ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
บอร์ด EV ไฟเขียว ! เคาะมาตรการลดภาษี “รถยนต์ไฮบริด” 5 ปี
บอร์ด EV ลดภาษีหนุนรถยนต์ไฮบริด (HEV) ตั้งแต่ปี 2571-2575 ภายใต้ 4 เงื่อนไข ยกระดับไทยสู่ฐานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร
คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด EV) เห็นชอบมาตรการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์นั่ง และรถยนต์โดยสารขนาดที่นั่งไม่เกิน 10 คน แบบไฮบริด (HEV) โดยจะปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิต ให้อยู่ในระดับคงที่ในช่วงปี 2571-2575 จากเดิมที่อัตราภาษีจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 ทุก 2 ปี เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น “ศูนย์กลางการผลิต และการส่งออกรถ ยนต์ไฟฟ้าทุกประเภทในระดับโลก”
4 เงื่อนไขมาตรการหนุน "รถยนต์ไฮบริด"
สำหรับผู้ผลิตที่จะเข้าร่วมโครงการดังกล่าว ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขสำคัญ 4 ด้าน คือ
1. ต้องมีการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ไม่เกิน 120 กรัม/กม.
- การปล่อย CO2 ไม่เกิน 100 กรัม/กม. อัตราภาษีสรรพสามิตร้อยละ 6
- การปล่อย CO2 101-120 กรัม/กม. อัตราภาษีสรรพสามิตร้อยละ 9
2. ต้องมีการลงทุนจริงเพิ่มเติม โดยบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ และ/หรือบริษัทในเครือในประเทศไทย ไม่น้อยกว่า 3,000 ล้านบาท ในช่วงปี 2567-2570
3. ต้องมีการใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่ผลิต หรือประกอบในประเทศไทย โดยรถยนต์ HEV ที่จะขอรับสิทธิ์ต้องใช้แบทเตอรีที่ผลิตในไทย ตั้งแต่ปี 2569 และใช้ชิ้นส่วนสำคัญอื่นๆ ตั้งแต่ปี 2571 เป็นต้นไป
4. ต้องมีการติดตั้งระบบความปลอดภัยแบบอัจฉริยะ ในรถยนต์ HEV รุ่นที่ขอรับสิทธิ์ อย่างน้อย 4 จาก 6 ระบบ ดังนี้
ระบบเบรคฉุกเฉินขั้นสูง (AEB)
ระบบเตือนการชนด้านหน้าของรถ (FCW)
ระบบการดูแลภายในช่องจราจร (LKAS)
ระบบเตือนการออก หรือเปลี่ยนช่องจราจร (LDW)
ระบบการตรวจจับจุดบอด (BSD)
ระบบการควบคุมความเร็วของยานยนต์ (ACC)
ทั้งนี้ บอร์ด EV ได้มอบหมายให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ร่วมกับกระทรวงการคลัง นำมาตรการนี้เสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนออกประกาศต่อไป
New Nissan Navara 2024 เด่นภายใน รับยูโร 5
New Nissan Navara (นิสสัน นาวารา) ใหม่ รุ่นปี 2024 มาแล้ว ! มีการปรับดีไซจ์นภายในใหม่ ให้ดูสปอร์ทพรีเมียมมากขึ้น ด้านสมรรถนะมีการปรับมาตรฐานไอเสียเป็น ยูโร 5 ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวด ล้อมมากขึ้น แต่ยังคงคุ้มค่า และทนทาน ตามนิยาม "ทน พร้อม ลุย" ในทุกสถานการณ์เหมือนเดิม
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมใน New Nissan Navara 2024 มี 2 อย่างหลักๆ คือ
