ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
สอท. แจงยอดผลิตรถเดือนมิถุนายน 2567 ลดลงร้อยละ 20.11
เดือนมิถุนายน 2567 ผลิตรถยนต์ 116,289 คัน ลดลงร้อยละ 20.11 ขาย 47,662 คัน ลดลงร้อยละ 26.04 ส่งออก 89,071 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.28 ขาย 47,662 คัน ลดลงร้อยละ 26.04 ส่งออก 89,071 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.28 ขายรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) 5,360 คัน ลดลงร้อยละ 16.38
ศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร ประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) และสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยจำนวนการผลิต ยอดขายภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ของประเทศ ในเดือนมิถุนายน 2567 ดังต่อไปนี้
รถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนมิถุนายน 2567 มีทั้งสิ้น 116,289 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 20.11 และลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 7.82 จากการผลิตขายในประเทศที่ลดลงถึงร้อยละ 43.08 ตามยอดขายในประเทศที่ลดลงร้อยละ 26 และผลิตส่งออกลดลงร้อยละ 3.70
จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 761,240 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 17.39
รถยนต์นั่ง เดือนมิถุนายน 2567 ผลิตได้ 43,033 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 14.45 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง Internal Combustion Engine มีจำนวน 29,894 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 23.67
• รถยนต์นั่ง Battery Electric Vehicle มีจำนวน 797 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 7,145.45
• รถยนต์นั่ง Plug-in Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 598 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 36.32
• รถยนต์นั่ง Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 11,744 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 15.27
ยอดผลิตของรถยนต์นั่ง ตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 มีจำนวน 283,223 คัน เท่ากับร้อยละ 37.21 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 11.79 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง Internal Combustion Engine มีจำนวน 177,320 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 30.03
• รถยนต์นั่ง Battery Electric Vehicle มีจำนวน 4,953 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 3,363.64
• รถยนต์นั่ง Plug-in Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 3,189 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 42.51
• รถยนต์นั่ง Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 97,761 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 57.80
รถยนต์โดยสารขนาดต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตัน ขึ้นไป ในเดือนมิถุนายน 2567 ไม่มีการผลิต รวมเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ผลิตได้ 10 คัน ลดลงจากปีที่แล้วร้อยละ 87.18
รถยนต์บรรทุก เดือนมิถุนายน 2567 ผลิตได้ทั้งหมด 73,256 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 23.08 และตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ผลิตได้ทั้งสิ้น 478,007 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 20.38
รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนมิถุนายน 2567 ผลิตได้ทั้งหมด 72,417 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 21.06 และตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ผลิตได้ทั้งสิ้น 466,738 คัน เท่ากับร้อยละ 61.31 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 20.06 โดยแบ่งเป็น
• รถกระบะบรรทุก 78,054 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 25.98
• รถกระบะดับเบิลแคบ 309,130 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 19.83
• รถกระบะ PPV 79,554 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 14.32
รถบรรทุกขนาดต่ำกว่า 5 ตัน-มากกว่า 10 ตัน เดือนมิถุนายน 2567 ผลิตได้ 839 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 76.06 รวมเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ผลิตได้ 11,269 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 31.73
ผลิตเพื่อส่งออก เดือนมิถุนายน 2567 ผลิตได้ 81,767 คัน เท่ากับร้อยละ 70.31 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 3.70 ส่วนเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ผลิตเพื่อส่งออกได้ 516,183 คัน เท่ากับร้อยละ 67.81 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากปี 2566 ระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 2.73
รถยนต์นั่ง เดือนมิถุนายน 2567 ผลิตเพื่อการส่งออก 23,627 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 2.42 และตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 151,508 คัน เท่ากับร้อยละ 53.49 ของยอดผลิตรถยนต์นั่ง ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 3.02
รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนมิถุนายน 2567 มียอดการผลิตเพื่อการส่งออก 58,140 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 5.98 และตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 364,675 คัน เท่ากับร้อยละ 78.13 ของยอดการผลิตรถกระบะ ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 4.93 โดยแบ่งเป็น
• รถกระบะบรรทุก 30,872 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 22.59
• รถกระบะดับเบิลแคบ 269,292 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 8.49
• รถกระบะ PPV 64,511 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 30.55
ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ เดือนมิถุนายน 2567 ผลิตได้ 34,522 คัน เท่ากับร้อยละ 29.69 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 43.08 และเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ผลิตได้ 245,047 คัน เท่ากับร้อยละ 32.19 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 37.30
รถยนต์นั่ง เดือนมิถุนายน 2567 ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 19,406 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 28.74 แต่ตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ผลิตได้ 131,715 คัน เท่ากับร้อยละ 46.51 ของยอดการผลิตรถยนต์นั่ง โดยเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ลดลงร้อยละ 24.30
รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนมิถุนายน 2567 มียอดการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 14,277 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 52.25 และตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ผลิตได้ทั้งสิ้น 102,063 คัน เท่ากับร้อยละ 21.87 ของยอดการผลิตรถกระบะ และลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 49.04 ซึ่งแบ่งเป็น
• รถกระบะบรรทุก 47,182 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 28.04
• รถกระบะดับเบิลแคบ 39,838 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 56.36
• รถกระบะ PPV 15,043 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 65.36
รถยนต์โดยสารขนาดต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตันขึ้นไป ในเดือนมิถุนายน 2567 ไม่มีการผลิต รวมเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ผลิตได้ 10 คัน ลดลงจากปีที่แล้วร้อยละ 87.18
รถบรรทุก เดือนมิถุนายน 2567 ผลิตได้ 839 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 76.06 และตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ผลิตได้ทั้งสิ้น 11,269 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 31.73
รถจักรยานยนต์ เดือนมิถุนายน 2567 ผลิตรถจักรยานยนต์ได้ทั้งสิ้น 183,528 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 25.78 แยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 156,598 คัน ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 24.41 แต่ชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 26,930 คัน ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 32.84
ยอดการผลิตรถจักรยานยนต์เดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,197,193 คัน ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 13 โดยแยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 994,573 คัน ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 11.80 แต่ชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 202,620 คัน ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 18.48
ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนมิถุนายน 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 47,662 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 4.43 แต่ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 26.04 เพราะรถกระบะที่ขายลดลงถึงร้อยละ 36.44 และรถ PPV ลดลงร้อยละ 49.98 จากหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง และเศรษฐกิจของประเทศเติบโตในอัตราต่ำ สถาบันการเงินจึงระมัดระวังในการอนุมัติสินเชื่อโดยเฉพาะรถกระบะ และรถบรรทุก
รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 28,095 คัน เท่ากับร้อยละ 58.95 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 15
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE) 12,667 คัน เท่ากับร้อยละ 26.58 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 37.51
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 5,360 คัน เท่ากับร้อยละ 11.25 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 16.38
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) 222 คัน เท่ากับร้อยละ 0.47 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 13.27
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) 9,846 คัน เท่ากับร้อยละ 20.66 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 59.42
รถกระบะมีจำนวน 14,071 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 36.44 รถ PPV มีจำนวน 2,601 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 49.98 รถบรรทุก 5-10 ตัน มีจำนวน 1,532 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 41.10 และรถประเภทอื่นๆ มีจำนวน 1,363 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว 5.81
ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 150,456 คัน ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2566 ร้อยละ 8.95 แต่ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 16.07
ตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 รถยนต์มียอดขาย 308,027 คัน ลดลงจากปี 2566 ในระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 24.16 แยกเป็น
รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 184,481 คัน เท่ากับร้อยละ 59.89 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 8.81
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE) 82,660 คัน เท่ากับร้อยละ 26.84 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 36.45
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 33,508 คัน เท่ากับร้อยละ 10.88 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 6.91
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) 1,203 คัน เท่ากับร้อยละ 0.39 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 8.93
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) 67,110 คัน เท่ากับร้อยละ 21.79 ของยอดขายรถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 69.64
รถกระบะมีจำนวน 89,581 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 40.15 รถ PPV มีจำนวน 18,856 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 43.32 รถบรรทุก 5-10 ตัน มีจำนวน 8,339 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 36.47 และรถประเภทอื่นๆ มีจำนวน 6,770 คัน ลดลงจากเดือนช่วงกันในปีที่แล้ว 12.70
ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 890,534 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 10.41 แบ่งเป็นรถจักรยานยนต์ ICE จำนวน 890,334 คัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันร้อยละ 10.33 รถจักรยานยนต์ BEV จำนวน 200 คัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันร้อยละ 9.09
คาดว่ายอดขายรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ของครึ่งปีหลังปี 2567 จะดีขึ้นจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 และ 2568 ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้นของรัฐบาล
การส่งออก *รถยนต์สำเร็จรูป*
เดือนมิถุนายน 2567 ส่งออกได้ 89,071 คัน ลดลงจากเดือนที่แล้วร้อยละ 0.24 และเพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 0.28 จากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ายังเติบโต และส่งออกรถยนต์นั่ง HEV เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 356.12 จึงส่งออกเพิ่มขึ้นในตลาดเอเชีย แอฟริกา ยุโรป อเมริกาเหนือ อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ แบ่งเป็น
• รถกระบะ 54,557 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 61.25 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 1.04
• รถยนต์นั่ง ICE 20,127 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 22.60 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 13.01
• รถยนต์นั่ง HEV 3,690 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 4.14 ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 356.12
• รถ PPV 10,697 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 12.01 ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 9.70
มูลค่าการส่งออกรถยนต์ 63,099.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 12.83
