ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
MINI เปิดตัว 4 รุ่นใหม่
MINI ประเทศไทย เหยียบคันเร่งเต็มสปีดเข้าสู่ยุคแห่งยานยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ลุยเปิดตัว MINI (มีนี) ใหม่ล่าสุด ในเจเนอเรชันที่ 5 แบบครบเครื่องทั้งความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดีไซจ์นสไตล์มีนีมอลที่สอดรับกับไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทอล และสมรรถนะการขับขี่ที่สนุกเร้าใจ ตอบโจทย์นักขับทุกสไตล์ ทั้งยังต่อยอดพันธกิจของแบรนด์ในการเปลี่ยนผ่านสู่ตลาดยนตรกรรมไฟฟ้าแบบเต็มตัว ภายในปี 2030 นําทัพโดย MINI Cooper SE (คูเพอร์ เอสอี) ใหม่ พลิกประวัติศาสตร์ของความสนุกบนท้องถนนกว่า 60 ปี พร้อมโลดแล่นสร้างสีสันอีกครั้งในรูปโฉมใหม่ที่ขับสนุกไม่แพ้กัน
นอกจาก MINI Cooper SE ใหม่ ในรุ่น 3 ประตูแล้ว MINI ยังเปิดตัวอีก 2 รุ่นในตระกูล Countryman (คันทรีแมน) ที่ใหญ่ขึ้นในทุกมิติเอาใจสายแอดเวนเจอร์ กับ MINI Countryman SE ใหม่ ในระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า 100 % เป็นครั้งแรก พร้อมด้วย MINI John Cooper Works Countryman (จอห์น คูเพอร์ เวิร์คส์ คันทรีแมน) โฉมใหม่ล่าสุดของครอสส์โอเวอร์ตัวแรงสําหรับสายสปอร์ทผจญภัย ที่แฟนๆ MINI ชื่นชอบ
MINI ประเทศไทย ยังได้เผยโฉม MINI Aceman SE (เอศแมน เอสอี) ใหม่ สู่แฟนๆ ชาวไทยเป็นครั้งแรก กับสมาชิกใหม่ของแบรนด์ MINI ในรูปแบบคอมแพคท์ครอสส์โอเวอร์พลังงานไฟฟ้า 100 % ที่ผสมผสานความรู้สึกการขับขี่แบบ “Go-Kart feeling” ในสไตล์ MINI เข้ากับความคล่องตัวแบบสารพัดประโยชน์ โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์การดีไซจ์นที่แปลกใหม่จากทุกมุมมอง
ประภัสรา อร่ามวงศ์สมุทร ผู้อํานวยการ MINI ประเทศไทย กล่าวว่า MINI นํารถยนต์พลังงานไฟฟ้ากลับมาทําตลาดในประเทศไทยอีกครั้ง ซึ่งรุ่นก่อนหน้าก็ได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากลูกค้าในไทยจนขายหมดไปเมื่อปี 2566 ในครั้งนี้ MINI Cooper SE ใหม่ ได้กลับมาอีกครั้งในเจเนอเรชันที่ 5 และจะมาปฏิวัติวงการยานยนต์ไฟฟ้าของไทยด้วยดีไซจ์นมีนีมอลสุดลํ้า ฟังค์ชันการใช้งานที่ตอบรับยุคดิจิทอล และสมรรถนะการขับขี่ที่ยังคงความสนุกเร้าใจ ด้วยสไตล์การขับขี่แบบโกคาร์ทอันเป็นเอกลักษณ์ของ MINI เอาไว้อย่างครบถ้วน
รถยนต์เจเนอเรชันใหม่ของ MINI ทุกรุ่น นับเป็นการผสมผสานงานออกแบบ และความสนุกในการขับขี่อันเป็นเอกลักษณ์ของ MINI เพื่อมอบประสบการณ์อันยอดเยี่ยม และยั่งยืน ให้แก่ทั้งแฟนๆ ที่ติดตาม MINI มาอย่างยาวนาน รวมถึงลูกค้าใหม่ที่ต้องการจะก้าวเข้าสู่โลกของ MINI เป็นคร้ังแรก ซึ่ง MINI เจเนอเรชันใหม่ยังไม่ละทิ้งคาแรคเตอร์ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ประจําตัวของแบรนด์พร้อมทั้งยังส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยม ทําให้สามารถเชื่อมต่อกับตัวรถ ผ่านทางนวัตกรรมดิจิทอลต่างๆ มากมายให้แก่ผู้ขับขี่ ทั้งขณะที่ใช้งานในตัวรถ และเมื่อต้องการสื่อสารกับตัวรถขณะอยู่นอกห้องโดยสารอีกด้วย
MINI Cooper SE ใหม่ จำหน่ายในราคา 1,699,000 บาท พร้อมแพคเกจ MSI Standard มี 6 สีให้เลือก ได้แก่ Blazing Blue, Nanuq White, Melting Silver ที่มาพร้อมกับหลังคาสีดํา Jetblack และ British Racing Green, Sunny Side Yellow, Chili Red II ที่ให้ลูกค้าเลือกหลังคาดํา Jetblack หรือสีขาว Glazed White
ข้อเสนอพิเศษสําหรับ MINI Cooper SE ใหม่*
สําหรับลูกค้าที่จอง MINI Cooper SE ใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ผ่านช่องทางออนไลน์ที่ https://minionlinesales.com/ และมีกําหนดรับมอบรถภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 จะได้รับแพคเกจ MINI Connected ฟรี 1 ปี*
ลูกค้าที่จอง MINI Cooper SE ใหม่ และทําสัญญาทางการเงินกับ มินิ ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2567 โดยมีกําหนดรับมอบรถภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2567 รับข้อเสนอผ่อนต่อเดือน เริ่มต้น 11,555 บาท/เดือน*
สําหรับลูกค้าเก่า และลูกค้าปัจจุบันที่มีสัญญาทางการเงินกับ มินิ ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย เมื่อจอง MINI Cooper SE ใหม่ และทําสัญญาทางการเงินกับ มินิ ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2567 โดยมีกําหนดรับมอบรถภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2567 รับข้อเสนอขยายแพคเกจรับประกัน MINI Extended Protect (Extended Warranty) สูงสุด 2 ปี (มูลค่ารวม 25,970 บาท)*
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กําหนด
MINI Countryman SE ใหม่ ราคา 3,399,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิม พร้อมแพคเกจบํารุงรักษา MSI Standard 4 ปี ไม่จํากัดระยะทาง)
MINI John Cooper Works ใหม่ ราคา 3,999,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพคเกจบํารุงรักษา MSI Standard 3 ปี หรือ 60,000 กม.)