- ปรับภายในดีไซจ์นใหม่ ! ด้วยคอนโซลหน้าแบบสปอร์ท เสริมความพรีเมียม พร้อมฟังค์ชันการใช้ประโยชน์
- ขุมพลังทุกรุ่นมาพร้อมมาตรฐานไอเสีย ยูโร 5 เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แต่ยังคงให้สมรรถนะ และการตอบสนองทันใจเหมือนเดิม
ดีไซจ์นภายนอก
New Nissan Navara 2024 ยังคงรักษาเอกลักษณ์ดีไซจ์นภายนอกเหมือนเดิม ตั้งแต่กระจังหน้าแบบอินเตอร์ลอค ไฟหน้าแบบ Quad-Eye LED คุณภาพสูง พร้อมไฟ Daytime Running Light และไฟท้าย LED แบบ Guide light ที่โดดเด่นเห็นได้ชัดเจน ซุ้มล้อขนาดใหญ่สไตล์รถขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่พร้อมลุยทุกสถานการณ์ โดยมีการดีไซจ์นภายนอกที่แตกต่างไปในแต่ละรุ่นย่อย แตกต่างกันไปตามบุคลิก ได้แก่
รุ่น Pro-4X และ Pro-2X
Pro-4X (พโร-4 เอกซ์) และ Pro-2X (พโร-2 เอกซ์) มาพร้อมกระจังหน้าสีดำสไตล์สปอร์ท ไฟหน้าแบบ Quad-Eye LED และไฟ DLR ล้ออัลลอยพร้อมยางแบบ All-Terrain ในรุ่นปี 2024 มีการเปลี่ยนเสาอากาศเป็นแบบครีบฉลาม (Shark Fin) ทำให้ดูโฉบเฉี่ยวกว่าเดิม ตัวถังรุ่นนี้ยกสูงขึ้น ช่วยให้ผู้ขับขี่ลุยได้ทุกเส้นทาง
รุ่น Black Edition
Black Edition (บแลค เอดิชัน) มีใน Nissan Navara King Cab Calibre (นิสสัน นาวารา คิงแคบ คาลิเบอร์) และรุ่น Double Cab (ดับเบิลแคบ) มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว กระจังหน้าแบบอินเตอร์ลอคสีดำ สติคเกอร์ Black Edition และกระจกมองข้างสีดำเพิ่มลุคสปอร์ท
ในรุ่น Calibre ทั้งตัวถังแบบ King Cab และ Double Cab มีการเพิ่มซุ้มล้อแบบสปอร์ท ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว และกระจังหน้าแบบอินเตอร์ลอคที่ดุดัน
รุ่น King Cab ยังโดดเด่นด้วยพื้นที่บรรทุก ระบบช่วงล่างช่วยให้บรรทุกของได้มากขึ้นต่อการขนแต่ละครั้ง จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการต้นทุนการขนส่ง
นอกจากนี้ ยังเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าได้ตกแต่งรถในสไตล์ของตนเอง ด้วยอุปกรณ์เสริม Utility Package ชุดใหญ่ กับคิ้วกันสาดประตู กันรอยมือเปิดประตูลายคาร์บอน ชุดคิ้วบันไดสแตนเลสส์ ชุดพรมพร้อมยางปูพื้น
New Nissan Navara 2024 มีสีภายนอกที่แตกต่างกันไปในแต่ละรุ่น ตั้งแต่สีเทา Stealth Gray ที่เป็นสีซิกเนเจอร์, สีทองแดง Forged Copper, สีแดง Burning Red, สีดำ Black Star, สีเทา Twilight Gray, สีเงิน Brilliant Silver, สีขาว White Pearl และ Solid White
ภายในปรับลุคใหม่ ดูดีขึ้นเยอะ
New Nissan Navara 2024 ต้องสะดุดตากับคอนโซลหน้าใหม่ ที่เปลี่ยนบรรยากาศภายในของห้องโดยสารให้พรีเมียมมากขึ้น ด้วยจอทัชสกรีนใหญ่ขนาด 9 นิ้ว ในรุ่น Pro-4X และ Pro-2X มาพร้อมวัสดุบุนุ่มคุณภาพสูงในหลายๆ จุด เช่น ที่พักแขน และคอนโซลหน้า รุ่นนี้ยังติดตั้งกระจกอคูสติค (Acoustic Glass) ลดเสียงรบกวนจากภายนอกไม่ให้เข้ามารบกวนผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร ให้ทุกการเดินทาง