• เครื่องยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 3,155.75 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 5.31
• ชิ้นส่วนรถยนต์อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออก 15,779.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 8.63
• อะไหล่รถยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 2,074.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 12.06
รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์เดือนมิถุนายน 2567 เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ มีมูลค่า 84,108.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 11.20
เดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 519,040 คัน ลดลงจากช่วงระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 1.85 แบ่งเป็น
• รถกระบะ ICE 301,500 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 58.09 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 4.43
• รถยนต์นั่ง ICE 120,161 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 23.15 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 21.77
• รถยนต์นั่ง HEV 27,512 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 5.30 ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 504.13
• รถ PPV 69,867 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 13.46 ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 26.60
มูลค่าการส่งออกรถยนต์ 363,474.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 10.42 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
• เครื่องยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 15,932.14 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 3.10
• ชิ้นส่วนรถยนต์อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออก 93,768.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 8.63
• อะไหล่รถยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 12,571.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 10.19
รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์เดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ มีมูลค่า 485,746.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 9.56
รถจักรยานยนต์
เดือนมิถุนายน 2567 มีจำนวนส่งออก 54,715 คัน (รวม CBU+CKD) เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 3.03 และลดลงจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 16.29 โดยมีมูลค่า 4,144.86 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 26.02
• ชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 208.45 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 23.02
• อะไหล่รถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 75.72 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 55.02
รวมมูลค่าการส่งออกรถจักรยานยนต์ เดือนมิถุนายน 2567 ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ 4,429.02 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 26.69
เดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 รถจักรยานยนต์ มีจำนวนส่งออก 414,318 คัน (รวม CBU+CKD) ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 3.11 มีมูลค่า 32,729.67 ล้านบาท ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 8.73
• ชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 1,210.50 ล้านบาท ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 20.27
• อะไหล่รถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 802.02 ล้านบาท ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 25.07
รวมมูลค่าการส่งออกรถจักรยานยนต์เดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 34,742.19 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 9.65
เดือนมิถุนายน 2567 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่นๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 88,537.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 8.40
เดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่นๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 520,488.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 8.03
ปรับเป้าการผลิตรถยนต์ ปี 2567 จาก 1,900,000 คัน เป็น 1,700,000 คัน
สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยตัวเลขประมาณการการผลิตรถยนต์ของสมาชิกกลุ่มฯ ในปี 2567 (ใหม่) ปรับเป้าผลิตรถยนต์ปี 2567 จาก 1,900,000 คัน เป็น 1,700,000 คัน ลดลง 200,000 คัน โดยปรับเป้าเฉพาะผลิตขายในประเทศลดลงจาก 750,000 คัน เป็น 550,000 คัน
ปัจจัยลบของการปรับยอดผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศลดลง
• หนี้ครัวเรือนสูงถึงร้อยละ 90 ของ GDP ประเทศในขณะที่รายได้ครัวเรือนยังต่ำจากเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำ
• การลงทุนจากต่างประเทศรวมทั้งดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมยังลดลงมาหลายเดือนแล้ว คนงานมีรายได้ลดลง ประชาชนระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น
• หน่วยงานเศรษฐกิจหลายแห่งลดการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยลง
• สถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อรถยนต์โดยเฉพาะรถกระบะ
• จำนวนแรงงานวัยทำงานน้อยกว่าเพื่อนบ้านจากอัตราการเกิดต่ำ จะทำให้นักลงทุนลังเลในการลงทุนเพราะเป็นสังคมสูงอายุ
ปัจจัยบวกของการปรับยอดผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศลดลง
• รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพรวมทั้งเร่งรัดการเบิกจ่าย และการลงทุนจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567
• งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 เบิกจ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ซึ่งจะทำให้รัฐบาลใช้จ่าย และลงทุนรวมทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามนโยบาย
• นักท่องเที่ยวต่างชาติ และการส่งออกยังเติบโต ชึ่งจะช่วยให้ภาคอุตสากรรมผลิตได้มากขึ้น คนงานมีรายได้มากขึ้น
• ความขัดแย้งระหว่างประเทศไม่ขยายตัว หรือเพิ่มขึ้นอีกในแห่งอื่นของโลก ซึ่งจะส่งผลถึงการขาดแคลนชิพ และชิ้นส่วน
• ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีนี้ ซึ่งอาจส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดอัตราดอกเบี้ยได้ ภาระของลูกหนี้อาจลดลงซึ่งจะช่วยให้มีอำนาจซื้อมากขึ้น
• คาดหวังว่าจะมีการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้นจากการเดินทางไปชักชวนนักลงทุนรายใหญ่ๆ ตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนมีรายได้มากขึ้น เศรษฐกิจของประเทศเติบโต หนี้ครัวเรือนจะได้ลดลง
• เริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชดเชยอัตรา 1:1 ของรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้ามาจำหน่ายในปี 2565-2566
ปัจจัยลบของการคาดการณ์ยอดผลิตเพื่อส่งออกเท่าเดิม
• สงครามการค้า และสงครามยูเครนกับรัสเซีย และสงครามอิสราเอลกับฮามาส อาจบานปลาย
• การเพิ่มการเข้มงวดในการควบคุมเซมิคอนดัคเตอร์ของสหรัฐอเมริกา อาจส่งผลให้เกิดการขาดแคลนเซมิคอนดัคเตอร์
• ถ้าเศรษฐกิจจีนโตในอัตราต่ำ จะส่งผลต่อเศรษฐกิจประเทศในเอเชีย ซึ่งเป็นตลาดส่งออกอันดับ 2 รองจากตลาดออสเตรเลีย
ปัจจัยบวกของการคาดการณ์ยอดผลิตเพื่อส่งออกเท่าเดิม
• ยอดขายรถยนต์ของประเทศคู่ค้ายังเติบโต
• คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะลดอัตราดอกเบี้ยลง
• เศรษฐกิจของประเทศจีนที่ยังเติบโตส่งผลดีต่อประเทศในเอเชียที่มีสัดส่วนถึงร้อยละ 28 ของรถยนต์ที่ไทยส่งออก
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท BEV เดือนมิถุนายน 2567
เดือนมิถุนายน 2567 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 7,990 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายนปีที่แล้วร้อยละ 17.46 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 5,763 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 24.44
o รถยนต์นั่งจำนวน 5,661 คัน
o รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คนจำนวน 99 คัน
o รถยนต์บริการทัศนาจรจำนวน 3 คัน
• รถกระบะ รถแวนมีทั้งสิ้น 23 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 76.92
• รถยนต์สามล้อรับจ้างมีทั้งสิ้น 27 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 35.71
o รถยนต์สามล้อส่วนบุคคลจำนวน 4 คัน
o รถยนต์รับจ้างสามล้อจำนวน 23 คัน
• รถจักรยานยนต์มีทั้งสิ้น 2,094 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 28.07
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลจำนวน 2,090 คัน
o รถจักรยานยนต์สาธารณะจำนวน 4 คัน
• รถโดยสารมีทั้งสิ้น 27 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 89.45
• รถบรรทุกมีทั้งสิ้น 56 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ร้อยละ 47.66
เดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 51,911 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายนปีที่แล้ว ร้อยละ 20.60 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 37,495 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 18.48
o รถยนต์นั่งจำนวน 36,518 คัน
o รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน จำนวน 918 คัน
o รถยนต์บริการธุรกิจจำนวน 6 คัน
o รถยนต์บริการทัศนาจรจำนวน 50 คัน
o รถยนต์บริการให้เช่าจำนวน 3 คัน
• รถกระบะ รถแวนมีทั้งสิ้น 185 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 236.36
• รถยนต์สามล้อมีทั้งสิ้น 78 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 52.73
o รถยนต์สามล้อส่วนบุคคลจำนวน 16 คัน
o รถยนต์รับจ้างสามล้อจำนวน 62 คัน
• รถจักรยานยนต์มีทั้งสิ้น 13,733 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 38.76
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลจำนวน 13,628 คัน
o รถจักรยานยนต์สาธารณะจำนวน 105 คัน
• รถโดยสารมีทั้งสิ้น 208 คัน ซึ่งลดลงเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 80.95
• รถบรรทุกมีทั้งสิ้น 212 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 12.77
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท HEV เดือนมิถุนายน 2567
เดือนมิถุนายน 2567 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 12,589 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายนปีที่แล้วร้อยละ 68.01 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 12,515 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 68.46
o รถยนต์นั่งจำนวน 12,513 คัน
o รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน จำนวน 2 คัน
• รถจักรยานยนต์มีทั้งสิ้น 74 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 15.63
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลจำนวน 74 คัน
เดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 71,906 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายนปีที่แล้วร้อยละ 55.84 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 71,641 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 56.41
o รถยนต์นั่งจำนวน 71,577 คัน
o รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน จำนวน 14 คัน
o รถยนต์บริการธุรกิจจำนวน 13 คัน
o รถยนต์บริการทัศนาจรจำนวน 34 คัน
o รถยนต์บริการให้เช่าจำนวน 3 คัน
• รถจักรยานยนต์มีทั้งสิ้น 265 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 21.36
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลจำนวน 265 คัน
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท PHEV เดือนมิถุนายน 2567
เดือนมิถุนายน 2567 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (PHEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 843 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายนปีที่แล้วร้อยละ 21.58 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 843 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2566 ร้อยละ 21.58
o รถยนต์นั่งจำนวน 840 คัน
o รถยนต์บริการทัศนาจรจำนวน 3 คัน
เดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (PHEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 4,896 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายนปีที่แล้วร้อยละ 21.94 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่งและรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 4,896 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ร้อยละ 21.94
o รถยนต์นั่งจำนวน 4,891 คัน
o รถยนต์บริการทัศนาจรจำนวน 5 คัน
ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV มีจำนวนทั้งสิ้น 183,221 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 144.31 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 127,034 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 180.06
o รถยนต์นั่งมีจำนวน 125,061 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 178.01
o รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน มีจำนวน 1,526 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 443.06
o รถยนต์บริการธุรกิจมีจำนวน 67 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 458.33
o รถยนต์บริการทัศนาจรมีจำนวน 111 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 753.85
o รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มีจำนวน 269 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 295.59
• รถกระบะ และรถแวนมีจำนวน 469 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 318.75
• รถยนต์ 3 ล้อมีจำนวนทั้งสิ้น 969 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 47.71
o รถยนต์สามล้อส่วนบุคคลมีจำนวน 96 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 37.14
o รถยนต์รับจ้างสามล้อมีจำนวน 873 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 48.98
• รถจักรยานยนต์มีจำนวนทั้งสิ้น 51,603 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 95.73
