียรให้แก่โครงข่ายไฟฟ้า เมื่อพิจารณาจากการปล่อยคาร์บอนเป็นจำนวนมากจากการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินทั่วเอเชีย จึงทำให้ LNG เข้ามามีบทบาทมากขึ้น เพื่อรักษาสมดุลของกระบวนการการผลิตไฟฟ้า”
จากรายงาน LNG Outlook 2024 ของ Shell ระบุว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา การค้า LNG ทั่วโลกมีปริมาณสูงถึง 404 ล้านตัน และเป็นการเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่มีปริมาณ 397 ล้านตัน การเพิ่มขึ้นนี้ถือเป็นสัญญาณที่ดีว่าตลาดกำลังขยายตัว แต่ก็ต้องเผชิญกับความตึงตัวของอุปทาน ที่ส่งผลต่อระดับราคา และความผันผวนของราคาที่ยังคงสูง เมื่อเทียบกับในอดีต โดยจีนมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนความต้องการ LNG ในทศวรรษนี้ เห็นได้จากความพยายามของอุตสาหกรรมจีนที่พยายามลดการปล่อยคาร์บอน โดยเปลี่ยนจากการใช้ถ่านหินมาเป็นแกส
นอกจากนี้ การส่งออกแกสธรรมชาติทางท่อจากรัสเซียไปยังยุโรปได้ลดลงอย่างมากในปี 2565 ส่งผลให้ยุโรปต้องพึ่งพา LNG เป็นหลักในการรักษาความมั่นคงด้านพลังงาน ซึ่งการสร้างสถานีแปรสภาพแกสธรรมชาติเหลวแห่งใหม่ ช่วยให้ยุโรปมีแหล่งอุปทานที่หลากหลายมากขึ้น
การเติบโตของตลาด LNG ทั่วโลก นับเป็นสัญญาณที่ดีของการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมพลังงาน ที่เน้นย้ำถึงบทบาทด้านการลดการปล่อยคาร์บอน และการใช้พลังงานที่สะอาดขึ้น