สำหรับในรุ่น Pro-Series มีเบาะนั่งปรับระบบไฟฟ้า 8 ทิศทาง ช่วยให้ผู้ขับขี่ปรับเบาะนั่งให้เหมาะสม ที่นั่งตอนหน้าแบบ Zero Gravity เริ่มตั้งแต่ในรุ่น Calibre หุ้มเบาะด้วยวัสดุ Quole Modure* ที่สะท้อน และไม่สะสมความร้อนแม้ต้องเดินทางในระยะไกล เพิ่มความสบายทั้งในรุ่น Calibre และ Pro-Series ที่นั่งตอนหลังยังได้ติดตั้งที่พักแขน และที่วางแก้วน้ำให้ความสะดวกสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ระบบแอร์อัตโนมัติพร้อมแยกระบบควบคุมอุณหภูมิในแต่ละที่นั่ง ให้ความสบาย ทั้งตอนหน้า และหลัง
นอกจากนี้ ยังมาพร้อม Nissan Connect ระบบอินโฟเทนเมนท์อัจฉริยะ ที่พร้อมสร้างความบันเทิง ด้วยการรองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายกับ Wireless Apple Car Play และเชื่อมต่อผ่านสาย USB สำหรับ Android Auto**
ช่วยให้ผู้ขับขี่ และผู้โดยสารสามารถใช้แอพพลิเคชันระบบนำทางผ่านระบบเครื่องเสียงอัจฉริยะได้สะดวกยิ่งขึ้น และยังรองรับการสั่งงานด้วยเสียง พร้อมกันนี้ ยังมีจุดชาร์จไฟหลายรูปแบบทั้ง Type C และ Type A เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อ และสื่อสารได้อย่างไม่ขาดตอนขณะกำลังเดินทาง รวมทั้งยังมีช่องเก็บของหลายจุด ให้จัดเก็บของได้อย่างสะดวก ปลอดภัย สามารถหยิบใช้งานได้ง่าย
เครื่องยนต์ 2.3 ลิตร เทอร์โบคู่ 190 แรงม้า ไอเสียยูโร 5
New Nissan Navara 2024 วางเครื่องยนต์ รหัส YS23DDTT ความจุ 2.3 ลิตร 4 สูบ แบบทวินเทอร์โบ มาตรฐานยูโร 5 (Euro 5) ที่มีการปล่อยไอเสียต่ำ แต่ยังคงให้การตอบสนองทันใจ ประหยัดน้ำมัน เช่นเดียวกับ Nissan Navara รุ่นก่อนหน้า ฟิลเตอร์ Diesel Particulate Filter (DPF) ช่วยกรองละอองเขม่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อไฟ DPF โชว์ที่หน้าจอ ผู้ขับขี่สามารถกดปุ่มให้ฟิลเตอร์ DPF ทำงาน เพื่อลดปริมาณเขม่าควันลง ให้พลังสูงสุด 190 แรงม้า (PS) และแรงบิดสูงสุด 450 นิวทันเมตร มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 7 จัง หวะ ที่สามารถเปลี่ยนไปเป็นโหมดแมนวล (M Mode) ได้ เพื่อเพิ่มความสนุกสนานในการขับขี่ที่ควบคุมได้ตามใจ รวมทั้งยังประหยัดเชื้อเพลิง และรองรับน้ำมันดีเซลทุกประเภท (B7, B10, และ B20 )
รุ่น Pro-4X ติดตั้งเทคโนโลยีขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่เพิ่มความมั่นคงในการยึดเกาะถนน และควบคุมได้ ด้วยเทคโนโลยี Brake-Limited Slip Differential (B-LSD) ระบบ Shift-On-The-Fly 4-Wheel Drive & ILO ที่ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนโหมดระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ เป็น 4 ล้อได้ เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่ำกว่า 100 กม./ชม.