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลมีจำนวน 51,469 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 96.09
o รถจักรยานยนต์สาธารณะมีจำนวน 134 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 32.67
• อื่นๆ
o รถโดยสารมีจำนวนทั้งสิ้น 2,628 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 14.06
o รถบรรทุกมีจำนวนทั้งสิ้น 518 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 140.93
ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV มีจำนวนทั้งสิ้น 414,894 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 35.30 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 405,652 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 36.35
o รถยนต์นั่งมีจำนวน 404,739 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 36.36
o รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารฯ มีจำนวน 490 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 2.30
o รถยนต์บริการธุรกิจ มีจำนวน 66 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 94.12
o รถยนต์บริการทัศนาจร มีจำนวน 188 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 79.05
o รถยนต์บริการให้เช่า มีจำนวน 5 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 66.67
o รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มีจำนวน 164 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 124.66
• รถกระบะ และรถแวนมีจำนวน 1 คัน เท่ากับช่วงเวลาเดียวกันปี 2566
• รถจักรยานยนต์มีจำนวนทั้งสิ้น 9,239 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 1.08
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลมีจำนวน 9,239 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 1.08
• อื่นๆ
o รถโดยสารมีจำนวนทั้งสิ้น 2 คัน ซึ่งเท่ากับช่วงเวลาเดียวกันปี 2566
ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท PHEV ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท PHEV มีจำนวนทั้งสิ้น 58,774 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 20.41 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้
• รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 58,774 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 20.41
o รถยนต์นั่งมีจำนวน 58,699 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 20.40
o รถยนต์บริการธุรกิจมีจำนวน 41 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 10.81
o รถยนต์บริการทัศนาจรมีจำนวน 26 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 62.50
o รถยนต์บริการให้เช่ามีจำนวน 3 คัน เท่ากับช่วงเวลาเดียวกันปี 2566
o รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มีจำนวน 5 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 150
Neta เปิดตัว Neta X ราคาเริ่มต้น 739,000 บาท
Neta (เนทา) ประกาศเปิดตัว Neta X (เนทา เอกซ์) รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสไตล์เอสยูวี เสริมทัพผลิตภัณฑ์ในประเทศไทย ชูจุดเด่นภายในห้องโดยสารกว้างนั่งสบาย 80 % ของพื้นที่ห้องโดยสารเป็นวัสดุบุนุ่ม หน้าจอระบบสัมผัส ขนาดใหญ่ 15.6 นิ้ว พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย และฟังค์ชันการใช้งานอัจฉริยะ ให้ความมั่นใจในการขับขี่ด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS ระดับ 2.0 รวมถึงระบบความปลอดภัยที่ครบครัน โดยมีให้เลือก 2 รุ่นย่อย กับราคาเริ่มต้นที่ 739,000 บาท ด้วยข้อเสนอสุดพิเศษ เฉพาะช่วงเปิดตัว พร้อมส่งมอบให้ลูกค้าต้นเดือนสิงหาคม เป็นต้นไป
ชู กังจื้อ (Shu GangZhi) ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า Neta เดินหน้าสานต่อพันธกิจในการเป็นผู้สรรค์สร้างนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้ เพื่อสร้างการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเท่าเทียมตามปรัชญา “Tech For All" โดยล่าสุดได้ประกาศเปิดตัว Neta X รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสไตล์เอยูวี เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้แก่กลุ่มผลิตภัณฑ์ในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นรถรุ่นที่ 2 ของ Neta ที่เปิดตัวในปีนี้ หลังจากการแนะนำ Neta V-II (เนทา วี-ทู) รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสไตล์ City Car เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบัน Neta มีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้เลือก 2 สไตล์ รองรับกับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ โดยตั้งเป้าเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่มาพร้อมเทคโนโลยีทันสมัยอย่างต่อเนื่องในทุกปี
“ปัจจุบันมีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ Neta วิ่งอยู่บนถนนทั่วประเทศไทยแล้วกว่า 17,000 คัน ผมต้องขอขอบคุณลูกค้าคนไทย รวมไปถึงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่มอบความไว้ใจ และสนับสนุนการดำเนินงานของแบรนด์ Neta ในประเทศไทย มาอย่างต่อเนื่อง เราพร้อม และยินดีเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการเติบโตของระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าของไทยให้เติบโตยิ่งขึ้นในทุกมิติ สำหรับการเปิดตัว Neta X นอกจากจะเป็นการตอกย้ำแผนการดำเนินงานในประเทศไทยภายใต้กลยุทธ์ "All in Thailand, All for Thailand" ในการยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์ด้วยการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ที่ทรงพลัง และติดตั้งเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Neta ในการนำเสนอยานยนต์ไฟฟ้าที่มาพร้อมเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งคนไทยสามารถเป็นเจ้าของได้ สอดคล้องกับพันธกิจหลักของ Neta เพื่อสร้างการเข้าถึงเทคโนโลยี อย่างเท่าเทียมสําหรับทุกคน หรือ “Tech For All"
Neta X “เติมเต็มทุกโมเมนท์ กับนิยามใหม่ของความกว้าง”
Neta X ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด และสโลแกน “เติมเต็มทุกโมเมนท์ กับนิยามใหม่ของความกว้าง” ชูจุดเด่นด้านพื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างนั่งสบาย พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย ให้ความมั่นใจในการขับขี่ด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS ระดับ 2.0 รวมถึงการติดตั้งระบบความปลอดภัยที่ครบครัน โดยมาพร้อมระบบส่งกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง กำลังสูงสุด 120 กิโลวัตต์/163 แรงม้า ให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 9.5 วินาที
Neta X มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่ Neta X รุ่น Comfort มาพร้อมแบทเตอรีลิเธียม-ไอออนขนาด 51.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง ให้ระยะทางวิ่งสูงสุด 401 กม./การชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (มาตรฐาน NEDC) ราคา 739,000 บาท และ Neta X รุ่น Smart จับคู่กับแบทเตอรีขนาด 62 กิโลวัตต์ชั่วโมง ให้ระยะทางวิ่งสูงสุด 480 กม./การชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (มาตรฐาน NEDC) ราคา 799,000 บาท โดยมีสีตัวถังภายนอกให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีดำ (Onyx Black) สีน้ำเงิน (Glacier Blue) และสีขาว (Pearl White) ภายในห้องโดยสารมีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีดำ (Prestige Black) ในรุ่น Comfort และสีน้ำตาล (Elegant Brown) ในรุ่น Smart
ความอัจฉริยะในการขับขี่ Excellence in Intelligent
Neta X ยกระดับประสบการณ์การขับขี่ที่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS ระดับ 2.0 ติดตั้งเซนเซอร์ รอบคัน และเรดาห์รวม 11 จุด รองรับระบบควบคุมความเร็วในการขับขี่ อาทิ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control) พร้อมระบบควบคุมความเร็วอัจฉริยะย่านความเร็วสูง (ICA) และความเร็วต่ำ (TJA) รวมไปถึงการควบคุมรถให้อยู่ในเลน อาทิ ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน และระบบช่วยเปลี่ยนเลน พร้อมระบบตรวจจุดอับสายตา เป็นต้น
ห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบาย Excellence in Spacious
Neta X มีมิติตัวถังขนาดใหญ่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ด้วยความยาวตลอดทั้งคัน 4,619 มม. กว้าง 1,860 มม. และสูง 1,628 มม. โดยมีระยะฐานล้อที่ยาวถึง 2,770 มม. ให้พื้นที่ใช้สอยภายในห้องโดยสารกว้างขวาง พร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระท้ายรถจุถึง 508 ลิตร เบาะพับได้ สามารถเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้มากถึง 1,388 ลิตร พร้อมช่องเก็บของอเนกประสงค์ 24 จุด กระจายอยู่ทั่วทั้งห้องโดยสาร
ความสะดวกสบาย Excellence in Comfortable
Neta X มอบความสะดวกสบายด้วยเบาะนั่งปรับได้ถึง 6 ทิศทาง พร้อมวัสดุบุนุ่มห้องโดยสารถึง 80 % ของพื้นที่ มาพร้อมหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา รวมไปถึงระบบควบคุมรถยนต์ผ่านแอพพลิเคชันบนมือถือ (Neta App) ช่องเชื่อมต่อ USB/Type-C และแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย พร้อมฟังค์ชัน V2L (Vehicle-to-Load) จ่ายกำลังไฟได้สูงถึง 3.3 กิโลวัตต์ สามารถดึงพลังงานจากรถยนต์ไปใช้งานกับอุปกรณ์ไฟฟ้าภายนอก
การเชื่อมต่ออัจฉริยะ Excellence in Interactive
Neta X มาพร้อมหน้าจอความละเอียดสูง ขนาด 15.6 นิ้ว สามารถเข้าถึงระบบนําทางแบบออนไลน์ การสตรีมิงเพลง และการเชื่อมต่อโทรศัพท์เข้ากับระบบรถยนต์เป็นไปได้อย่างราบรื่น อีกทั้งยังมีระบบสั่งการด้วยเสียง รวมไปถึงระบบควบคุมรถยนต์ผ่านแอพพลิเคชันบนมือถือ (Neta App) เพื่อให้สามารถตรวจสอบสถานะแบบเรียลไทม์
ระบบความปลอดภัย Safety
Neta X ใช้โครงสร้างที่ทำจากเหล็กแรงดึงสูง (High-strength Steel) ถึง 75 % ของตัวถัง มาพร้อมระบบถุงลมนิรภัยถึง 6 จุด และแบทเตอรีที่ผ่านการทดสอบ IP68 ซึ่งเป็นระดับกันน้ำ และกันฝุ่นระดับสูงสุดในตลาด โดยสามารถผ่านการทดสอบการกันน้ำอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 48 ชั่วโมง
ต้นทุนการเป็นเจ้าของ Ownership Cost
Neta X ให้การใช้พลังงาน และค่าบํารุงรักษาที่ต่ำ เมื่อเทียบกับรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป ถึง 3 เท่า จึงทําให้ Neta X เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าตัวเลือกที่ให้ความประหยัด และคุ้มค่าในระยะยาว
Mercedes-Benz E-Class รุ่นใหม่ ต่อยอดรถเก๋งซีดานสุดหรูยอดนิยม
Mercedes-Benz (เมร์เซเดส-เบนซ์) เปิดตัวรถเก๋งซีดานระดับหรูขนาดกลาง Mercedes-Benz E-Class (เมร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาสส์) รุ่นใหม่ล่าสุด นับเป็นรถรุ่นที่ 6 รหัสประจำตัว W214 ที่ออกแบบใหม่หมด
มิติตัวรถยาว/กว้าง/สูง 4,949/1,880/1,468-1,480 มม. ยาวขึ้น 14 มม. และกว้างขึ้น 55 มม. เมื่อเทียบกับรถรุ่นที่ 5 ในขณะที่ช่วงฐานล้อก็ขยายยาวขึ้น 22 มม. เป็น 2.961 ม. ส่วนค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ ลดจาก 0.25 เป็น 0.23
รูปทรงองค์เอวของตัวถังภายนอก มองไปแล้วนึกถึง EQE (อีคิวอี) ซีดานไฟฟ้า 100 % แต่ต่างกันตรงกระจังหน้าขนาดใหญ่ กับไฟหน้าที่มีรปทรงคล้ายฝักถั่ว และเมื่อมองจากด้านข้างตรงๆ ก็จะเห็นได้ชัดว่า ตัวถังของรถรุ่นใหม่นี้มีลักษณะอย่างที่เรียกกันว่า Cab-Backward (แคบ-แบควาร์ด) คือ มีห้องโดยสารอยู่ค่อนไปด้านหลังของตัวรถ
ในระยะแรกจะมีรถให้เลือกใช้รวม 6 โมเดล มีทั้งรถขับเคลื่อนล้อหลัง และรถขับเคลื่อนทุกล้อ แยกเป็นรถติดตั้งเครื่องยนต์สันดาปภายใน พร้อมระบบ Mild Hybrid หรือไฮบริดแบบอ่อน 17 กิโลวัตต์/23 แรงม้า จำนวน 3 โมเดล คือ
Mercedes-Benz E 200 (เบนซิน 1,999 ซีซี 150 กิโลวัตต์/204 แรงม้า ขับล้อหลัง)
Mercedes-Benz E 200 D (ดีเซล 1,993 ซีซี 145 กิโลวัตต์/197 แรงม้า ขับล้อหลัง)
Mercedes-Benz E 200 D 4matic (ดีเซล 1,993 ซีซี 145 กิโลวัตต์/197 แรงม้า ขับทุกล้อ)
และเป็นรถ Plug-in Hybrid หรือไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ 3 โมเดล คือ
Mercedes-Benz E 300 E (230 กิโลวัตต์/313 แรงม้า ขับล้อหลัง)
Mercedes-Benz E 300 E 4matic (230 กิโลวัตต์/313 แรงม้า ขับทุกล้อ)
Mercedes-Benz E 400 E 4matic (280 กิโลวัตต์/381 แรงม้า ขับทุกล้อ)
ทุกโมเดลส่งกำลังสู่ล้อผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 9G Tronic
Mercedes-Benz E-Class 2 รุ่นแรกที่จำหน่ายในบ้านเราเป็นรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง คือ
Mercedes-Benz E 220 d AMG Line (E 200 d) เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 145 กิโลวัตต์/197 แรงม้า
และ Mercedes-Benz E 350 e AMG Dynamic (E 300 e) เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ 2.0 ลิตร Plug-in Hybrid หรือไฮบริดชนิดที่สามารถชาร์จไฟ กำลังสูงสุด 230 กิโลวัตต์/313 แรงม้า
เปรียบเทียบ E-Class รุ่นเดิมกับรุ่นใหม่ มีสมรรถนะที่ต่างกัน
E220d เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ ตัวใหม่ให้พละกำลังมากขึ้น จาก 143 กิโลวัตต์/194 แรงม้า เป็น 145 กิโลวัตต์/197 แรงม้า แรงบิดเพิ่มจาก 400 นิวทันเมตร ขึ้นเป็น 440 นิวทันเมตร แต่อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาเพิ่มขึ้น 7.3 วินาที เป็น 7.6 วินาที
ส่วน E350e เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบใหม่ กลับมีกำลังสูงสุดลดจาก 155 กิโลวัตต์/211 แรงม้า เหลือ 150 กิโลวัตต์/204 แรงม้า แรงบิด 350 นิวทันเมตร ลดลงเช่นกัน เหลือ 320 นิวทันเมตร
มอเตอร์ใหม่ให้กำลัง 95 กิโลวัตต์/127 แรงม้า มากกว่ามอเตอร์รุ่นเดิม แต่มีแรงบิด 440 นิวทันเมตร เท่ากัน
ผลรวมไฮบริด ลดจาก 320 แรงม้า เหลือ 313 แรงม้า แรงบิดลดลงมากจนน่าตก จาก 700 นิวทันเมตร เหลือเพียง 550 นิวทันเมตร ซึ่งเกิดจากความพยายามรักษาปริมาณไฟฟ้าในแบทเตอรี ความประหยัดที่แลกกับอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. จาก 5.8 วินาที เป็น 6.4 วินาที
งานนี้พอไฟหมด...ก็ต้องรอรอบ
แบทเตอรีเดิม 13.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง (E300e) แบทเตอรีใหม่ 25.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง (E350e) ทำให้ระยะทาง (เมื่อใช้ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว) เพิ่มจาก 50 กม. เป็น 100 กม.