MINI Aceman SE ใหม่ รอการประกาศราคาอย่างเป็นทางการ
MG เผยสเปค All New MG3 Hybrid+
บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด และบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิต และผู้จำหน่ายรถยนต์ MG (เอมจี) ในประเทศไทย เดินหน้านำเสนอทางเลือกใหม่ให้คนไทย พร้อมสร้างประสบการณ์ในตลาด B-Segment เปิดตัว All New MG3 Hybrid+ (เอมจี 3 ไฮบริด พลัส) ใหม่ รถยนต์ไฮบริดเทคโนโลยีใหม่จาก MG ซึ่งเป็นโกลบอลโมเดลรุ่นที่ 2 ที่เตรียมส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ครั้งใหม่จากไลน์การผลิตในประเทศไทย เจาะกลุ่มลูกค้ายุคใหม่ ชูจุดเด่นรถยนต์พลังงานทางเลือกที่แตกต่างไม่เหมือนใคร ด้วยโกลบอลดีไซจ์นที่ดูปราดเปรียว มาพร้อมขุมพลังไฮบริด Hybrid+ ที่ผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน และมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างลงตัว หนึ่งเดียวในคลาสส์กับห้องโดยสารกว้างสุด ประหยัดกว่าด้วยน้ำมันหนึ่งถังวิ่งได้ไกลกว่า 800 กม. พร้อมอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 8 วินาที เหนือระดับด้วยเทคโนโลยีระบบความปลอดภัยที่ครบครัน การันตีความเชื่อมั่นด้วยผลการทดสอบโดยทีมวิศวกรชั้นนำระดับโลก โดย MG เตรียมพร้อมประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการภายในเดือนสิงหาคมนี้
พงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า All New MG3 Hybrid+ เป็นรถยนต์ไฮบริดที่พิสูจน์ให้เห็นถึงการเป็นโมเดลที่ได้รับความนิยมในประเทศต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาค และถือเป็นโกลบอลโมเดลรุ่นล่าสุดของ MG ที่ได้นำเทคโนโลยีอย่าง ระบบ Hybrid+ สู่การรังสรรค์รถยนต์พลังงานทางเลือกที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้งานรถของลูกค้า ทั้งยังเป็นยนตรกรรมที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ MG ในการเดินหน้าสู่เป้าหมายสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์สีเขียว (Green Mobility) ให้แก่ตลาดยานยนต์โลก โดย All New MG3 Hybrid+ ถูกวางให้เป็นหนึ่งในโมเดลยุทธศาสตร์ (Strategic Model) ประจำปีนี้ของ MG ในการบุก และปลุกตลาด B-Segment ในเมืองไทย กับการเป็นยนตรกรรมที่จะเจาะกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่มองหาความสมดุลระหว่างความประหยัด และสมรรถนะที่ทรงประสิทธิภาพ ด้วยราคาที่เข้าถึง และเป็นเจ้าของได้ง่าย ซึ่ง MG มีแผนเปิดราคาจัดจำหน่ายของ All New MG3 Hybrid+ อย่างเป็นทางการภายในเดือนสิงหาคมนี้
All New MG3 Hybrid+ ยนตรกรรมที่จะเข้ามายกระดับมาตรฐานการเป็น “รถยนต์ไฮบริด”
All New MG3 Hybrid+ รถแฮทช์แบคไฮบริด 5 ประตู ยนตรกรรมที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีไฮบริดใหม่ล่าสุดจาก MG ด้วย 8 โหมดการขับเคลื่อนของระบบ Hybrid+ ที่รวมทุกระบบไฮบริดไว้ในคันเดียวได้อย่างสมบูรณ์แบบ และตอบสนองต่อทุกการใช้งานรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) ระบบขับเคลื่อนแบบผสานเครื่องยนต์ และมอเตอร์ (Parallel Hybrid) หรือแม้แต่การขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน (Pure EV) ทำให้การขับขี่ในทุกช่วงความเร็วเป็นไปอย่างราบรื่น และลงตัว พร้อมคงจุดเด่นของการเป็น “รถแฮทช์แบคไฮบริดที่ประหยัดกว่า ขับสนุกกว่า และเร้าใจกว่า” ที่พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่าด้วยสัมผัสเฉกเช่นรถไฟฟ้าแต่ไปได้เร็วกว่าโดยไม่ต้องรอชาร์จไฟ
ขุมพลังไฮบริดใหม่ ที่ผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 75 กิโลวัตต์/102 แรงม้า รองรับน้ำมัน E20 ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 100 กิโลวัตต์/136 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวทันเมตร สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เพียง 8 วินาที ขับเคลื่อนด้วยระบบส่งกำลัง Hybrid Transmission ด้วยเกียร์ไฟฟ้าแบบ E-AT ให้จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ที่เหมาะสม ลดเสียงรบกวน และประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น มาพร้อมกับแบทเตอรี Lithium-ion ที่มีความจุมากถึง 1.83 กิโลวัตต์ชั่วโมง และถือเป็นรถยนต์ไฮบริดที่คุ้มค่าที่สุดในตลาดโดยน้ำมัน 1 ถังสามารถไปได้ไกลกว่า 800 กม.
นอกจากนี้ ยังสามารถปรับโหมดควบคุมการขับขี่ได้ถึง 3 รูปแบบ ได้แก่ โหมด ECO โหมด Standard และโหมด Sport ทั้งยังมีระบบ KERS เหมือนในรถไฟฟ้าที่สามารถปรับการใช้งานได้ 3 ระดับ และให้ผู้ขับขี่มั่นใจในทุกการขับขี่ด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐาน Advanced Synchronized Protection System ซึ่งครอบคลุมระบบความปลอดภัย ADAS เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจำนวน 8 ระบบ พร้อมระบบเบรคอัจฉริยะ (Intelligent Brake System) ไว้ได้อย่างครบถ้วน พร้อมยกระดับการขับขี่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วยกล้องรอบคัน 360 องศา แบบ High Definition
ในส่วนของการออกแบบ ยังคงสไตล์ความคล่องตัวปราดเปรียวในแบบฉบับของรถแฮทช์แบค โดย All New MG3 Hybrid+ ถือเป็นรถที่มีความกว้างมากที่สุดในคลาสส์ ด้วยขนาดความกว้างกว่า 1,797 มม. ดีไซจ์นไฟหน้า LED แบบใหม่ Hunter Eye Headlamp ดวงตานักล่า ที่ดูคมชัด และโฉบเฉี่ยว พร้อมกระจังหน้าแบบใหม่ ไฟท้ายได้รับแรงบันดาลใจจากปีกผีเสื้อ สะท้อนถึงการเคลื่อนไหวที่คล่องตัว เส้นสายการออกแบบ รอบตัวถังเน้นความโค้งมน ภายในห้องโดยสารสร้างสรรค์ขึ้นภายใต้ Modular Concept ที่ให้ความสำคัญกับวัสดุที่มีคุณภาพ พร้อมการออกแบบคอนโซลที่เล่นระดับให้มีมิติ เพิ่มความหรูหราด้วยภายในแบบทูโทนขาวสลับดำ เน้นความสะดวกในการใช้สอย สำหรับทั้งคนขับ และผู้โดยสาร