สำหรับรุ่น King Cab รุ่น Calibre และรุ่น Double Cab ติดตั้งระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ มาพร้อมเครื่องยนต์ DOHC VGS เทอร์โบ 2.3 ลิตร 4 สูบ ใหม่ รหัส YS23DDT ให้พลังสูงสุด 160 แรงม้า และแรงบิด 403 นิวทันเมตร
พร้อมลุย บรรทุกหนักได้เหมือนเดิม
New Nissan Navara 2024 ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของความแข็งแกร่ง และการบรรทุกหนักด้วยโครงสร้างแชสซีส์ทำจากเหล็กกล้า มีพื้นที่บรรทุกของได้อย่างจุใจ ทั้งยังมีบันไดที่กันชนหลัง ซึ่งช่วยให้เข้า-ออก และขนของที่กระบะได้สะดวก รวมถึงการปรับตำแหน่งตะขอยึดใหม่ เพื่อตอบโจทย์การบรรทุกสัมภาระทั้งขนาดใหญ่ และเล็ก
ระบบความปลอดภัยใน New Nissan Navara 2024
- ปลอดภัยรอบคัน 360° Safety Shield ด้วยกล้องรอบทิศทาง Intelligent Around View Monitor (IAVM) ที่มีกล้อง 4 ตัวที่แสดงภาพได้แบบเรียลไทม์ และมุมสูง ดูได้จากจอ 9 นิ้ว (สำหรับรุ่น Pro ) ที่ทำงานร่วมกับเทคโนโลยี Moving Object Detection (MOD) ที่ตรวจจับวัตถุรอบตัวรถในช่วงความเร็วไม่เกิน 10 กม./ชม. หากตรวจพบระบบจะส่งสัญญาณเสียง และภาพ รวมทั้งยังสั่งให้ระบบออฟโรด และระบบขับเคลื่อนทุกล้อทำงาน นอกจากนี้ ยังมี Parking Sonar พร้อมเซนเซอร์ที่กันชนหน้า และหลัง ที่ส่งสัญญาณเตือนเมื่อพบวัตถุเคลื่อนไหวขณะที่กำลังจอด
- เทคโนโลยีเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนอัจฉริยะ (Intelligent Forward Collision Warning-IFCW) ที่จะส่งสัญญาณเสียงพร้อมสัญลักษณ์เตือนบนหน้าปัด หากพบความเสี่ยงจากการชนด้านหน้า
- เทคโนโลยีช่วยเบรคฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking-IEB) จะช่วยวิเคราะห์ความเร็ว และระยะห่างจากรถคันหน้า พร้อมทั้งช่วยลดความเร็ว และเบรค
- เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning-BSW) จะส่งเสียงสัญญาณพร้อมไฟกะพริบที่กระจกมองข้าง เตือนให้รู้ว่าขณะนั้นกำลังมีรถคันอื่นอยู่ในช่องทางด้านข้างซึ่งผู้ขับขี่ไม่สามารถมองเห็น
- เทคโนโลยีป้องกันการชนจากจุดอับสายตาอัจฉริยะ (Intelligent Blind Spot Intervention-IBSI) จะส่งแรงเบรคดึงรถกลับสู่ช่องทางอย่างนุ่มนวล การถอยรถออกจากช่องจอด
- เทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังรถขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert-RCTA) จะส่งสัญญาณเตือนพร้อมไฟกะพริบเตือน หากตรวจพบรถที่กำลังเคลื่อนเข้ามาทางด้านหลังทั้งซ้าย และขวา สัญ ญาณเตือนพร้อมไฟกะพริบที่กระจกมองข้างด้านเดียวกันกับที่มีรถกำลังเคลื่อนมา
- เทคโนโลยีเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง (Lane Departure Warning-LDW) จะเตือนผู้ขับขี่หากระบบจับทิศทางได้ว่ารถกำลังเบี่ยงออกนอกช่องทางโดยไม่ได้เปิดสัญญาณไฟเลี้ยว และหากรถยังคงออกนอกเส้นทาง
- เทคโนโลยีช่วยควบคุมรถเมื่อออกนอกช่องทางอัจฉริยะ (Intelligent Lane Intervention-ILI) จะทำงานโดยส่งสัญญาณให้ระบบเบรคทำงาน และส่งแรงเบรคเพื่อดึงรถกลับสู่ช่องทางให้ผู้ขับขี่รู้ตัว
- เทคโนโลยีเตือนเมื่อเหนื่อยล้าขณะขับขี่ หรือ Intelligent Driver Alertness (IDA) หากเหนื่อยล้าจนรูปแบบการขับขี่เปลี่ยนไปโดยไม่ตั้งใจ ระบบจะส่งสัญญาณเสียง และสัญลักษณ์ให้ผู้ขับทราบ
- ถุงลมนิรภัย 7 จุด ปกป้องด้านด้านหน้า ด้านข้าง ม่านลมนิรภัย และเข่า พร้อมเข็มขัดนิรภัยแบบ Pretensioner and Load Limiter (ELR) ที่จะปรับตามขนาดตัวของผู้โดยสารแต่ละราย