แบทเตอรีใหญ่ขึ้นเท่าตัว แต่ขนาดห้องเก็บสัมภาระ 370 ลิตรเท่าเดิม และพื้นห้องสัมภาระที่ราบเรียบเป็นพื้นเดียวกัน
แบทเตอรีวางต่ำลงบวกกับน้ำหนักเพิ่ม เซทช่วงล่างมาดี ลงตัวกับระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ขับแล้วแทบไม่รู้สึกว่าแบกแบทเตอรีอยู่ด้านหลัง
E-Class รุ่นใหม่ผสมผสานความทันสมัยเข้ากับความหรูหรา รูปทรงที่ลื่นไหล และสร้างจุดเด่น เช่น กระจังหน้าแบบเรืองแสงระบบ Digital Light ในชุดไฟหน้า
ไฟท้าย LED ยาวจากซ้ายไปขวาผ่านแนวฝากระโปรงท้าย แบบ 2 ส่วน ไฟรูปดวงดาว 4 ดวงที่ส่องแสงในตอนกลางคืน
สตาร์ท และปิดลอครถได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่พกกุญแจรถไว้กับตัว มือจับประตูที่เรียบเนียนไปกับตัวรถที่รวมอยู่ใน Keyless-go Package จะเลื่อนออกโดยอัตโนมัติทันทีที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับรถ และเลื่อนกลับอีกครั้งทันทีที่ลอครถ
MBUX Superscreen พร้อมกล้องเซลฟี และกล้องวีดีโอ สวยงาม และไฮเทค เป็นจุดเด่นภายในห้องโดยสาร และจอแสดงผลสำหรับผู้โดยสารด้านหน้าพร้อมโหมดความเป็นส่วนตัว ทำให้ E-Class กลายเป็นสถานที่บันเทิงเคลื่อนที่ และห้องประชุมวีดีโอเคลื่อนที่
ระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester 4D ระดับพรีเมียม คุณภาพเสียง Dolby Atmos ด้วยลำโพง 17 ตัว ระบบ Exciter เพิ่มเติม 4 ตัว คือ ตัวแปลงเสียงสั่นสะเทือนที่ติดตั้งอยู่ในพนักพิงหลังของเบาะที่นั่งคู่หน้า เบาะละตัว 2 ตัว ซึ่งสามารถสัมผัสเสียงเพลงผ่านหู และแรงสั่นด้านหลัง
Multicontour Seat Package พร้อมฟังค์ชันหน่วยความจำ และฟังค์ชันนวด มีการควบคุมแยกต่างหากสำหรับผู้ขับขี่ และผู้โดยสารด้านหน้า ระบบควบคุม Energizing แบบ Comfort ช่วยให้คุณสามารถเลือกโปรแกรมนวดที่แตกต่างกันสำหรับเพิ่มความลึกในการนวดที่ดีขึ้น
กระจกกันเสียง และใส่ฉนวนเพิ่มเติมในโครงตัวถัง ทำให้ภายในห้องโดยสารเงียบ
หลังจากได้ทดลองขับแล้ว รถเด่นรอบนี้ คือ
E 350 e ส่วนผสมลงตัวของเครื่องยนต์สันดาป และมอเตอร์ไฟฟ้า ระบบขับเคลื่อน Plug-in Hybrid ขับระบบไฟฟ้าระยะทางสูงถึง 100 กม. สามารถชาร์จพลังงานไฟฟ้าแบบกระแสตรง DC สูงสุด 55 กิโลวัตต์ชั่วโมง ใช้เวลาชาร์จจาก 0-100 % เพียง 30 นาที
เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ 2.0 ลิตร 150 กิโลวัตต์/204 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้า
ราคา E-Class รุ่น Launch Edition เป็นลอทแรกช่วงเปิดตัว 800 กว่าเกือบ 900 คัน และเป็นรถที่ใช้ทดลองในครั้งนี้
E 220 d AMG Line 3,990,000 บาท
E 350 e AMG Dynamic 4,250,000 บาท
ส่วนราคา E-Class รุ่น After Launch Edition เป็นลอทหลัง จะสามารถส่งมอบได้ในไตรมาส 4 ปีนี้ (รถกำลังอยู่ในช่วงการประกอบ) มีราคา ดังนี้
E 220 d AMG Line 3,930,000 บาท
E 350 e AMG Dynamic 4,080,000 บาท
โดยรายละเอียดความแตกต่างของอุปกรณ์ มีดังนี้
E 220 d AMG Line (Launch Edition)
- Manufaktur alpine grey solid
- Driving Assistance Package Plus
- Active Steering Assist
- Active Lane Keeping Assist
- Pre-Safe® Impulse Side
- Active Blind Spot Assist
- Power closing door
E 220 d AMG Line (After Launch Edition)
- Graphite grey metallic
- Centre airbag
- Blind Spot Assist
Porsche Cayenne S E-Hybrid Coupe ! ประกอบมาเลเซีย ส่งมอบในไทยเดือนสิงหาคมนี้
Porsche Cayenne S E-Hybrid Coupe (โพร์เช คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด คูเป) รุ่นใหม่ มาถึงประเทศไทยแล้ว รถยนต์รุ่นนี้ได้รับการปรับแต่งโดยเฉพาะสำหรับแฟนๆ Porsche ชาวไทย รถคันนี้ประกอบขึ้นที่โรงงานประกอบรถยนต์ Porsche ในประเทศมาเลเซีย มาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่เหนือกว่า ดีไซจ์นที่ออกแบบใหม่ ขุมพลังไฮบริดประสิทธิภาพสูง และตัวเลือกการปรับแต่งที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าชาวไทย
Porsche Cayenne S E-Hybrid Coupe นับเป็นอีกก้าวสำคัญของแบรนด์รถยนต์หรูระดับโลกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รถเอสยูวีสปอร์ทคันนี้กลายเป็นรถรุ่นที่ 2 ที่มาจากสายการผลิตของประเทศมาเลเซีย และเป็นรุ่นแรกที่ประกอบในภูมิภาคเพื่อส่งออกมายังประเทศไทย
Porsche เข้าใจความต้องการอันหลากหลายของลูกค้าชาวไทย จึงได้ปรับแต่ง Porsche Cayenne S E-Hybrid Coupe ให้มาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่เหนือชั้น มีฟีเจอร์มากมายเมื่อเทียบกับรุ่นพื้นฐานที่นำเข้าจากยุโรป นอกจากนี้ ยังมี Microsite หรือเวบไซท์ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะสำหรับการจองรถยนต์รุ่นใหม่นี้ผ่านทางออนไลน์ เพื่อมอบประสบการณ์การจองที่สะดวกสบายให้แก่ลูกค้าที่สนใจ และรองรับการปรับแต่งเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นสีภายนอก ตัวเลือกหนังภายใน และอุปกรณ์เสริมต่างๆ
นิยามใหม่แห่งประสิทธิภาพ
Porsche Cayenne S E-Hybrid Coupe รุ่นใหม่ที่ผลิตขึ้นสำหรับประเทศไทย ผสมผสานความสปอร์ทอันทรงพลังของ Cayenne S เข้ากับระบบขับเคลื่อนอันล้ำสมัยของ Cayenne E-Hybrid นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของผู้ผลิตรถยนต์สปอร์ทระดับโลกในการมอบประสบการณ์การขับขี่อันเร้าใจ ผสานเทคโนโลยีไฮบริดที่ทั้งทรงประสิทธิภาพ และล้ำหน้า
Porsche Cayenne S E-Hybrid Coupe ใหม่ มาพร้อมเครื่องยนต์ V6 เทอร์โบ 3.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 260 กิโลวัตต์/353 แรงม้า (แรงกว่าเครื่องยนต์ใน Cayenne E-Hybrid ถึง 36 กิโลวัตต์/49 แรงม้า เมื่อผสมผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าใหม่ ส่งผลให้ระบบมีกำลังรวม 382 กิโลวัตต์/519 แรงม้า) อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 4.7 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 263 กม./ชม. นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับระยะทางวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าสูงสุด 90 กม. (ตามมาตรฐาน EAER City) เหมาะสำหรับการขับขี่ภายในกรุงเทพฯ ในชีวิตประจำวันได้อย่างสบาย
ระบบช่วงล่างใหม่ เสริมความสะดวกสบาย
Porsche Cayenne S E-Hybrid Coupe ปรับปรุงระบบช่วงล่างแบบถุงลมอัจฉริยะแบบใหม่ ที่มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมระบบกันสะเทือนแบบถุงลม Porsche Active Suspension Management (PASM) เทคโนโลยี Two-Chamber Two-Valve ที่ช่วยยกระดับประสบการณ์การขับขี่ เพิ่มความมั่นคง และง่ายต่อการควบคุมรถยนต์ทั้งบนถนน และทางสมบุกสมบัน เมื่อเทียบกับระบบช่วงล่างมาตรฐาน และรุ่นก่อนหน้า นอกจากนี้ ระบบกันสะเทือนแบบถุงลม ยังช่วยเพิ่มความแม่นยำ และสมรรถนะของการขับขี่ ลดการโคลงของตัวรถในขณะขับขี่แบบสปอร์ท อีกทั้งยังช่วยให้การปรับโหมดการขับขี่ระหว่าง Normal, Sport และ Sport Plus แตกต่างกันอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
ระบบกันสะเทือนแบบถุงลมของ Porsche Cayenne S E-Hybrid Coupe ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และความสะดวกสบายในการขับขี่ที่มากขึ้น เทคโนโลยี Two-Chamber Two-Valve ช่วยปรับช่วงล่างได้หลากหลาย ตั้งแต่เน้นความนุ่มนวลสำหรับการขับขี่สบายๆ ไปจนถึงโหมดสปอร์ทที่เน้นการตอบสนองฉับไว
อุปกรณ์มาตรฐานที่เหนือกว่า
Porsche Cayenne S E-Hybrid Coupe รุ่นใหม่ที่ผลิตขึ้นสำหรับประเทศไทย โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ที่ทรงพลัง และสปอร์ทยิ่งขึ้น ลูกค้าชาวไทยสามารถเลือกสีตัวถังได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ได้แก่ สีขาวเมทัลลิค Carrara White, สีดำเมทัลลิค Chromite Black และสีเงินเมทัลลิค Dolomite Silver
เสริมความโดดเด่นด้วยไฟหน้าแบบ HD Matrix LED ดีไซจ์นใหม่ ที่มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดดเด่นด้วยโมดูลความละเอียดสูง 2 ชุด และพิกเซลกว่า 32,000 พิกเซลต่อโคมไฟ ช่วยเพิ่มทัศนวิสัย และความปลอดภัยให้แก่ผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร ขณะที่ล้อแมกลายสำหรับรุ่น Cayenne ขนาด 20 นิ้ว สีเทา Vesuvius Grey มอบความหรูหรา และสปอร์ทให้แก่รถเอสยูวีคันนี้ได้อย่างลงตัว