เพิ่มอรรถประโยชน์ในการใช้งาน โดยเฉพาะการออกแบบห้องโดยสารที่โดดเด่นในเรื่องของพื้นที่เหนือศีรษะ (Head room) และพื้นที่วางขา (Leg room) โดย All New MG3 Hybrid+ มีห้องสัมภาระท้ายจุได้มากถึง 293 ลิตร และเมื่อพับเบาะสามารถจุได้มากถึง 1,037 ลิตร อำนวยความสะดวกสบายในการขับขี่ และการใช้งานฟังค์ชันต่างๆ ด้วยหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิทอลขนาด 7 นิ้ว และหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิทอลขนาด 10.25 นิ้ว รวมถึงระบบเชื่อมต่อมัลทิมีเดีย Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และกุญแจรีโมทอัจฉริยะแบบ Smart Key
บทสรุปของนิยามบทใหม่ ภายใต้การรังสรรค์อย่างมีประสิทธิภาพของ All New MG3 Hybrid+
All New MG3 Hybrid+ ถือเป็นโกลบอลโมเดลที่สะท้อนความมุ่งมั่นของ MG ด้วยการเป็นยนตรกรรมที่คิดค้น พัฒนา และทดสอบโดยทีมวิศวกรระดับโลก และมีการปรับทูนทุกระบบเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับการใช้งานจริงบนท้องถนนทั่วโลก และพร้อมที่จะส่งมอบประสบการณ์ไฮบริดครั้งใหม่ที่จะยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์โลก และขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่อีกขั้น โดยมีสถิติที่น่าสนใจ ดังนี้
รวมระยะทางมากกว่า 14,000 กม. กับการวิ่งทดสอบบนถนนจริง (Road Test) ในทวีปยุโรปเป็นระยะเวลากว่า 2 เดือนเต็มในช่วงฤดูร้อน และมากกว่า 10,000 กม. ใน 2 เดือนเต็มของช่วงฤดูหนาว
ระยะทางมากกว่า 5,000 กม. ที่ทีมวิศวกรระดับโลกได้นำ All New MG3 Hybrid+ วิ่งทดสอบ และปรับทูนในสถานการณ์ที่หลากหลาย (Multi-scenario Road Test and Tuning) โดยมีสภาพภูมิประเทศ สภาพภูมิอากาศ และพื้นผิวบนท้องถนนที่แตกต่างกัน อาทิ สนามทดสอบกว่างเต๋อ (SAIC-GM Guangde Proving Ground) ในมณฑลอานฮุย (Anhui) สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นสนามทดสอบรถทุกรุ่นของ SAIC Motor Corporation ก่อนปล่อยสู่ตลาด ตลอดจนทดสอบวิ่งบนถนนสาธารณะ (Public Road) บนทางไฮเวย์ รวมถึงการทดสอบวิ่งในสนามที่มีสภาพอากาศหนาวเย็นอย่าง Hailar Ultra-cold Proving Ground ในเมืองไฮลาเออร์ ประเทศมองโกเลีย กับการทดสอบแบบ Extreme Cold Test ภายใต้อุณหภูมิ -30 °C ทั้งยังผ่านการทดสอบการวิ่งใช้งานในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิร้อนจัด หรือ Extreme Hot Test ภายใต้อุณหภูมิพื้นผิวสูงถึงกว่า 70 °C ที่เมืองถูหลู่ฟาน มณฑลซินเจียง ซึ่งถือเป็นดินแดนที่ร้อนที่สุดในประเทศจีน
มากกว่า 300 ครั้ง กับการขับทดสอบปรับทูนรับระบบช่วงล่าง
มากกว่า 200 ชม. ในการทดสอบการปรับทูนพวงมาลัย บนเงื่อนไขทั้งในการจำลองสถานการณ์เหมือนจริง (Simulator) และการขับทดสอบบนท้องถนน (Real road) เพื่อศักยภาพในการควบคุมการขับขี่ ให้แม่นยำ รวดเร็ว และดีกว่ารถไฮบริดทั่วไป ด้วยความไวของพวงมาลัยที่เพิ่มขึ้นถึง 5 %
มากกว่า 100 ครั้ง กับการจำลองโมเดลเสมือนจริง เพื่อพัฒนายางล้อที่มีประสิทธิภาพ
สำหรับในประเทศไทย เริ่มตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทีมวิศวกรได้นำ All New MG3 Hybrid+ วิ่งทดสอบ รวมระยะทางวิ่งแล้วกว่า 10,000 กม. ทั่วทุกภูมิภาค
ล่าสุดกับรางวัล “Affordable Hybrid of the Year” จาก Auto Express in UK
GAC AION เปิดโรงงานผลิตในไทย
Suzuki พร้อมลุยงานบริการเต็มสูบ
บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศแผนดำเนินธุรกิจในประเทศไทย มุ่งเสริมความแข็งแกร่งด้านงานบริการ เตรียมขยายการรับประกันฟรีค่าแรงเชคระยะ สูงสุด 3 ปี หรือ 60,000 กิโลเมตร พร้อมเป้าหมายมีอะไหล่รองรับรถยนต์ทุกรุ่นนาน 10 ปี โดยนำแอพพลิเคชัน Hello Suzuki รองรับงานบริการที่รวดเร็วทันใจ เร่งเดินหน้าขยายศูนย์บริการให้ครอบคลุมทุกภูมิภาค และพัฒนายกระดับศูนย์ซ่อมตัวถัง และสีตามมาตรฐานของ Suzuki (ซูซูกิ) เพื่อรองรับงานบริการอย่างทั่วถึงในอนาคต
ทาดาโอะมิ ซูซูกิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สถานการณ์ตลาดรถยนต์ในประเทศยังคงซบเซา ช่วงระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา (เดือนมกราคม-มิถุนายน) ตลาดรถยนต์รวมมียอดขายอยู่ที่ 307,995 คัน สำหรับ Suzuki ยอดขายรวมทั้งสิ้น 3,791 คัน ลดลง 54 % จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2023 ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ตลาดยังคงหดตัว คือ ปัญหาสภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา ส่งผลให้ปัญหาหนี้ครัวเรือน และค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้น กระทบต่อการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ แม้จะต้องเผชิญกับการแข่งขันในอุตสากรรรมยานยนต์ที่เข้มข้น สภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงไม่ฟื้นตัว จนส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ในภาพรวม และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญในช่วงที่ผ่านมา Suzuki ยังมุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจในประเทศไทยต่อไปอย่างมั่นคง จึงเตรียมแผนการดำเนินธุรกิจให้พร้อมรองรับต่อการแข่งขันในอนาคต ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้วิสัยทัศน์การดำเนินธุรกิจ “Enhancing the Ability to Compete in the Upcoming Automotive Market เพิ่มขีดความสามารถสู่การแข่งขันในอนาคต” ที่ได้ทำการประกาศแก่ผู้จำหน่ายรถยนต์ Suzuki ไปในช่วงต้นปีที่ผ่านมา
แผนการดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่จะเกิดขึ้นภายใต้แคมเปญ “Suzuki Worry Free” ซึ่งจะเป็นการยกระดับงานบริการในทุกด้าน โดยเน้นย้ำถึงการดูแลลูกค้าด้วยความจริงใจ มอบคุณภาพของงานบริการที่ดีที่สุด ตอบแทนความไว้วางใจที่ลูกค้าชาวไทยมอบให้เสมอมา