- เทคโนโลยีระบบป้องกันการลื่นไถล (4-Wheel Active Brake Limited Slip) ระบบจะส่งแรงเบรคไปยังล้อที่ลื่นไถล ให้คุณควบคุมทิศทางรถได้ทุกสภาพถนน หลบหลีกได้ทันท่วงที
- เทคโนโบยีควบคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง (Traction Control-TCS) เทคโนโลยีป้องกันล้อหมุนฟรี (Intelligent Stability Control System) และเทคโนโลยีควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัตโนมัติ (Vehicle Dynamic Control-VDC) ช่วยป้องกันไม่ให้ล้อหมุนฟรีเมื่อขับขี่บนพื้นผิวถนนที่ลื่น
- ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (Hill Start Assist) และทางลาดชัน (Hill Descent Control-HDC) ช่วยให้การขับขี่บนเส้นทางที่ลาดชัน ขึ้นเขา หรือเส้นทางออฟโรดได้อย่างมั่นใจ และอุ่น
- เทคโนโลยีป้องกันล้อลอค (ABS) และกระจายแรงเบรค (Electric Brake Force Distribution System-EBD) เทคโนโลยีป้องกันการลื่นไถล (Brake Limited Slip Differential-B-LSD) รวมทั้งมีไฟเบรค LED จุดที่ 3 เพื่อเพิ่มความปลอดภัย มองเห็นได้ชัดเจนในระยะไกล
ราคาจำหน่าย New Nissan Navara 2024
รุ่น Pro-4X และ Pro-2X เพิ่มจากเดิม 15,000 บาท
- Pro-4X 4WD 7 AT ราคา 1,175,000 บาท
- Pro-2X 2WD 7 AT ราคา 1,045,000 บาท
รุ่น Double Cab, King Cab และ Single Cab เพิ่มจากเดิม 10,000 บาท
Double Cab
- Calibre E 7AT Black Edition 944,000 บาท
- Calibre E 7AT 909,000 บาท
- Calibre E 6 MT 859,000 บาท
King Cab
- Calibre E 7AT Black Edition 859,000 บาท
- Calibre E 7AT 825,000 บาท
- Calibre E 6MT 775,000 บาท
- E 6MT 699,000 บาท
- SL 6MT 659,000 บาท
Single Cab
- 4WD SL 6MT 669,000 บาท
- SL 6MT 605,000 บาท
Audi เปิดตัว Q8
Audi ประเทศไทย เปิดตัว Flagship SUV ตัวทอพสุดหรูกับขุมพลัง Plug-in Hybrid เจเนอเรชันใหม่ล่าสุด “Audi Q8 TFSI E Quattro S Line Edition One (เอาดี คิว 8 ทีเอฟเอสไอ อี กวัตตโร เอส ไลน์ เอดิชัน วัน)” พรีเมียมสุดในเซกเมนท์ ราคา 5,799,000 บาท มาพร้อมกับ New Design Language ลุคสปอร์ทสุดดุดัน กระจังหน้าดีไซจ์นล่าสุด ล้อ Audi Sport พร้อมแนะนำ 3 สีใหม่ Sakhir Gold Metallic/Chili Red Metallic และ Waitomo Blue Metallic นำเข้า 100 % ประกอบนอกทั้งคัน คุณภาพพรีเมียมมาตรฐานเยอรมัน
ไฮไลท์เด่นของ Audi Q8 TFSI E Quattro S Line Edition One
• มอบความสะดวกสบายให้แก่ทุกเส้นทางด้วย Adaptive Cruise Control with Stop & Go Function (ระบบรักษาความเร็ว และระยะห่างจากรถคันข้างหน้า) ง่ายเพียงปลายนิ้ว ระบบควบคุมความ เร็วอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control (ACC) พร้อมฟังค์ชัน Stop & Go ที่สามารถหยุดรถได้อัตโนมัติเมื่อรถคันหน้าหยุด และเริ่มเคลื่อนที่อีกครั้งเมื่อรถคันหน้าเริ่มเคลื่อนที่ ในสภาพการจราจรที่ติดขัด ออกแบบมาเพิ่มความสะดวกสบาย และความปลอดภัยในการขับขี่ โดยระบบนี้จะช่วยรักษาความเร็วที่ตั้งไว้ และปรับความเร็วอัตโนมัติ พร้อมรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยจากรถคันหน้า พร้อมระ บบช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะ Driving Assistant เต็มรูปแบบให้ความปลอดภัยทุกเส้นทาง