ภายในของ Porsche Cayenne S E-Hybrid Coupe รุ่นใหม่ที่ผลิตขึ้นสำหรับประเทศไทย ได้รับการยกระดับด้วยฟีเจอร์เพิ่มเติมมากมาย เป็นครั้งแรกที่มีการติดตั้งพวงมาลัย GT Sports และ แพคเกจ Sport Chrono พร้อมนาฬิกา Porsche Design เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งช่วยยกระดับความหรูหราให้แก่ผู้ขับขี่ตั้งแต่ก้าวเข้ามาภายในห้องโดยสาร
รถเอสยูวีสุดหรูรุ่นนี้ ยังมาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ อีกมากมาย ได้แก่ ระบบเสียงรอบทิศทาง Bose เบาะหนังคุณภาพเยี่ยม เลือกได้ 2 สี คือ สีดำ หรือสีแดงบอร์โดซ์ (Bordeaux Red) พร้อมตราสัญลักษณ์ Porsche บนพนักพิงศีรษะที่เบาะคู่หน้า อีกทั้งระบบควบคุมอุณหภูมิแยก 4 โซน เครื่องฟอกอากาศภายในห้องโดยสาร เบาะนั่งไฟฟ้าปรับได้ 14 ทิศทางพร้อมระบบจำตำแหน่งสำหรับเบาะผู้โดยสารด้านหลัง และม่านบังแดดด้านหลังที่เปิด/ปิดด้วยระบบไฟฟ้าสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อัจฉริยะ อาทิ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) ระบบช่วยจอด (ParkAssist) พร้อมกล้องรอบทิศทาง (Surround View) และรองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่าน Apple CarPlay มอบความสะดวกสบายสูงสุด ทั้งยังเอาใจผู้โดยสารด้านหลังด้วยระบบเตรียมติดตั้ง Rear Seat Entertainment ที่มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน สามารถติดตั้งหน้าจอสำหรับผู้โดยสารด้านหลังเพิ่มเติมได้อย่างง่ายดาย เพื่อยกระดับความเพลิดเพลินตลอดการเดินทาง
เพิ่มเติมความทันสมัยให้แก่ห้องโดยสารด้วย Porsche Driver Experience ประกอบด้วย ชุดหน้าปัดดิจิทอลแบบโค้งมนขนาด 12.6 นิ้ว และหน้าจอระบบ Infotainment ขนาด 12.3 นิ้ว สำหรับรถยนต์พวงมาลัยขวา ตำแหน่งคันเกียร์อัตโนมัติได้รับการย้ายไปทางซ้ายของพวงมาลัยบนคอนโซลกลาง การปรับเปลี่ยนนี้ช่วยเพิ่มพื้นที่สำหรับช่องเก็บของ และแผงควบคุมระบบปรับอากาศขนาดใหญ่ ดีไซจ์นสวยงามทันสมัยในโทนสีดำ แผงควบคุมระบบปรับอากาศมาพร้อมปุ่มกดขนาดใหญ่ ใช้งานง่าย พร้อมสวิทช์ปรับอากาศแบบหมุน และปุ่มปรับระดับเสียงแบบสัมผัส ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย และดูหรูหรา
ราคาที่น่าสนใจพร้อมตัวเลือกการปรับแต่งมากมาย
Porsche Cayenne S E-Hybrid Coupe รุ่นใหม่ที่ผลิตขึ้นสำหรับประเทศไทย ราคาเริ่มต้นที่ราคา 6,290,000 บาท โดยมีกำหนดส่งมอบให้ลูกค้าตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2567 เป็นต้นไป สามารถจองรถยนต์รุ่นนี้ผ่านไมโครไซท์ (Microsite) ได้ที่ www.thcayenne.online จากการจัดจำหน่ายโดย AAS Auto Service
นอกจากนี้ Porsche เข้าใจว่าลูกค้าต้องการความเป็นตัวเอง ดังนั้น Cayenne S E-Hybrid Coupe รุ่นใหม่ที่ผลิตขึ้นสำหรับประเทศไทย สามารถปรับแต่งผ่านไมโครไซท์พิเศษที่สร้างขึ้นสำหรับรถรุ่นนี้โดยเฉพาะ
เวบไซท์นี้เปิดโอกาสให้แฟนๆ Porsche สามารถออกแบบ Cayenne S E-Hybrid Coupe ในฝันได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นการเลือกสีตัวถัง และการตกแต่งภายใน รวมไปถึงการเพิ่มอุปกรณ์เสริม หรือแพคเกจปรับแต่งพิเศษจาก Porsche Exclusive Manufaktur
Sharge เปิดตัว “EV Fleet Solutions” ครั้งแรกในไทย
Sharge เปิดตัว “EV Fleet Solutions” โซลูชันดูแลรถองค์กร และรถเชิงพาณิชย์แบบครบวงจรครั้งแรกในไทย ! ช่วยให้องค์กรธุรกิจเปลี่ยนผ่านสู่การใช้รถ EV ได้ง่ายขึ้น ชู 3 บริการหลัก “ช่วยคิด” ให้คำปรึกษา วางแผนเส้นทางการชาร์จ พร้อมติดตั้ง EV Charger ใหม่ให้สอดคล้องเส้นทางเดินรถ “ช่วยแสดงผล” รวบรวมทุกข้อมูลสำคัญของรถแต่ละคันในพอร์ท แสดงผล Real-Time ในหน้าจอเดียว “ช่วยลดขั้นตอน” นำเทคโนโลยียกระดับให้ชาร์จรถง่าย จ่ายเงินง่าย เคลียร์บิลล์ง่าย บริหารง่าย เจาะกลุ่มองค์กรที่ใช้ฟลีท อาทิ รถขนส่งสินค้า รถขนส่งอาหาร รถองค์กร รถประจำตำแหน่งผู้บริ หาร รถเช่า แทกซี รถบัส เตรียมต่อยอดระบบคำนวณคาร์บอนเครดิท ตอบโจทย์องค์กรที่มุ่ง ESG ขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำ-ลดต้นทุนพลังงาน-รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
พีระภัทร ศิริจันทโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด ผู้ให้บริการสถานีชาร์จภายใต้แบรนด์ “Revercharger” และผู้นำ EV Ecosystem Operator ครบวงจร เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน กล่าวว่า บริษัทมุ่งให้บริการด้านการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจรที่ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ตามแนวคิดครบ-สะดวก-สบาย ล่าสุด บริษัทได้พัฒนา “EV Fleet Solutions” โซลูชันสำหรับบริหารจัดการฟลีทยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจรเป็นรายแรกในไทย เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่องค์กรที่ใช้ยานพาหนะเดินทาง และขนส่งจำนวนมาก และช่วยให้องค์กรมีความมั่นใจ และความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านรถยนต์เชิงพาณิชย์ (Commercial Vehicle) ของตัวเอง เป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้ง่ายขึ้น
สำหรับ EV Fleet Solutions ของ Sharge ประกอบด้วยบริการ 3 ส่วน ได้แก่ 1. ช่วยคิด ให้คำปรึกษา ออกแบบ วางแผนเส้นทางการชาร์จ และติดตั้ง EV Charger ความเร็วสูงให้เหมาะสมกับเส้นทางเดินรถของแต่ละองค์กร 2. ช่วยแสดงผล พัฒนา Dashboard ที่รวบรวมทุกข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการรถในสังกัดของลูกค้า อาทิ ตำแหน่งรถแต่ละคัน เส้นทางการเดินรถ การใช้พลังงานของรถแต่ละคัน มาแสดงผลแบบ Real-Time เพื่อให้ลูกค้าสามารถบริหารจัดการรถในพอร์ทได้ง่ายขึ้น และ 3. ช่วยลดขั้นตอน นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยลดภาระทุกขั้นตอนของทั้งองค์กรและผู้ใช้งานรถ ให้ชาร์จง่าย จ่ายง่าย และบริหารจัดการง่าย อาทิ เทคโนโลยี Plug & Charge และระบบเติม Credit Balance ลงทะเบียนผูกบัตรครั้งเดียว หัวชาร์จทุกตู้ทั่วไทยรู้จักรถ ไม่ต้องลอค อินหน้าตู้ เสียบชาร์จเสร็จ ตัดเงินทันที พร้อมมีระบบวางบิลล์อัตโนมัติ ช่วยให้องค์กรบริหารจัดการบัญชีค่าใช้จ่ายง่ายขึ้น
“Pain Point ดั้งเดิมของการเปลี่ยนผ่านสู่ Commercial EV มี 2 เรื่อง คือ 1. ต้องลงทุนเยอะ ทั้งเปลี่ยนรถใหม่ วางแผนเส้นทางเดินรถใหม่ ติดตั้ง EV Charger ความเร็วสูงใหม่ พัฒนาซอฟท์แวร์บริหารจัดการใหม่ 2. ขาดความรู้ในการเปลี่ยนผ่าน และโซลูชันที่ครบวงจร เราจึงนำจุดแข็งของเรา 3 เรื่อง 1. ความเข้าใจในตลาด EV 2. เครือข่ายสถานีชาร์จสาธารณะความเร็วสูงในปัจจุบันมาก กว่า 1,100 หัวชาร์จ และ 3. ความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยี มาพัฒนาเป็นโซลูชันที่ครบวงจร ลดต้นทุนการติดตั้ง EV Charger จำนวนมาก ลดต้นทุนการพัฒนาซอฟท์แวร์เอง และได้คู่คิดที่ช่วยวางแผน ออกแบบเส้นทางการเดินรถ มีเทคโนโลยียกระดับให้สามารถเปลี่ยนผ่านมาใช้ Commercial EV ได้อย่างมั่นใจ”
พีระภัทร กล่าวอีกว่า ชาร์จ แมเนจเม้นท์ฯ มุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าองค์กรขนาดกลางถึงใหญ่ ที่ต้องการเปลี่ยนผ่านระบบฟลีทขององค์กรจากรถพลังงานเชื้อเพลิงแบบดั้งเดิมสู่ EV ได้แก่ 1. รถขนส่งสินค้า และขนส่งอาหาร (Delivery Commercial) เช่น รถมอเตอร์ไซค์ รถกระบะขนสินค้า 2. รถสำหรับใช้ในองค์กร (Corporate Fleet) เช่น รถประจำตำแหน่ง รถของบุคลากร 3. รถเช่าของผู้ให้บริการรายต่างๆ (Rental Car Operator) 4.รถในธุรกิจลอจิสติคส์ (Logistics) เช่น รถบรรทุกสินค้า และ 5. รถสาธารณะ (Public Transport) เช่น แทกซี รถบัส โดยขณะนี้บริษัทกำลังเดินหน้าเจรจากับองค์กรธุรกิจต่างๆ อาทิ ผู้ผลิต และนำเข้ารถ EV ผู้ให้บริการสถานีพลังงาน สถาบันการเงิน และผู้ให้บริการลอจิสติตส์ และคลังสินค้า ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ในเร็วๆ นี้
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังวางแผนต่อยอด EV Fleet Solutions ให้สามารถคำนวณอัตราการลดการปล่อยแกสเรือนกระจก หรือ Carbon Credit จากการใช้ EV Fleet ภายในอนาคต เพื่อรองรับความต้องการขององค์กรธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยแกสเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission)