นอกจากแผนการพัฒนางานบริการในด้านต่างๆ Suzuki ยังเตรียมความพร้อมแข่งขันในตลาดรถยนต์ ด้วยแผนการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ 4 รุ่น ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป ซึ่งสอดคล้องกับทิศทาง และนโยบายการรักษาความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยประกอบไปด้วย รถประเภทไฮบริด และรถพลังงานไฟฟ้า 100 % โดยมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าแต่ละรุ่นจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องต่อความต้องการของลูกค้า และสามารถแข่งขันได้ในอนาคตอย่างแน่นอน
วัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในฐานะที่เข้ามารับผิดชอบดูแลงานด้านการวางแผนบริหารงานฝ่ายบริการ และอะไหล่ สิ่งที่ยึดมั่น คือ การดำเนินงานภายใต้ปรัชญา “Suzuki Cause We Care-เหนือกว่าความใส่ใจ คือ ความเข้าใจทุกความต้องการ” การพัฒนางานบริการในทุกด้านเพื่อยกระดับคุณภาพของผู้จำหน่ายรถยนต์ Suzuki ทั่วประเทศ เป็นเป้าหมายสำคัญยิ่งของ ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย)ฯ
โดยเพื่อให้ Suzuki สามารถดำรงอยู่ได้อย่างแข็งแกร่ง และยั่งยืนในประเทศไทย การปรับปรุงแผน และพัฒนาการดำเนินงานเพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าจึงเป็นสิ่งสำคัญ แคมเปญ “Suzuki Worry Free” จึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เราเชื่อมั่นว่าจะสามารถรองรับการดูแลลูกค้าด้วยคุณภาพ และมาตรฐานของ Suzuki ได้อย่างแท้จริง ซึ่งรายละเอียดจะประกอบไปด้วย 7 หัวข้อ ดังนี้
ฟรี ! ค่าแรงเชคระยะ สูงสุด 3 ปี
● สำหรับลูกค้าที่นำรถเข้าเชคระยะต่อเนื่องตามกำหนดกับศูนย์บริการรถยนต์ Suzuki ทุกสาขา ฟรี ! ค่าแรงเชคระยะ สูงสุด 3 ปี หรือ 60,000 กิโลเมตร (โดยอย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
ขยายการรับประกันอะไหล่ และงานบริการ
● อุ่นใจไร้กังวล กับการขยายการรับประกันงานซ่อม และอะไหล่แท้ทุกชิ้น นานถึง 1 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร (โดยอย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) จากเดิมที่รับประกันเพียง 3 เดือน หรือ 5,000 กิโลเมตร
บริการพิเศษรถสำรองใช้ระหว่างซ่อม
● รถยนต์ที่อยู่ในระยะรับประกัน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร ไร้ความกังวลเรื่องไม่มีรถใช้งานระหว่างซ่อม ด้วยบริการพิเศษ "รถสำรองใช้ระหว่างซ่อม" สำหรับรถยนต์ Suzuki ที่ต้องใช้เวลาตรวจเชคมากกว่า 1 วัน (ไม่รวมระยะเวลาวิเคราะห์ปัญหา) และไม่รวมกรณีรถเกิดอุบัติเหตุ
Hello Suzuki Application ยกระดับงานบริการแบบ S-Solution
● Hello Suzuki คือ แอพพลิเคชันที่จะเชื่อมต่อข้อมูลการทำงานกับลูกค้า อำนวยความสะดวกสบาย และความมั่นใจในงานบริการทุกขั้นตอน ทั้งการนัดหมายนำรถเข้ารับบริการ หรือติดต่อสอบถามข้อมูล รายงานการตรวจสอบ และดูแลรถในทุกขั้นตอน รวมถึงการมอบสิทธิพิเศษมากมาย ด้วยการสะสมคะแนนจากค่าใช้จ่ายในการเข้าซ่อมบำรุงตามระยะอย่างต่อเนื่อง หรือซ่อมแซม ที่ศูนย์บริการของ Suzuki ทั่วประเทศ
ระบบการจัดการอะไหล่ มีเป้าหมายรองรับบริการได้ไม่น้อยกว่า 10 ปี
● การจัดการเตรียมระบบจัดการอะไหล่รถยนต์ทุกรุ่นที่จำหน่ายภายในประเทศ ช่วยให้ลูกค้าคลายความกังวลเรื่องการขาดแคลนอะไหล่ในการบำรุงรักษารถ เพราะ Suzuki มีคลังอะไหล่ 2 แห่ง ทั้งที่คลังอ่อนนุช กรุงเทพมหานคร มีพื้นที่จัดเก็บขนาด 1,216 ตารางเมตร และคลังอะไหล่ จังหวัดระยอง มีพื้นที่จัดเก็บขนาด 4,076 ตารางเมตร รวมถึงคลังอะไหล่ของผู้จำหน่ายทั่วประเทศ มีอะไหล่จัดเก็บรวมมากถึง 741,000 ชิ้น โดยมีเป้าหมายรองรับความต้องการของลูกค้าได้ไม่น้อยกว่า 10 ปี นับจากวันที่สิ้นสุดการผลิต
● บริการจัดส่งอะไหล่แบบเร่งด่วนภายใน 24 ชั่วโมง ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล และพื้นที่อื่นๆ ภายใน 48 ชั่วโมง
● คุ้มค่าต่อการใช้งาน ด้วยอะไหล่ในราคาที่เข้าถึงง่าย
ศูนย์บริการครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ
● ลูกค้ามั่นใจกับศูนย์บริการ 92 แห่ง ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ และเตรียมเสริมความแข็งแกร่งเพื่อรองรับแผนงานในอนาคต ด้วยการแต่งตั้งผู้จำหน่ายรายใหม่เพิ่มอีก 6 แห่ง ประกอบด้วย จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดหนองคาย จังหวัดบึงกาฬ และจังหวัดพัทลุง
ศูนย์บริการซ่อมตัวถัง และสีตามมาตรฐานของ Suzuki
● ปัจจุบัน Suzuki มีผู้จำหน่ายที่มีบริการศูนย์ซ่อมตัวถัง และสีตามมาตรฐานของ Suzuki ด้วยกันทั้งหมด 32 แห่ง ประกอบด้วย
1 บริษัท ซูซูกิ อินดี้ บางหว้า จำกัด กรุงเทพฯ และปริมณฑล กรุงเทพฯ
2 บริษัท ดี โฟร์ คาร์ซิตี้ จำกัด กรุงเทพฯ และปริมณฑล กรุงเทพฯ
3 บริษัท พีพี เมกะ ออโต้ จำกัด กรุงเทพฯ และปริมณฑล กรุงเทพฯ
4 บริษัท มาพรพาณิชย์ จำกัด กรุงเทพฯ และปริมณฑล กรุงเทพฯ
5 บริษัท ยูโรเปียน มอเตอร์คาร์ จำกัด (สำนักงานใหญ่) กรุงเทพฯ และปริมณฑล กรุงเทพฯ
6 บริษัท ยูโรเปียน มอเตอร์คาร์ จำกัด (สาขาทองหล่อ) กรุงเทพฯ และปริมณฑล กรุงเทพฯ
7 บริษัท บีบี ซูซูกิ ออโต้ จำกัด (สำนักงานใหญ่) กรุงเทพฯ และปริมณฑล กรุงเทพฯ
8 บริษัท ซูซูกิ ตงเจริญออโต้เซลส์ จำกัด กรุงเทพฯ และปริมณฑล ปทุมธานี
9 บริษัท ซูซูกิ นวนคร จำกัด กรุงเทพฯ และปริมณฑล ปทุมธานี
10 บริษัท นวซูซูกิ ปทุมธานี จำกัด กรุงเทพฯ และปริมณฑล ปทุมธานี
11 บริษัท นวออโตโมบิล บางใหญ่ จำกัด กรุงเทพฯ และปริมณฑล นนทบุรี
12 บริษัท ยนต์ตระการ พรีเมียม คาร์ จำกัด กรุงเทพฯ และปริมณฑล นนทบุรี
13 บริษัท สุพรรณยนตการ เทรดดิ้ง จำกัด กรุงเทพฯ และปริมณฑล นนทบุรี
14 บริษัท บีบี ซูซูกิ ออโต้ จำกัด (สาขาบางบ่อ) กรุงเทพฯ และปริมณฑล สมุทรปราการ
15 บริษัท ซูซูกิ ราชบุรี จำกัด (สำนักงานใหญ่) ภาคกลาง ราชบุรี
16 บริษัท ซูซูกิ ราชบุรี จำกัด (สาขาบ้านโป่ง) ภาคกลาง ราชบุรี
17 บริษัท ซูซูกิกาญจนบุรี จำกัด ภาคกลาง กาญจนบุรี
18 บริษัท พ.บรรจง ออโตซัพพลาย จำกัด ภาคกลาง ประจวบคีรีขันธ์
19 บริษัท ซูซูกิ หัวหิน (สิทธิภัณฑ์) จำกัด ภาคกลาง ประจวบคีรีขันธ์
20 บริษัท ซูซูกิเพชรบุรี (สิทธิภัณฑ์) จำกัด ภาคกลาง เพชรบุรี
21 บริษัท ซูซูกิ ฉะเชิงเทรา (2555) จำกัด ภาคตะวันออก ฉะเชิงเทรา