• พบกับสีใหม่สวยสะดุดตากับ Sakhir Gold Metallic (Special Color) Chili Red Metallic และ Waitomo Blue Metallic พร้อม 4 เฉดสียอดนิยมของแฟน Audi Glacier White Metallic/Satellite Silver Metallic/Mythos Black Metallic และ Daytona Grey Pearl Effect
• ที่สุดของ Flagship SUV ของค่าย Audi ดีไซจ์นโฉบเฉี่ยวไม่เหมือนใคร ด้วยรูปทรง Sportback อันเป็นเอกลักษณ์ของ Audi ลุคสปอร์ทดุดันพร้อมชุดแต่ง S Line และ Black Edition รอบคัน และล้อ Audi Sport สีดำขนาด 22 นิ้ว
• ครั้งแรกของรถในตระกูล Plug-in Hybrid ที่เปิดตัวกับ New Design Language กระจังหน้าลุคใหม่ ดีไซจ์นโดดเด่นไม่เหมือนใคร พร้อมอัพเดท Brand CI กับ Audi Ring 2D Logo และ Audi Lettering ชื่อรุ่นรถ
• ระยะทางวิ่งไฟฟ้า 71.7 กม. (WLTP) ขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน Plug-in Hybrid แบบ V6 เทอร์โบชาร์จ ให้พละกำลัง รวมสูงสุด 394 แรงม้า และแรงบิดรวมสูงสุด 600 นิวทันเมตร แบทเตอรีขนาด 25.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง ความเร็ว 0-100 ใน 5.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 240 กม./ชม. รองรับการชาร์จด้วยกระแสสลับ AC 7.4 กิโลวัตต์
• Quattro แบบ Self-Locking Centre Differential เป็นระบบ Quattro ที่ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา สามารถปรับเปลี่ยนกำลังจ่ายแต่ละล้อได้เป็น 70:30 หรือ 15:85 ด้วยความอัจฉริยะของระบบนี้สามารถปรับเปลี่ยนการจ่ายกำลังได้อัตโนมัติ ตามสภาพพื้นผิว และลักษณะการขับขี่ ยึดเกาะถนนดี เข้าโค้งคม เพิ่มความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น และขับสนุกเร้าใจ มั่นใจได้ทุกการขับขี่ในทุกๆ เส้นทาง
• Flagship SUV ที่มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางลงตัวกับครอบครัวยุคใหม่ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายในรถครบครันพร้อมเครื่องเสียงระดับพรีเมียม Bang & Olufsen
Audi เป็นรถยนต์นำเข้าประกอบนอกทั้งคัน คุณภาพมาตรฐานเยอรมันทุกรุ่น ลูกค้าที่ออกรถ Audi ทุกรุ่น ได้รับการดูแลจาก Audi Protection การรับประกันรถใหม่ 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กม. แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน รถไฟฟ้า E-Tron (อี-ทรอน) และรถ Plug-in Hybrid TFSI E (พลัก-อิน ไฮบริด ทีเอฟเอสไอ อี) ใหม่ทุุกรุ่น รับประกันแบทเตอรี 8 ปี หรือ 160,000 กม. แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Assistance ทั่วประเทศ 24 ชม. นาน 5 ปี
พร้อมบริการต่างๆ อีกมากมายเช่น บริการช่วยเหลือรถเสียฉุกเฉินฟรี ไม่จำกัดจำนวนครั้ง, ฟรี บริการยก/ลากรถไปยังศูนย์บริการอย่างเป็นทางการของ Audi ประเทศไทย ภายในระยะทาง 50 กม. หรือไปยังสถานที่อื่นที่ลูกค้าต้องการภายในระยะทาง 35 กม. (ส่วนต่างคิดค่าบริการ กม. ละ 25 บาท ลูกค้าเป็นผู้รับผิดชอบค่าบริการส่วนต่าง), บริการให้คำปรึกษาทางด้านเทคนิคตลอด 24 ชม. ฟรี ในกรณีที่เกิดรถเสียฉุกเฉิน, ฟรี บริการรับกุญแจสำรอง กรณีลอครถโดยไม่ตั้งใจ เจ้าหน้าที่จะประสานงานเพื่อนำกุญแจสำรองมาให้ ณ จุดเกิดเหตุภายในระยะทาง 20 กม. (กรณีที่เกินกว่า 20 กม. คิดค่าบริการ กม. ละ 25 บาท กรณีที่ต้องการใช้ช่างกุญแจที่มีความชำนาญเพื่อหาวิธีการเข้าไปในรถนั้น จะต้องได้รับความยินยอมจากลูกค้าก่อน ค่าใช้จ่ายสำหรับช่างกุญแจจะรวมอยู่ในบริการ) รวมถึง กรณีเกิดเหตุน้ำมันหมดฉุกเฉินไม่สามารถขับเคลื่อนได้ เจ้าหน้าที่จะจัดส่งน้ำมันไม่เกิน 10 ลิตร/ครั้ง/ปี เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนไปยังสถานีน้ำมันที่ใกล้ที่สุดได้ (หากเกิดเหตุมากกว่า 1 ครั้ง/ปี ครั้งต่อไปฟรีค่าประสานงาน ลูกค้าเป็นผู้รับผิดชอบค่าน้ำมัน)