“ทิศทาง และนโยบายทั้งระดับโลก และระดับประเทศต่างหันมาให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนผ่านทั้งรถยนต์โดยสาร และรถยนต์เชิงพาณิชย์สู่รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ภาครัฐของเราเองก็มีนโยบายมอบสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล 1.5-2 เท่า ให้แก่องค์กรที่ซื้อรถบัสไฟฟ้า และรถบรรทุกไฟฟ้ามาใช้ ตอนนี้มีหลายองค์กรที่ต้องการเข้าร่วมการเปลี่ยนผ่าน เพื่อลดต้นทุนค่าพลังงาน รับสิทธิประโยชน์ และช่วยโลกลดคาร์บอน แต่ยังไม่กล้าตัดสินใจเปลี่ยนผ่าน เราเชื่อมั่นว่าการลุกขึ้นมาแก้ Pain Point ของตลาด และพัฒนาโซลูชันครบวงจรเป็นเจ้าแรกของเรา และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่มีอยู่ในขณะนี้ จะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้า Fleet ตัดสินใจเปลี่ยนผ่านได้ง่ายขึ้น”
Mitsubishi แนะนำ All-New Mitsubishi Triton Black Edition
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย)ฯ เผยโฉม All-New Mitsubishi Triton Black Edition (มิตซูบิชิ ทไรทัน บแลค เอดิชัน) ใหม่ รุ่นพิเศษ จำนวนจำกัด ปรับโฉมจาก All-New Mitsubishi Triton Double Cab Plus Ultra เกียร์อัตโนมัติ เติมความหล่อเข้มเต็มพิกัดด้วยชุดแต่งสีดำรอบคัน สะท้อนนิยามแห่งความสปอร์ท แข็งแกร่งทรงพลัง ตามแบบฉบับรถกระบะที่เหนือระดับอย่างแท้จริง
All-New Mitsubishi Triton Black Edition ตอกย้ำแนวคิดแห่งการปฏิวัติเพื่อสิ่งใหม่ที่เหนือกว่า พร้อมสะท้อนตัวตนที่แตกต่างของผู้ขับขี่ ด้วยการตกแต่งภายนอกสีดำสุดเท่ ประกอบด้วย ไดนามิค ชีลด์ และกรอบไฟตัดหมอกสีดำเงา ล้ออัลลอยสีดำขนาด 18 นิ้ว กระจกมองข้างสีดำเงา มือเปิดประตูด้านนอกสีดำเงา มือเปิดกระบะท้ายสีดำเงา บันไดข้างตกแต่งสีไททาเนียมรมดำ และกันชนหลังสีดำตกแต่งด้วยสีไททาเนียมรมดำ ทั้งหมดนี้ผสานกันอย่างลงตัว เร่งอารมณ์สปอร์ทถึงขีดสุด ดึงดูดทุกสายตา
นอกเหนือจากรูปลักษณ์ที่โดดเด่นสะดุดตาแล้ว All-New Mitsubishi Triton Black Edition ยังมาพร้อมเครื่องยนต์คลีนดีเซล เทอร์โบ ไฮเพอร์เพาเวอร์ (Hyper Power) ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ให้พละกำลังที่เหนือกว่า และประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น ด้วยกำลังสูงสุดที่ 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 430 นิวทันเมตร ผสานช่วงล่างใหม่ และแชสซีส์เมกาเฟรมใหม่ที่ใหญ่ขึ้น และแข็งแรงขึ้น เพื่อประสบการณ์การขับขี่ที่นุ่มสบายเหนือระดับ คล่องตัวทั้งในเมือง และขณะเดินทางไกล
All-New Mitsubishi Triton Black Edition โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยรอบคัน ไดมอนด์ เซนส์ (Diamond Sense) ที่มีระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (Forward Collision Mitigation System: FCM) ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning: BSW) พร้อมระบบสัญญาณเตือนขณะเปลี่ยนเลน (Lane Change Assist: LCA) ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด (Rear Cross Traffic Alert: RCTA) ระบบปรับระดับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ (Auto High Beam: AHB) กล้องมองภาพรอบคัน (Multi Around Monitor: MAM) พร้อมระบบตรวจจับ และแจ้งเตือนวัตถุ หรือบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน (Moving Object Detection: MOD) ซึ่งเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะทั้งหมดนี้ สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหว และสภาพแวดล้อมรอบตัวรถ ด้วยเซนเซอร์ และเรดาร์ที่ละเอียด แม่นยำ พร้อมปกป้องคุณให้ปลอดภัยในทุกเส้นทางที่ไปในแบบ 360 องศา
ภายในห้องโดยสารของ All-New Mitsubishi Triton Black Edition ได้รับการออกแบบเพื่อมอบที่สุดแห่งความสะดวกสบายหรูหรา เติมเต็มสุนทรียภาพขณะขับขี่ที่เทียบได้กับรถเอสยูวี พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ครบครัน อาทิ หน้าจอขนาด 9 นิ้ว ที่รองรับได้ทั้ง Apple CarPlay ที่พร้อมเชื่อมต่อแบบไร้สาย และ Android Auto เพื่อให้เป็นรถกระบะที่ตอบโจทย์การใช้งานทั้งในชีวิตประจำวัน และการออกทริพเอาท์ดอร์ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
All-New Mitsubishi Triton Black Edition มาพร้อมสีตัวถังสีเทา Graphite Gray และสีขาว White Diamond โดยมีราคาจำหน่ายเริ่มต้นอยู่ที่ 1,027,000 บาท
Toyota เปิดตัว “Toyota Sure Certified”
เปิดมิติประสบการณ์ใหม่ของรถมือสองกับ Toyota Sure (โตโยตา ชัวร์) ผู้จำหน่ายรถมือสองอย่างเป็นทางการกว่า 20 ปี นำเสนอผลิตภัณฑ์ และการบริการครบวงจรทั้งซื้อ-ขาย และแลกเปลี่ยนรถยนต์ใช้แล้วคุณภาพดีทุกยี่ห้อ ผ่านมาตรฐานการรับรองโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ และควบคุมมาตรฐานพร้อมดำเนินการภายใต้ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กับเครือข่ายด้านบริการที่ครอบคลุมทั่วประเทศกว่า 104 โชว์รูม รวมถึงนำเสนอบริการจาก บริษัท อ็อคชั่น เอ็กซ์เพรส จำกัด ที่เป็นบริษัทประมูลรถยนต์มือสอง อีกหนึ่งช่องทางในการรองรับรถใช้แล้วของ Toyota ทุกรุ่น เพื่อความมั่นใจของลูกค้า Toyota ในการใช้รถที่มีราคาขายต่อในอนาคตที่น่าพึงพอใจ โดยผู้ที่สนใจ สามารถดูรถคุณภาพดีได้ง่ายๆ ผ่านเวบไซท์ www.toyotasure.com ที่มีรถให้เลือกกว่า 1,700 คัน โดยมีการอัพเดททุกวัน จากผู้จำหน่าย Toyota Sure ทั่วประเทศ
สำหรับการเลือกซื้อรถมือสองที่ Toyota Sure ลูกค้าสามารถมั่นใจในคุณภาพที่มาพร้อมกับการรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ หรือการ Certified สำหรับรถยนต์แบรนด์ Toyota ที่กล้ารับประกันมากกว่าใคร โดยรองรับอายุรถสูงสุดถึง 12 ปี รับประกันนานสุด 2 ปี 40,000 กม. สะท้อนให้เห็นถึงการมั่นใจในคุณภาพ ความทนทาน และอายุการใช้งานที่ยาวนาน ซึ่งเป็นคุณสมบัติ QDR (Quality คุณภาพ, Durability ความทนทาน, Reliability ความน่าเชื่อถือ) เหนือกว่าแบรนด์ใด ซึ่ง Toyota ยึดถือเป็นหลักการในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทุกชิ้น และถูกถ่ายทอดจากรถใหม่มาสู่รถมือสอง
พบข้อเสนอใหม่ล่าสุด กับการรับประกันคุณภาพเพิ่มเติม และส่วนลดสุดเอกซ์คลูซีฟ สำหรับลูกค้าที่ซื้อรถยนต์จาก Toyota Sure ด้วย Sure Certified จะได้รับการรับประกันคุณภาพ 1 ปี 20,000 กม. หรือสูงสุด 2 ปี 40,000 กม. (ใหม่) และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน (Roadside service) 24 ชั่วโมง*
นอกจากนี้ ยังมีสิทธิพิเศษรูปแบบใหม่ กับส่วนลดการเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการ Toyota ตามประเภทการรับประกันคุณภาพที่เลือกซื้อ ได้แก่
Certified 5 ปี : คูปองส่วนลดค่าอะไหล่เชคระยะ 25 % จำนวน 2 ครั้ง หรือฟรีแพคเกจเชคระยะขั้นพื้นฐานจากบริการ ECO pack-PM lite 1 ครั้ง (ขึ้นอยู่กับระยะเวลาช่วงฟรีค่าแรงเชคระยะ)
Certified 12 ปี : ส่วนลดค่าอะไหล่ แพคเกจเชคระยะขั้นพื้นฐานจากบริการ ECO pack-PM lite 25 % จำนวน 1 ครั้ง
Certified Gold : ส่วนลดค่าอะไหล่ แพคเกจเชคระยะขั้นพื้นฐานจากบริการ ECO pack-PM lite 25 % จำนวน 2 ครั้ง
สำหรับผลิตภัณฑ์หลักของ Toyota Sure คือ รถยนต์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Toyota Sure Certified ซึ่งคือ ผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ มั่นใจ ด้วยการตรวจสภาพ เชคประวัติรถยนต์อย่างครบถ้วน โดยระบบภายในของ Toyota ว่าไม่ผ่านการจมน้ำ ชนหนัก หรือเคยผ่านการกรอไมล์ รวมถึงมีการปรับสภาพ ทำความสะอาดตามมาตรฐานประเทศญี่ปุ่น นอกจากนั้น ยังผ่านการตรวจเชคที่ครอบคลุมตั้งแต่ภายนอก ภายใน โครงสร้างตัวถัง เครื่องยนต์ ประวัติการดัดแปลง การจมน้ำ ด้วยอุปกรณ์มาตรฐาน ละเอียดถึง 280 จุด ตามมาตรฐาน Toyota Vehicle Inspection (TVI) ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการเชคประวัติรถยนต์ทั้งหมดโดยระบบภายในของ Toyota (ระบบ Topserv) เพื่อรับประกันอีกขั้นว่าไม่มีการย้อมแมวแน่นอน
โดยตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา Toyota Sure Certified รูปแบบใหม่ขยายการรับประกันที่รับรองคุณภาพรถอายุสูงสุด 12 ปี หรือไมล์ไม่เกิน 250,000 กม.* สูงสุด 2 ปี 40,000 กม. โดยรถทุกคันสามารถเข้ารับบริการ ได้ที่ศูนย์บริการ Toyota กว่า 450 แห่งทั่วประเทศ เช่นเดียวกับรถใหม่ Toyota
สำหรับรายละเอียดตัวเลือกการรับประกันคุณภาพ 3 ประเภท ที่พร้อมให้ลูกค้าได้เลือกสรร ได้แก่
Certified 5 ปี สำหรับรถอายุไม่เกิน 5 ปี หรือมีระยะทางการใช้งานไม่เกิน 120,000 กม.