22 บริษัท ซูซูกิ ออโต้ เชียงใหม่ จำกัด ภาคเหนือ เชียงใหม่
23 บริษัท ซูซูกิ ออโต้ เชียงใหม่ จำกัด (สาขาดอนจั่น) ภาคเหนือ เชียงใหม่
24 บริษัท บี.เค. ออโต้ โมบิล จำกัด ภาคเหนือ ตาก
25 บริษัท คลัง ออโตโมบิลส์ จำกัด (สำนักงานใหญ่) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นครราชสีมา
26 บริษัท คลัง ออโตโมบิลส์ จำกัด (สาขาบายพาส) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นครราชสีมา
27 บริษัท คลัง ออโตโมบิลส์ จำกัด (สาขาปากช่อง) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นครราชสีมา
28 บริษัท ซูซูกิเจียงอุดร จำกัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อุดรธานี
29 บริษัท สำราญยนตรการ ชัยภูมิ จำกัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ชัยภูมิ
30 บริษัท ซูซูกิ อุบลราชธานี จำกัด (สำนักงานใหญ่) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อุบลราชธานี
31 บริษัท ซูซูกิ อุบลราชธานี จำกัด (สาขาเดชอุดม) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อุบลราชธานี
32 บริษัท เลิศวิจิตร ออโต้เซลส์ จำกัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อำนาจเจริญ
โดยในอนาคต ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย)ฯ ยังมีแผนงานที่จะขยายงานบริการศูนย์ซ่อมตัวถัง และสีตามมาตรฐานของ Suzuki เพิ่มอีกจำนวน 9 แห่ง ทั้งในจังหวัดนนทบุรี จังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดสุโขทัย จังหวัดอยุธยา จังหวัดลพบุรี และจังหวัดขอนแก่น ภายในปี 2567
“เราพยายามพัฒนางานบริการหลังการขายให้ยกระดับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเพิ่มเข้ามาของบริการ Hello Suzuki คือ ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้เราพัฒนาระบบจัดการฐานข้อมูลลูกค้า (Dealer Management System หรือ DMS) ให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งนี้ เพื่อทราบถึงข้อมูลการเข้ารับบริการของลูกค้าได้แบบ Real Time ซึ่งช่วยประเมินความต้องการของลูกค้า ไปจนถึงเรื่องของค่าใช้จ่ายในการเข้ารับบริการได้อย่างแม่นยำ ทั้งยังร่วมมือกับผู้จำหน่ายทุกราย มุ่งเน้นการอบรมพนักงานในเชิงปฏิบัติอย่างมืออาชีพให้มีใจรักในการบริการลูกค้าเป็นอย่างดีอีกด้วย”
ทั้งนี้ แม้ Suzuki จะต้องเผชิญการแข่งขันในตลาดที่ค่อนข้างรุนแรง รวมถึงสภาวะการหดตัวลงของตลาด และความเข้มงวดของสถาบันการเงินต่างๆ แต่ในช่วงที่ผ่านมา เรายังคงรักษาระดับยอดขายรถยนต์ไว้ได้อย่างน่าพอใจ ซึ่งนอกจากต้องขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ไว้วางใจในผลิตภัณฑ์ของ Suzuki เป็นอย่างสูงแล้วนั้น ต้องขอขอบคุณผู้จำหน่ายของ Suzuki ทุกรายที่ทำงานอย่างหนัก จึงขอให้ลูกค้า Suzuki ทุกท่านเชื่อมั่นได้ว่า เราจะยังเดินหน้าพัฒนาคุณภาพในทุกด้านอย่างไม่หยุดยั้ง โดยยึดความสำคัญด้านการบริการทั้งก่อน และหลังการขายเป็นที่ตั้ง เพื่อตอบแทนความไว้วางใจที่ลูกค้ามอบให้ จนเราสามารถสร้างยอดขายสะสมนับตั้งแต่เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยได้ถึง 310,885 คัน
อย่างไรก็ตาม ปรัชญา “Suzuki Cause We Care-เหนือกว่าความใส่ใจ คือ ความเข้าใจทุกความต้องการ” นอกจากเป็นแนวทางในการยึดมั่นให้เราพัฒนางานบริการ และผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเพื่อลูกค้าแล้ว ยังเป็นโครงการที่ต้องการสื่อสารไปยังลูกค้า และคนไทยทุกท่าน ว่าเราไม่ใช่แค่เพียงผู้ผลิต และจำหน่ายรถยนต์ แต่เราหวังเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคม พร้อมกับการพัฒนาธุรกิจควบคู่ไปกับการอยู่คู่เคียงข้างชุมชน และสังคมไทยอย่างยั่งยืนอีกด้วย พร้อมทั้งตอกย้ำการมาของรถยนต์รุ่นใหม่ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป ที่จะสร้างการเติบโตของตลาดรถยนต์ภายในประเทศต่อไป
“งานประกวดรถโบราณ ครั้งที่ 46” เปิดงานอย่างเป็นทางการ
สมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย ร่วมกับ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์ จัด “งานประกวดรถโบราณ ครั้งที่ 46” แสดงรถโบราณ และรถคลาสสิค ทรงคุณค่ากว่าร้อยคัน พร้อมมีนีคอนเสิร์ทเพลงย้อนยุค และกิจกรรมมากมาย วันนี้-21 กรกฎาคม 2567
ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ นายกสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า "งานประกวดรถโบราณ ครั้งที่ 46" จัดภายใต้แนวคิด "สะท้อน และส่องทาง-Reflecting and llluminating the path” เพื่อแสดงให้เห็นว่ารถโบราณแต่ละคันสะท้อน และส่องทางรูปแบบศิลปะในแต่ละยุคสมัย โดยปีนี้มีผู้ส่งรถโบราณ และรถคลาสสิคเข้าประกวด และจัดแสดงให้ชมกว่า 100 คัน ณ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์
การประกวดแบ่งออกเป็น 7 รุ่น ได้แก่ รถรุ่นบรรพบุรุษ รถรุ่นผ่านศึก รถโบราณ รถรุ่นก่อนสงคราม รถรุ่นหลังสงคราม รถคลาสสิค และรถคลาสสิคร่วมสมัย โดยรถเด่น ได้แก่ Lancia Artena ปี 1931 รถยนต์สัญชาติอิตาเลียน ซึ่งเป็นแบบโปสเตอร์งานปีนี้/Mercedes-Benz 300 Cabriolet D ปี 1953 รถเปิดประทุนคันงามของค่ายดาวสามแฉก/Mercedes-Benz 190SL ปี 1956 ของ มาริโอ้ เมาเร่อ ที่ร่วมขบวน Love Pride Parade 2024/Ford Mustang ปี 1966 ม้าป่าสัญชาติอเมริกันคันงามของ มิค-บรมวุฒิ หิรัญยัษฐิติ
นอกจากนี้ ยังมีการประกวด รถจำลอง รถดัดแปลง รถประดิษฐ์พิเศษ รถแจกวาร์ รถมีนี รถโฟล์คสวาเกน รถอเมริกัน และกิจกรรมอื่นๆ ได้แก่ เสวนาเรื่อง “ทิศทางการสะสม และอนุรักษ์รถคลาสสิคในประเทศไทย” การประกวดราชินีแห่งความสง่างาม มีนีคอนเสิร์ทจาก สมาคมดนตรีแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ตลาดนัดซื้อขายอะไหล่รถโบราณ จำหน่ายสินค้าวินเทจ เช่น รถโบราณจำลอง หนังสือ นิตยสาร ฯลฯ