“Primus Group” ขยายอาณาจักรสู่แบรนด์ “Zeekr”
“Primus Group” ขยายอาณาจักรธุรกิจยานยนต์แบรนด์ “Zeekr (ซีเคอร์)” ในนาม “Zeekr Primus” เตรียมผุดโชว์รูมระดับพรีเมี่ยม ย่านทำเลทอง “ราชพฤกษ์” ชูจุดแข็งบริการสุดลักชัวรีส์ สร้างความต่างเหนือคู่แข่ง ประเดิมเปิด Zeekr Primus Pop up Store ชม และทดลองขับ Zeekr X พร้อมรับแคมเปญพิเศษ ที่เธอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ บางแค ตั้งแต่ 1 สค. 67 เป็นต้นไป
ณัฏฐวุฒิ ตั้งคารวคุณ ประธาน กลุ่มบริษัท Primus ผู้จำหน่ายรถยนต์ระดับชั้นแนวหน้าของประเทศไทย เปิดเผยว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา นับเป็นปีทองด้านการลงทุนของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย โดยเฉพาะตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ที่มีบริษัท และแบรนด์รถยนต์รายใหม่จากประเทศจีน ให้ความสนใจเข้ามาลงทุนดำเนินธุรกิจในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ทำให้ “Primus Group” ได้เล็งเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจด้านการเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ หลังประสบความสำเร็จในการเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ระดับลักชัวรีส์ Mercedes-Benz จึงมีนโยบายที่จะขยายการลงทุน และสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจมากขึ้น ด้วยการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างทางเลือกใหม่ให้แก่ผู้บริโภคคนไทย
ล่าสุด “Primus Group” ได้ร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ Zeekr ประเทศไทย โดยได้รับแต่งตั้งเป็นผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ “Zeekr” อย่างเป็นทางการ ภายใต้ชื่อ “บริษัท ไพรม์มัส เพรสทีจ จำกัด” (Primus Prestige Co.,Ltd.) หรือในนาม “Zeekr Primus” และได้ดำเนินการก่อสร้างโชว์รูม และศูนย์บริการ Zeekr ระดับพรีเมียม ที่มีบริการครบวงจรทั้งด้านการขาย และบริการหลังการขาย บนพื้น ที่กว่า 4 ไร่ ย่านถนนราชพฤกษ์ ซึ่งเป็นแหล่งทำเลทองที่มีศักยภาพ เนื่องจากเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย และศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ มีเครือข่ายการคมนาคมสายหลักที่หลากหลาย ทำให้อำนวยความสะ ดวกด้านบริการ และตอบโจทย์ความต้องการที่สมบูรณ์แบบให้แก่ลูกค้า Zeekr ได้เป็นอย่างดี ขณะนี้อยู่ในระหว่างดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568
“Zeekr เป็นบริษัทในเครือของ Geely Holding Group ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทยานยนต์ชั้นนำระดับโลก ที่มีศักยภาพ ทั้งด้านการวิจัย และพัฒนารถยนต์ การผลิตรถยนต์ และการสร้างเครือข่ายจำหน่ายที่มีอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ที่สำคัญ Zeekr เป็นแบรนด์รถไฟฟ้าในกลุ่มพรีเมียม-ลักชัวรีส์ และมีนโยบายในการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ด้วยการมอบประสบการณ์ระดับลักชัวรี่ย์ให้แก่ลูกค้าทุกคน ซึ่งเป็นแนวคิดเดียวกับ “Primus Group” นั่นคือ การสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้าในทุกมิติ