รับประกัน 1 ปี 20,000 กม. หลังจากประกันรถใหม่หมดอายุ
คุ้มครองอะไหล่ 8 ระบบ 152 รายการ
ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง นาน 1 ปี
คูปองส่วนลดค่าอะไหล่เชคระยะ 25 % จำนวน 2 ครั้ง หรือฟรีแพคเกจเชคระยะขั้นพื้นฐานจากบริการ ECO pack-PM lite 1 ครั้ง (ขึ้นอยู่กับระยะเวลาช่วงฟรีค่าแรงเชคระยะ)
Certified 12 ปี สำหรับรถอายุ 6-12 ปี หรือมีระยะทางการใช้งานไม่เกิน 250,000 กม.
รับประกัน 1 ปี 20,000 กม. นับจากวันส่งมอบ
คุ้มครองอะไหล่ 5 ระบบ 92 รายการ
ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง นาน 1 ปี
ส่วนลดค่าอะไหล่ แพคเกจเชคระยะขั้นพื้นฐานจากบริการ ECO pack-PM lite 25 % จำนวน 1 ครั้ง
Certified GOLD สำหรับรถอายุ 6-12 ปี หรือมีระยะทางการใช้งานไม่เกิน 250,000 กม.
รับประกัน 1 ปี 20,000 กม. นับจากวันส่งมอบ
คุ้มครองอะไหล่เพิ่มเป็น 6 ระบบ 115 รายการ
ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง นาน 1 ปี
ส่วนลดค่าอะไหล่ แพคเกจเชคระยะขั้นพื้นฐานจากบริการ ECO pack-PM lite 25 % จำนวน 2 ครั้ง
พิเศษ ลูกค้าที่เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ Certified 12 ปี และผลิตภัณฑ์ Certified Gold ในรถกลุ่มอายุ 6-11 ปี เลขไมล์ไม่เกิน 230,000 กม. ยังสามารถเลือกขยายเวลารับประกันสูงสุดถึง 2 ปี 40,000 กม. ได้อีกด้วย
ศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ลูกค้าที่เลือกซื้อรถกับ Toyota Sure สามารถมั่นใจได้ว่า เป็นทางเลือกที่ชาญฉลาด ทำให้ได้รถคุณภาพดี มาพร้อมคุณสมบัติ QDR (คุณภาพ ทนทาน น่าเชื่อถือ) ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานจากโรงงานตั้งแต่เป็นรถมือหนึ่ง และเมื่อเป็นรถมือสองก็ผ่านการคัดสรร และปรับสภาพที่ได้มาตรฐานจาก Toyota Sure ทั้งยังมีรถให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อตามความต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รถยนต์ไฮบริดที่ Toyota Sure กล้ารับประกันคุณภาพด้วยผลิตภัณฑ์ Certified และกล้ารับประกันแบทเตอรีต่อเนื่องจากประกันรถใหม่จนถึงอายุรถ 10 ปี
ทั้งนี้ Toyota ยังมีบริการที่ครบวงจรภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท อ็อคชั่น เอ็กซ์เพรส จำกัด ที่เป็นบริษัทประมูลรถยนต์มือสอง อีกหนึ่งช่องทางในการรองรับรถ Toyota มือสองทุกรุ่น ที่จะทำให้ลูกค้าได้รับราคาขายต่อ หรือมูลค่าคงเหลือในอนาคตของรถยนต์ที่ดี และเป็นที่น่าพึงพอใจอย่างแน่นอน
* เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
รถใช้แล้ว Sure Certified by Toyota เริ่มจำหน่ายตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2567 เป็นต้นไป
Royal Enfield แนะนำ Guerrilla 450
การขับขี่ Roers บนท้องถนนจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ดังที่ Royal Enfield (รอยัล เอนฟีลด์) เปิดตัวโรดสเตอร์สายพันธุ์ใหม่ล่าสุด Royal Enfield Guerrilla 450 (เกอร์ริลลา 450) มอเตอร์ไซค์ที่บอกให้โลกรู้ว่าจริงๆ แล้วการขับขี่รถแบบโรดสเตอร์นั้น มีความสนุกอย่างไร ! ทั้งการเคลื่อนไหว ใช้งานง่าย และคล่องแคล่วในการขับขี่ Guerrilla 450 ได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมมาอย่างพิถีพิถัน และมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เข้าถึงอารมณ์ได้อย่างเต็มที่ โดยเป็นรถมอเตอร์ไซค์ที่ทรงพลัง หลากสไตล์ ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้สนุกต่อการขับขี่ที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นในวันทำงานที่ต้องผ่านการจราจรแออัด วันอาทิตย์ตอนเช้ากับการขับขี่ที่ลัดเลาะไปตามถนน หรือการขับขี่ทางไกลในถนนที่เงียบสงบ
Guerrilla 450 เป็นรถมอเตอร์ไซค์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของการสร้างรถมอเตอร์ไซค์ของ Royal Enfield คำว่า "guerrilla" ใน Royal Enfield จารึกได้จากผลงานที่มีระดับ และได้รับรางวัล โดยพัฒนาเพื่อจุดประสงค์เดียว คือ ความสนุกสนานจากการขับขี่รถมอเตอร์ไซค์เท่านั้น Guerrilla 450 เป็นวิวัฒนาการครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน และเต็มไปด้วยเรื่องราวของ Royal Enfield ที่สร้างรถมอเตอร์ไซค์แบบโรดสเตอร์ที่แข็งแกร่งมาอย่างต่อเนื่อง
สิทธัตถะ ลาล กรรมการผู้จัดการประจำ Eicher Motors กล่าวว่า Guerrilla 450 คือ Modern Roer ที่เราทุ่มเท และยินดีกับผลลัพธ์อย่างมาก รถมอเตอร์ไซค์มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ดูดี รวมความสามารถในการขับขี่ไว้ที่หลากหลาย สร้างความมั่นใจในทุกการขับขี่ ซึ่งสร้างจากพแลทฟอร์มเดียวกันกับ Himalayan (หิมาลายัน) แต่ถูกปรับให้เป็นโรดสเตอร์ที่ทำให้รู้สึกต่างกันอย่างน่าตื่นเต้นเมื่อขับขี่ Guerrilla นำเสนอความเป็นโรดสเตอร์ได้ดี โดยตอบโจทย์ด้านการขับขี่ และรูปลักษณ์ของการขับขี่ในชีวิตประจำวัน หรือแม้ตอนเร่งเครื่องยนต์เต็มที่ ด้วยเครื่องยนต์ โครงสร้าง ท่วงท่าการขับขี่ ผสมผสานจนเป็นมากกว่าแค่ส่วนประกอบ
Royal Enfield Guerrilla 450 จะมีจำหน่ายทั่วโลก 3 รุ่น ได้แก่ Analogue (แอนาลอก), Dash (แดช) และ Flash (แฟลช) ทั้งหมด 6 สี โดยรุ่น Analogue จะมีสี Smoke Silver และ Playa Black ซึ่งรุ่นนี้จะไม่มี TFT cluster ในขณะที่รุ่น Dash ก็มีสี Playa Black กับ Gold Dip รุ่นนี้มี TFT display ในระบบ ส่วนรุ่น Flash แหวกแนวมาในสี Yellow Ribbon และ Brava Blue ซึ่งมาพร้อมสเปคที่ดีที่สุด สำหรับตลาดอื่นๆ จะมี Smoke Silver เป็นตัวเลือกเดียวใน Analogue
B Govindarajan ซีอีโอของ Royal Enfield กล่าวว่า Guerrilla 450 เป็นรถมอเตอร์ไซค์ที่จะมาเขย่าวงการโรดสเตอร์ เมื่อเราเริ่มต้นด้วยพแลทฟอร์ม Sherpa 450 เรานึกถึงแอดเวนเจอร์ ทัวเรอร์ และโรดสเตอร์ ที่เป็นเลิศ ซึ่งบ่งบอกความเป็น Royal Enfield ได้ดี ซึ่งสิ่งนั้น คือ Guerrilla 450 มอเตอร์ไซค์โรดสเตอร์ที่มีเอกลักษณ์ และความเชื่อมั่น เราได้พัฒนามันพร้อมกับ Himalayan อย่างสมบูรณ์แบบสำหรับการขับขี่ในเมือง และการขับขี่ท่องเที่ยวตามเส้นทางคดเคี้ยว Guerrilla มอบประสบการณ์บนถนนที่น่าทึ่ง พร้อมกับการส่งมอบพลังงานที่เข้าถึงได้ดีเยี่ยม ด้วยการผสานกันระหว่าง เครื่องยนต์ ระบบขับเคลื่อน และโครงสร้าง เราทุ่มเวลากับการทดสอบรถมอเตอร์ไซค์ และขับขี่รอบโลก เพื่อการพัฒนา และช่วยให้คุณมั่นใจในฐานะของผู้ขับขี่