ณัฐรินทร์ พยุงวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ-สายการตลาดและพัฒนาธุรกิจ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค ผู้ให้การสนับสนุนสถานที่จัดงาน กล่าวว่า "งานประกวดรถโบราณครั้งนี้ จัดขึ้นบนพื้นที่กว่า 5,000 ตารางเมตร ทั่วบริเวณศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์ ผู้ชมจะได้ตื่นตาตื่นใจกับรถโบราณระดับตำนานที่หาชมได้ยากกว่า 100 คัน และเรายังสร้างความประทับใจให้ผู้ชมด้วยการจัดตกแต่งสถานที่สไตล์ Art Deco ที่มีความหรูหรา ผสมผสานกับความทันสมัย เพื่อให้ผู้ชมได้ชื่นชมความงดงามทั้งรถ และสถานที่จัดแสดง พร้อมเก็บภาพถ่ายเป็นที่ระลึก และแชร์ลงโซเชียล นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมสุดพิเศษสำหรับสมาชิก Future Park ที่ร่วมสนุกตามหา QR Code จุดโชว์รถไฮไลท์ครบทั้ง 4 คัน รับฟรี ! ของรางวัล กระบอกน้ำ และอุปกรณ์ทำความสะอาด"
เชิญชม “งานประกวดรถโบราณ ครั้งที่ 46” ณ ชั้น G ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์ ตั้งแต่วันนี้-21 กรกฎาคม 2567 ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ vintagecarclub.or.th และ facebook.com/VintageCarClub
ครม. อนุมัตินำเข้ารถโบราณ
เลขาธิการสมาคมรถโบราณเชื่อนำเข้ารถโบราณช่วยสร้างงานคนไทย กรมการขนส่งฯ เผยกำลังร่างระเบียบ คาดมีผลเดือนกันยายนนี้
ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย เผยในงานประกวดรถโบราณ ครั้งที่ 46 ว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อ 12 มีนาคม 2567 อนุมัติให้นำเข้ารถโบราณมาในประเทศไทยได้นั้น สมาคมฯ ต้องขอขอบคุณกระทรวงพาณิชย์ กรมสรรพสามิต กรมควบคุมมลพิษ และ กรมการขนส่งทางบก ที่รับฟังข้อมูลของสมาคมฯ ด้วยดีมาตลอด และเชื่อว่าการอนุญาตนำเข้ารถโบราณจะช่วยส่งเสริมการอนุรักษ์รถโบราณ และรถคลาสสิคในบ้านเราให้คึกคัก รวมทั้งช่วยสร้างงานด้านการซ่อมบูรณะรถโบราณให้คนไทยได้อีกมาก
เสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า ขณะนี้กรมการขนส่งทางบกอยู่ในระหว่างออกระเบียบเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี โดยหลักเกณฑ์ในการนำเข้ารถโบราณนั้น รถต้องมีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ลักษณะป้ายทะเบียนเป็นพื้นสีดำตัวหนังสือสีขาว ตัวอักษรเริ่มที่ ก.ไก่ และจำกัดวันใช้งานเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ วันหยุดนักขัตฤกษ์ หากวิ่งวันธรรมดาต้องขอยื่นอนุญาตใช้รถเป็นกรณีพิเศษ สำหรับรถโบราณป้ายขาวสามารถวิ่งได้ทุกวันตามปกติ และไม่สามารถข้ามหมวดสลับสีป้ายทุกกรณี ซึ่งร่างมาตรการทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายนนี้ จากนั้นจะนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติต่อไป
“น้ำมันดีเซล” จ่อขยับราคาขึ้นอีก 1 บาท เริ่ม สค. นี้
จับตา ! เตรียมปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลอีก 1 บาท ดันราคาใหม่พุ่ง 34 บาท/ลิตร เริ่ม 1 สค. นี้
จ่อปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลอีก 1 บาท
กระทรวงพลังงาน เผยว่า มีความเป็นไปได้ที่คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) จะพิจารณาแนวทางปรับราคาดีเซลแบบทยอยขึ้น 1 บาท/ลิตร ทำให้เพดานราคาใหม่จะไม่เกิน 34 บาท/ลิตร ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป หลังใกล้ครบกำหนดเพดานราคาดีเซลไม่เกิน 33 บาท/ลิตร ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 โดยปัจจุบันราคาขายหน้าปั๊มอยู่ที่ 32.94 บาท/ลิตร
การพิจารณาปรับราคาดีเซลดังกล่าว เพื่อรักษาสภาพคล่องให้แก่กองทุนที่สถานะล่าสุด (7 กค. 67) ติดลบ 111,595 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 63,944 ล้านบาท และบัญชีแกสปิโตรเลียมเหลว (LPG) หรือแกสหุงต้มติดลบ 47,651 ล้านบาท
ปัจจุบันราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกยังมีความผันผวนสูง ช่วงเดือนที่ผ่านมามีแนวโน้มลดลงบ้าง จนกองทุนฯ ลดอุดหนุนระดับ 4 บาท/ลิตร จนสามารถเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันดีเซลเข้ากองทุนได้สำเร็จ แต่ขณะนี้แนวโน้มกลับมาขึ้นอีกครั้ง ทำให้กองทุนฯ ต้องอุดหนุนกว่า 2 บาท/ลิตร ซึ่งหากไม่ปรับราคาดีเซลขึ้นหลังวันที่ 31 กค. นี้ อาจทำให้สถานการณ์กองทุนยิ่งแย่
ทั้งนี้ ก่อนจะพิจารณาแนวทางปรับราคาดีเซลขึ้น ที่ผ่านมาได้พยายามส่งหนังสือถึงสำนักงบประมาณ เพื่อขอใช้งบกลางปี 2567 วงเงิน 6,500 ล้านบาท เป็นไปตามที่ ครม. อนุมัติไว้ภายใต้เงื่อนไขให้ใช้กลไกกองทุนดูแลราคาน้ำมัน และ LPG ก่อน แต่เบื้องต้นได้รับการประสานอย่างไม่เป็นทางการว่างบกลางฯ มีจำกัด อาจไม่สามารถนำมาดูแลราคาดีเซล และ LPG ได้ ขณะที่อีกแนวทาง คือ เสนอให้กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง ลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตดีเซลลงในอัตราที่เหมาะสม
สิบล้อพร้อมขึ้นค่าขนส่ง-ลุยม็อบ หากดีเซลปรับขึ้น
กลุ่มสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย เผยว่า หากกระแสข่าวคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีแนวโน้มจะปรับราคาน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 1 บาท จาก 33 บาท/ลิตร ไป 34 บาท/ลิตร ตั้งแต่วันที่ 1 สค. 67 เป็นเรื่องจริงนั้น ทางสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย จะรับมือเบื้องต้นในการขึ้นราคาค่าขนส่งเพิ่ม รวมถึงเดินหน้าสานต่อการเคลื่อนม็อบรถบรรทุกทันที หลังจากเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดเมื่อวันที่ 3 กค. ที่ผ่านมา โดยหลังจากประกาศเลื่อนการรวมตัวออกไป ยังไม่ได้รับการติดต่อให้ไปร่วมพูดคุยหารือกับทางหน่วยงานรัฐบาล หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทางสหพันธ์การขนส่งฯ ก็ยื่นหนังสือเรียกร้องประเด็นราคาน้ำมันดีเซลแพงไปถึงรัฐบาลรวม 4 ครั้งแล้ว และหากหลังเดือนกรกฎาคม ยังไม่มีการแก้ปัญหา ซ้ำราคาน้ำมันดีเซลส่อแววขึ้นอีก คงต้องใช้มาตรการเรียกร้องที่เด็ดขาด และจริงจังกันต่อไป
ขึ้นราคา ดีเซล อีก 50 สต. พุ่ง 32.44 บาท
MG ถังเดียวไปได้ไกลกว่า 800 กม. !
บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด และบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิต และผู้จำหน่ายรถยนต์ MG (เอมจี) ในประเทศไทย เตรียมนำเทคโนโลยีไฮบริดรุ่นใหม่เข้ามาใส่ใน Global Model รุ่นล่าสุดอย่าง All New MG3 Hybrid+ (เอมจี 3 ไฮบริด พลัส) ใหม่ รถยนต์พลังงานทางเลือกที่มาพร้อมนวัตกรรมล้ำสมัยที่จะเข้ามาจุดประกายตลาดรถยนต์ไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์สีเขียว (Green Mobility) ซึ่งพัฒนาโดย SAIC Motor Corporation ที่ผสานประสิทธิภาพที่ทรงพลัง ความประหยัด และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างลงตัว สู่การยกระดับมาตรฐานรถยนต์ไฮบริดที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ และสร้างอนาคตแห่งการเดินทางที่ยั่งยืน และการขับขี่ที่สมบูรณ์แบบ
Hybrid+ ในแบบฉบับของ MG ที่ทำงานได้อย่างลงตัวในทุกช่วงความเร็ว
หลังจากที่ All New MG3 Hybrid+ ทยอยเปิดตัวอย่างเป็นทางการทั้งในประเทศอังกฤษ และประเทศชั้นนำในยุโรป รวมไปถึงทวีปอเมริกา อย่างประเทศเมกซิโก ก่อนข้ามมาสร้างปรากฏการณ์อีกซีกโลก ทั้งในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย และฟิลิปปินส์ ต่างได้รับเสียงตอบรับจากสื่อ และผู้ใช้งานถึงความโดดเด่นในเรื่องการเป็นยนตรกรรมที่มอบประสิทธิภาพในการขับขี่ได้อย่างดีเยี่ยม เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการความสมดุลระหว่างสมรรถนะ และความประหยัด โดยหนึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้รถรุ่นนี้เป็นที่น่าสนใจในกลุ่ม B-Segment คือ ระบบ Hybrid+ ที่เหนือกว่าด้วยสมรรถนะอันทรงพลัง และการบริหารพลังงานในแบบฉบับรถไฟฟ้าจากมอเตอร์ขับเคลื่อนให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า 250 นิวทันเมตร และมอเตอร์ที่ใช้สร้างกระแสไฟได้สูงสุด 45 กิโลวัตต์ ผสานความแรงของเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ที่พัฒนาขึ้นใหม่จาก SAIC Motor Corporation ให้แรงม้าสูงสุด 102 แรงม้า รองรับน้ำมัน E20 รวมแรงม้าสูงสุด 194 แรงม้า แรงบิด 250 นิวทันเมตร ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ไฟฟ้า EDU 3 ระดับ มาพร้อมแบทเตอรี Lithium-ion ความจุ 1.83 กิโลวัตต์ชั่วโมง สู่การเป็นโมเดลไฮบริดใหม่ที่ครบสมบูรณ์แบบด้วยความเหนือชั้นของ 8 โหมดขับเคลื่อน ที่รวมทุกระบบไฮบริดไว้ได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) ระบบขับเคลื่อนแบบผสานเครื่องยนต์ และมอเตอร์ (Parallel Hybrid) หรือแม้แต่การขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน (Pure EV) โดยสามารถปรับเปลี่ยนการทำงานได้อย่างราบรื่น และเหมาะสมที่สุดในแต่ละช่วงความเร็ว
เจาะลึก 8 โหมดขับเคลื่อนของ All New MG3 Hybrid+ จากจุดหยุดนิ่งไปจนถึงวิ่งแบบเต็มพลัง
โหมดจอดหยุดนิ่ง
ระบบจะใช้พลังงานจากแบทเตอรีแรงเคลื่อนสูง (HV Battery) เพื่อทำให้ระบบปรับอากาศ และระบบอื่นๆ ทำงานได้โดยที่เครื่องยนต์หยุดการทำงาน
โหมดวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนจนถึง 30 กม./ชม.
เมื่อออกตัวจากจุดหยุดนิ่งในช่วงความเร็ว 0-30 กม./ชม. รถจะขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วน (Pure EV) ให้ความรู้สึกนุ่มนวล และเงียบเหมือนรถไฟฟ้า พร้อมอัตราเร่งที่ตอบสนองได้ทันใจ
โหมดความเร็วที่วิ่งในถนนที่มีการจราจรหนาแน่น
เมื่อความเร็วเพิ่มขึ้นเป็น 30-50 กม./ชม. ซึ่งเป็นช่วงความเร็วต่ำ ใช้งานในเมือง ระบบจะสลับไปยังโหมดระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) โดยเครื่องยนต์จะทำหน้าที่แค่เพียงปั่นไฟ และส่งกระแสไฟไปให้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนตัวรถ ทำให้ได้ความรู้สึกนุ่มนวล ตอบสนองฉับไวแบบรถไฟฟ้า และรถมีความคล่องตัวมากขึ้น
โหมดความเร็ววิ่งในเมือง
แต่หากความเร็วไต่ระดับไปที่ 50-80 กม./ชม. ซึ่งมักจะเป็นช่วงสำหรับใช้งานเดินทางออกนอกเมืองด้วยความเร็วปานกลาง โหมดระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) จะยังช่วยให้ผู้ขับขี่สัมผัสได้ถึงแรงบิดสูงอย่างต่อเนื่อง เพราะเครื่องยนต์ยังทำหน้าที่เป็นตัวปั่นไฟช่วยให้มอเตอร์ขับเคลื่อนล้อโดยตรงได้แบบรถไฟฟ้า พร้อมส่งกระแสไฟส่วนเกินไปเก็บยังแบทเตอรีแรงเคลื่อนสูง
โหมดความเร็ววิ่งคงที่
เมื่อวิ่งด้วยความเร็วคงที่ในช่วงความเร็ว 80 กม./ชม. ซึ่งเป็นช่วงการขับขี่ระยะไกล ระบบจะสลับเป็นการใช้งานเครื่องยนต์ที่รอบความเร็วต่ำโดยใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวเครื่องยนต์จะตัดต่อการทำงานผ่าน Hybrid Transmission มี 3 อัตราทดแบบอัตโนมัติ มาขับเคลื่อนที่ตัวล้อโดยตรง ทำให้สามารถประหยัดน้ำมันได้มากกว่ารถแบบ Series Hybrid ทั่วไป ที่เครื่องยนต์ทำหน้าที่เพียงปั่นไฟอย่างเดียวตลอดเวลา
โหมดวิ่งทางไกล และเร่งแซง
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อรถอยู่ในช่วงเร่งความเร็ว 80-120 กม./ชม. ซึ่งเป็นช่วงขับขี่ทางไกล หรือขึ้นทางลาดชัน เมื่อต้องการเร่งแซง เพียงแค่กดคันเร่งเบาๆ ทั้งเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฮบริดกำลังสูงจะทำงานร่วมกัน (Parallel Hybrid) ให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสกับอัตราเร่งที่ตอบสนองได้ในทันที เมื่อต้องการเร่งแซง หรือขึ้นทางชัน รถจะสามารถให้อัตราเร่งสูงสุด และตอบสนองการขับขี่ได้อย่างดี เหนือกว่ารถไฮบริดทั่วไป
โหมดความเร็วสูง
และเมื่อใช้ความเร็วสูงกับการขับทางไกลบนไฮเวย์ที่ 120 กม./ชม. เครื่องยนต์จะทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยขณะที่รถขับเคลื่อนไป ระบบจะแบ่งกำลังส่วนที่เหลือจากเครื่องยนต์ไปหมุนเจเนอเรเตอร์ เพื่อปั่นไฟไปเก็บไว้ในแบทเตอรี
โหมดลดความเร็ว Regenerative
เมื่อผ่อนคันเร่งลดความเร็วลงมาในช่วง 120-0 กม./ชม. หรือช่วงขับขี่ลงทางชัน ระบบ Hybrid+ จะใช้มอเตอร์เป็นตัวหน่วงกำลัง ซึ่งจะทำหน้าที่ชาร์จไฟเป็นระบบ Energy Regeneration 3 ระดับ ซึ่งผู้ขับขี่สามารถตั้งค่าระดับการรีเจนได้แบบรถไฟฟ้า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้สูงสุด
ทั้งหมดนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความโดดเด่น และแตกต่างของระบบ Hybrid+ กับการผสานพลังอย่างลงตัวของเครื่องยนต์ที่พัฒนาให้มีประสิทธิภาพในการทำงานกับระบบไฮบริดเพิ่มมากขึ้น พร้อมแบทเตอรีขนาดใหญ่ และระบบ Hybrid Transmission ที่มี 3 อัตราทด ปรับทำงานอัตโนมัติช่วยให้เครื่องยนต์ที่ทำงานร่วมกับระบบไฮบริดมอเตอร์มีช่วงการทำงานที่กว้างมากขึ้น ตอบสนองการเร่งในช่วงความเร็วต่างๆ ได้ดีขึ้น โดยมีรอบการทำงานของเครื่องยนต์ที่ลดลง ที่สำคัญ All New MG3 Hybrid+ ยังใช้ไฮบริดมอเตอร์ เป็นเทคโนโลยีมอเตอร์ตัวเดียวกับรถไฟฟ้าแบบ High-Performance Permanent Magnet Synchronous Motors อีกด้วย