Guerrilla 450 รถจักรยานยนต์พรีเมียมแบบโรดสเตอร์ ได้รับการออกแบบมาสำหรับทุกสภาพถนน ด้วยเครื่องยนต์ Sherpa 452 ซีซี ที่ถูกปรับแต่งให้มีสมรรถนะที่โดนใจสำหรับการขับขี่แบบโรดสเตอร์ ด้วยเฟรมเหล็กคู่ และท่านั่งแบบหลังตรง และก้มเล็กน้อย ให้อารมณ์แบบสปอร์ท พูดได้เลยว่า เจ้า Guerrilla 450 นำพาเราไปสู่วิถีของโรดสเตอร์สายพันธุ์ออริจินอลอย่างแท้จริง ! การออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ ทำให้การขับขี่มีชีวิตชีวา ให้ความคล่องตัว และการตอบสนองที่ไม่มีใครเทียบได้ ทำให้เกิดการขับขี่ที่น่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นการหมอบเอนไปข้างหน้า วิ่งเต็มกำลังบนเส้นทางที่คดเคี้ยว หรือบนท้องถนนในเมืองที่ขรุขระ และการจราจรติดขัด การขี่รถในเช้าวันอาทิตย์แบบชิลล์ๆ หรือการขับขี่ระยะทางยาวในวันหยุด Guerrilla คือ คำตอบของ all-roer ที่แท้จริง
GRR-More growl for the prowl: เสียงคำรามที่น่าเกรงขาม
Guerrilla 450 เครื่องยนต์ Sherpa 452 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อการขับขี่รถจักรยานยนต์แบบโรดสเตอร์ เน้นสมรรถนะเต็มเปี่ยม เครื่องยนต์นี้ถูกปรับใช้ครั้งแรกใน Himalayan 450 รถสไตล์แอดเวนเจอร์ ทัวเรอร์ ด้วยตัวระบบ 4 วาล์ว DOHC ของ Guerrilla 450 ให้กำลังสูงสุด 40 แรงม้า ที่ 8,000 รตน. และแรงบิดสูงสุด 40 นิวทันเมตร ที่ 5,500 รตน. โดยมากกว่า 85 % ของแรงบิดมีตั้งแต่ 3,000 รตน. ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำของ Guerrilla 450 มีปั๊มน้ำภายในที่ประสิทธิภาพสูง หม้อน้ำคู่ และท่อ bypass ทำให้สามารถควบคุมอุณหภูมิได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงในทุกสภาพการขับขี่ อีกทั้งเกียร์แบบ 6 จังหวะ พร้อม Slipper Clutch ช่วยเพิ่มความสะดวกในการขับขี่ ทำให้ Guerrilla 450 เป็นเครื่องพิสูจน์วิศวกรรมที่ยอดเยี่ยม และความคิดสร้างสรรค์ของ Royal Enfield
Return of the Real Roer: การกลับมาของ Roer
ไม่มีสิ่งไหนจะเหมือนกับรูปลักษณ์ และการขี่ Guerrilla 450 ที่มีความดุดัน เก๋าเกม และจิตวิญญาณของนักบิด ที่มาพร้อมเบาะนั่งแบบขั้นบันได ถังน้ำมันขนาด 11 ลิตร ไฟหน้า LED พร้อมไฟเลี้ยว และไฟท้ายในตัว และท่อไอเสียแบบเฉียงขึ้น เจ้า Guerrilla ถูกออกแบบอย่างประณีต ทุกชิ้นส่วนถูกออกแบบมาอย่างดี สะท้อนความเป็นโรดสเตอร์ดั้งเดิม ด้วยการออกแบบที่โฉบเฉี่ยว รูปทรงการขับขี่ที่เน้นสมรรถนะ และคุณภาพงานประกอบระดับพรีเมียม Guerrilla 450 ท้าทายกฎเกณฑ์เดิมๆ โดยนำแนวทางใหม่ๆ มาสู่การขี่มอเตอร์ไซค์
Intuitive Riding Ergonomics: ออกแบบให้เข้ากับสรีระ
การออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ของ Guerrilla 450 ได้รับการออกแบบมาให้รองรับกับสไตล์การขี่ที่แตกต่างกัน ช่วยให้นักบิดสามารถรับมือกับทุกสิ่ง ตั้งแต่ถนนเปิดโล่ง ไปจนถึงเส้นทางที่ต้องใช้ทักษะสูง รถรุ่นนี้มอบท่านั่งแบบหลังตรงด้วยการผสานกันของเบาะนั่งที่ต่ำ พร้อมที่พักเท้าที่อยู่ตรงกลาง ทำให้ควบคุมรถได้ง่ายดาย ชอคอับหน้าแบบเทเลสโคพิคขนาด 43 มม. และชอคอับหลังเดี่ยว ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้ขับขี่โดยไม่สูญเสียความสะดวกสบาย มาพร้อมกับยางแบบไม่มียางในทั้งด้านหน้า และด้านหลังขนาด 17 นิ้ว และระยะฐานล้อ 1,440 มม. รถจักรยานยนต์จะรักษาเสถียรภาพ และการควบคุมที่ยอดเยี่ยม ทำให้มั่นใจได้ถึงการขับขี่ที่มั่นคง และว่องไว ไดนามิคในการขับขี่ที่น่าดึงดูด และตอบโจทย์นี้ ทำให้ Guerrilla 450 เหมาะสำหรับการเดินทางในเมือง และการขับขี่อย่างมีชีวิตชีวาบนถนนที่คดเคี้ยว โดดเด่นด้วยความสมดุลของสมรรถนะตัวรถ และฝีมือการขับขี่
Switch moods. Switch Modes: ปรับมู้ด เปลี่ยนโหมด
Guerrilla 450 มอบประสบการณ์การขับขี่แบบไดนามิคที่ปรับให้เข้ากับอารมณ์ของผู้ขับขี่ ด้วยระบบการจัดการเครื่องยนต์ (EMS) ที่ตอบสนองเป็นพิเศษ และเทคโนโลยี Ride-by-Wire ด้วย Performance Mode และ Eco Mode ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนการตอบสนองของคันเร่งให้เหมาะกับอารมณ์ และสภาพการขับขี่ของตนเองได้ ไม่ว่าจะขับขี่บนถนนในเมืองที่พลุกพล่าน หรือควบคุมคันเร่งบนทางคดเคี้ยว และถนนเปิด รถจักรยานยนต์คันนี้จะช่วยให้ผู้ขี่สนุกสนานยิ่งขึ้นในทุกการขับขี่
Enabled by technology, not defined by it ขับขี่ด้วยเทคโนโลยี
รุ่นทอพ และรุ่นรองทอพของ Guerrilla มาพร้อมกับ Tripper Dash ใหม่ ซึ่งเป็นคลัสเตอร์อินโฟเทนเมนท์ขนาด 4 นิ้ว ที่มีจอแสดงผลผู้ใช้ที่เรียบง่าย ใช้งานสะดวก ซึ่งจะให้ข้อมูลที่สำคัญทุกเมื่อที่จำเป็น Tripple Dash รองรับแอพพลิเคชัน RE ที่มีฟีเจอร์มากขึ้น เช่น การบันทึกเส้นทางที่สามารถส่งออกเป็นรูปแบบไฟล์ GPX ทำให้ผู้ขับขี่สามารถแบ่งปันประสบการณ์การขับขี่ของตนกับเพื่อนๆ ได้ นอกจากนี้ ยังสามารถนำเข้าไฟล์ GPX เข้าสู่แอพพลิเคชัน RE จากอุปกรณ์ของบุคคลที่ 3 เพื่อสัมผัส และสร้างประสบการณ์ใหม่กับมอเตอร์ไซค์ Royal Enfield ของคุณได้อีกครั้ง มากไปกว่านั้น จอแสดงผลยังสามารถควบคุมเพลง การพยากรณ์อากาศ และข้อมูลยานพาหนะอย่างครบถ้วนอีกด้วย
Royal Enfield GMA and Apparel: อุปกรณ์ตกแต่ง และเครื่องแต่งกาย
อุปกรณ์ตกแต่งรถจักรยานยนต์ (Genuine Motorcycle Accessories) สำหรับ Guerrilla 450 ได้รับการสร้างสรรค์อย่างพิถีพิถัน ยกระดับทั้งสไตล์ และการใช้งาน ด้วยแรงบันดาลใจที่นำมาจากฉาก Flat-Track และการขับขี่ในเมือง อุปกรณ์เสริมต่างๆ ได้แก่ การ์ดเครื่องยนต์ และการ์ดท่อขนาดใหญ่ เบาะนั่งสำหรับการขี่ในเมือง ที่เพิ่มสไตล์ และความสบายด้วยอานที่ออกแบบดีขึ้น ฟลายสกรีนที่ย้อมสี และกระจกเงาที่รมดำ ซึ่งจะช่วยยกระดับประสบการณ์การขับขี่ แรงบันดาลใจ Flat Track เห็นได้ชัดจากเบาะนั่ง ตะแกรงกันน้ำมันสีเงิน กระจังหน้า และครอบแผงหน้าปัดสีดำ Halcyon นอกจากนี้ คุณยังสามารถเลือกใช้การ์ดป้องกันเครื่องยนต์ขนาดกะทัดรัด กระจกข้างที่ยึดเสริมเพื่อการขับขี่ และความสวยงามที่ดียิ่งขึ้น Guerrilla 450 มาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางอเนกประสงค์สำหรับการผจญภัยในเมือง
กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งกาย Guerrilla 450 สื่อถึง urban moto-culture ของ Royal Enfield เสื้อยืด หมวก และอุปกรณ์สวมศีรษะได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษ เพื่อดึงดูดคอมมูนิทีนักบิดรุ่นใหม่ เอาใจสายแฟชัน Guerrilla 450 Roer Royal Enfield ได้เปิดตัวเสื้อแจคเกท Crossroader ใหม่ ซึ่งเป็นเสื้อแจคเกทตัวแรกของอินเดียที่มีแถบไททาเนียม 100 % เสื้อแจคเกทที่ได้รับการรับรอง CE คลาสส์ A ให้การไหลเวียนของอากาศที่เหนือกว่า พร้อมอุปกรณ์สวมใส่แบบดูอัลสปอร์ท มอบความมั่นใจให้นักขี่ท่องถนนได้อย่างปลอดภัย สะดวกสบาย และมีสไตล์
Royal Enfield เปิดตัวโปรแกรม Borderless Warranty Program พร้อม Guerrilla 450 โดยโปรแกรมนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้ขับขี่มีอิสระในการขับขี่มากขึ้น และสำรวจรถจักรยานยนต์ Royal Enfield ของตนได้อย่างไร้ขีดจำกัด โดยมีระบบบริการที่กว่า 3,000 ศูนย์บริการทั่วโลก ใน 70 ประเทศ