นี่คือ ระบบ Hybrid+ นวัตกรรมยานยนต์สู่การเป็น Green Mobility ที่พัฒนาโดย SAIC Motor Corporation ที่ทำให้ All New MG3 Hybrid+ เป็นยนตรกรรมไฮบริดครั้งใหม่ เพื่อยกระดับมาตรฐานรถยนต์ไฮบริด กับสมรรถนะที่ทำให้ผู้ขับขี่ได้รับความสนุก ครบเครื่อง และคุ้มค่ากว่าที่เคย เตรียมพบกับ All New MG3 Hybrid+ ที่มีกำหนดเปิดตัวในประเทศไทย เร็วๆ นี้
โพนิกซ์ฯ ผนึกพันธมิตร ติดตั้งระบบโซลาร์รูฟทอพ
โพนิกซ์ฯ ผู้นำด้านพลังงานสะอาดของคนยุคใหม่ ดำเนินธุรกิจระบบโซลาร์เซลล์แบบครบวงจร ร่วมมือกับ Caltex โดย บริษัท สตาร์ ฟูเอลส์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (SFL) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) (SPRC) และเป็นผู้ได้รับสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการประกอบธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงภายใต้ชื่อ Caltex ในประเทศไทย จัดพื้นที่ในสถานีบริการน้ำมัน Caltex สำหรับการติดตั้งระบบโซลาร์รูฟทอพ (Solar Rooftop) เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดย โพนิกซ์ฯ นำร่องติดตั้งแล้ว 4 แห่ง และตั้งเป้าเพิ่มเป็น 50 แห่งทั่วประเทศ ภายในปี 2568 คาดประหยัดค่าไฟฟ้าต่อสถานีบริการได้ถึง 50 %
พงศกร นาควิเชียร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โพนิกซ์ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันการพัฒนา และการใช้พลังงานทดแทนกำลังเป็นทเรนด์ที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในระดับโลก ไม่เพียงแต่ในแง่การเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเป็นการช่วยส่งเสริมความมั่นคงทางพลังงานอีกด้วย พลังงานแสงอาทิตย์เป็นหนึ่งในรูปแบบพลังงานทดแทนที่เติบโตเร็วที่สุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
โดยในประเทศไทยพบว่าตลาดโซลาร์เซลล์มีอัตราการเติบโตสูง ประกอบกับการส่งเสริมของรัฐบาลให้ภาคประชาชนประเภทบ้านพักอาศัย ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ในบ้าน และภาคธุรกิจก็มีการส่งเสริมให้ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อลดต้นทุนด้านพลังงาน และช่วยลดการปล่อยแกสเรือนกระจก ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ตลาดโซลาร์รูฟทอพในไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดดเฉลี่ยปีละ 22 % และคาดว่าจะแตะระดับ 6.7 หมื่นล้านบาท ในปี 2568 การริเริ่มของ โพนิกซ์ฯ มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนนโยบายภาครัฐซึ่งมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 และลดการปล่อยแกสเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2608 ในประเทศไทย
โพนิกซ์ฯ ผู้นำด้านพลังงานสะอาดของคนยุคใหม่ เล็งเห็นโอกาสในการสนับสนุนวาระการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals: SDGs) ตามเป้าหมายข้อที่ 7 ของ SDGs ในด้านการสร้างหลักประกันให้ทุกคนเข้าถึงพลังงานสมัยใหม่ที่ยั่งยืนในราคาย่อมเยา พร้อมตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการต่อยอดธุรกิจพลังงานทดแทนโดยมุ่งเน้นไปที่โซลาร์รูฟทอพ โพนิกซ์ฯ จึงได้ร่วมมือกับ Caltex ในการจัดหาพื้นที่ และติดตั้งระบบโซลาร์รูฟทอพ ภายในสถานีบริการน้ำมัน Caltex ซึ่งการติดตั้งระบบโซลาร์รูฟทอพ มีเป้าหมายช่วยลดต้นทุนของการประกอบกิจการในสถานีบริการ การติดตั้งระบบโซลาร์รูฟทอพภายในสถานีบริการยังช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ราว 73,000 กิโลวัตต์ชั่วโมง/สถานีบริการ/ปี
ความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญในการเติมเต็มธุรกิจทั้ง 2 ฝ่าย ด้วยการใช้ความแข็งแกร่ง ศักยภาพ และความพร้อมจากประสบการณ์ความเชี่ยวชาญจากทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อเสริมสร้างโอกาสทางธุรกิจควบคู่ไปกับการส่งเสริมการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพ
“เรามีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในระบบโซลาร์เซลล์ นำเสนอโซลูชันที่ครอบคลุมทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบ การติดตั้ง ไปจนถึงการบำรุงรักษา และที่สำคัญเราเลือกใช้แบรนด์ผลิตภัณฑ์ชั้นนำระดับสากลที่มีประสิทธิภาพ มีความน่าเชื่อถือ และปลอดภัย อย่าง จินโกะ โซลาร์ (Jinko Solar) แบรนด์ผลิตภัณฑ์แผงโซลาร์เซลล์ชั้นนำ และ Solar Edge ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องแปลงไฟ (Inverter) เป็นต้น จึงมั่นใจได้ว่าลูกค้าจะได้รับบริการ และอุปกรณ์ที่มีคุณภาพ และมาตรฐานสากล"
“ล่าสุด โพนิกซ์ฯ ได้นำร่องติดตั้งระบบโซลาร์รูฟทอพ ภายในสถานีบริการน้ำมัน Caltex แล้ว 4 แห่ง ได้แก่ สถานีบริการน้ำมัน Caltex ที่ตั้งอยู่ใน อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง อำเภอแปลงยาว จังหวัดฉะเชิงเทรา อำเภอบางปะอิน และอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยตั้งเป้าว่าภายในปี 2568 จะติดตั้งระบบโซลาร์รูฟทอพ ภายในสถานีบริการน้ำมัน Caltex เพิ่มเป็น 50 แห่งทั่วประเทศ และคาดว่าจะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าต่อสถานีบริการได้ถึง 50 %"
สมปรารถนา เจิมศิริวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการลงทุน และพัฒนาธุรกิจค้าปลีก บริษัท สตาร์ ฟูเอลส์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (SFL) กล่าวว่า นอกเหนือจากบริษัทฯ จะดำเนินแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจในการขยายเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันเพื่อเสริมสร้างการเติบโตแล้วนั้น บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นที่จะใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในการช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในการปฏิบัติการ โดยมองหาโอกาสที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการพลังงาน เราจึงภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับ โพนิกซ์ฯ ในการติดตั้งระบบโซลาร์รูฟทอพ ในสถานีบริการน้ำมัน Caltex ซึ่งเป็นอีกพลังงานทดแทนที่สำคัญในการส่งเสริมการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงสามารถช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้อีกด้วย
“นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าเพิ่มศักยภาพ และประสิทธิภาพในการให้บริการลูกค้าอย่างเต็มกำลัง เพื่อสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า พร้อมผลักดันธุรกิจให้เติบโตได้ตามแผนด้วยการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ และบริการน้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพสูง การทำตลาดผลิตภัณฑ์กับพันธมิตรธุรกิจที่หลากหลาย ตลอดจนเพิ่มความเข้มข้นในการขยายเครือข่ายสถานีบริการน้ำมัน และธุรกิจค้าปลีกที่ไม่ใช่น้ำมัน (Non-Oil) เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ในประเทศให้มากยิ่งขึ้น"