ดังนั้น การร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำอย่าง Zeekr ในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการต่อยอดธุรกิจยานยนต์ของ “Primus Group” ในการสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่ง และความมั่นคงให้แก่ธุรกิจดังกล่าว ทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จที่ยั่งยืนในอนาคตอีกด้วย
จิระพล รุจิวิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท Primus Group เปิดเผยว่า “Primus Group” เป็นกลุ่มบริษัทที่ดำเนินธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ระดับชั้นแนวหน้า และประสบความสำเร็จอย่างสูงในการเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ Mercedes-Benz (เมร์เซเดส-เบนซ์) ด้วยนโยบายที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) ผ่าน 3 กลยุทธ์หลักในการบริหารงานที่มุ่งเปิดประสบการณ์ใหม่ และสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า ด้วยบริการระดับลักชัวรีที่สมบูรณ์แบบ และครบวงจรทั้งด้านการขาย และบริการหลังการขาย จากบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ ผ่านบทพิสูจน์แห่งความสำเร็จในทุกมิติ
ด้วยคะแนน CSI อันดับ 1 จากการสำรวจความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า Mercedes-Benz และการเติบโตของยอดจำหน่ายในแต่ละปี รวมถึงการกลับเข้ามาใช้บริการซ้ำของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ล้วนแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่น และความพึงพอใจของลูกค้าที่มี “Primus Group” ซึ่งแนวคิด และกลยุทธ์แห่งความสำเร็จนี้ จะถ่ายทอด DNA สู่ Zeekr Primus ในการบริหารงาน และการดูแลลูกค้าเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุด และสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้าในทุกระดับชั้น
ในระยะแรก ทาง “Primus Group” ได้วางแผนสำหรับการรองรับการให้บริการด้านการขาย และบริการหลังการขายแก่ลูกค้ารถยนต์ Zeekr โดยกำหนดงานแผนตามลำดับ ดังนี้
1. การจัดสรรพื้นที่สำหรับการแสดงรถยนต์ Zeekr ในรูปแบบ Zeekr Primus Pop up Store บริเวณชั้น 1 หน้า B2S ที่เธอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ สาขาบางแค โดยเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ที่ผ่านมา
2. โชว์รูม และศูนย์บริการ (ชั่วคราว) บนถนนราชพฤกษ์ เพื่อจัดแสดงรถยนต์ Zeekr พร้อมศูนย์บริการรองรับงานด้านบริการหลังการขาย โดยจะสามารถเปิดให้บริการได้ ในช่วงกลางเดือนสิงหาคม 2567 เป็นต้นไป
3. โชว์รูม และศูนย์บริการครบวงจร (ถาวร) บนพื้นที่กว่า 4 ไร่ ย่านถนนราชพฤกษ์ โดยจะตั้งเป็นโชว์รูมระดับพรีเมียม พร้อมศูนย์บริการครบวงจรของ Zeekr ในประเทศไทย คาดว่าจะแล้วเสร็จ และเริ่มเปิดดำเนินการได้ ในเดือนมีนาคม 2568
พร้อมกันนี้ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จในครั้งนี้ ทาง “Zeekr Primus” ได้มอบโอกาสในการเป็นเจ้าของรถยนต์ Zeekr รุ่นใหม่ล่าสุด “Zeekr X” รถคอมแพคท์ อีวี เอสยูวี พละกำลังระบบมอ เตอร์คู่ 428 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 3.8 วินาที ระยะทางวิ่งสูงสุด 540 กม./การชาร์จเต็ม 1 ครั้ง พร้อมอุปกรณ์ด้านความสะดวกสบาย และความปลอดภัยครบครัน ตามมาตรฐาน Euro NCAP มีให้เลือก 2 รุ่น คือ รุ่น Standard RWD ราคาจำหน่าย 1,199,000 บาท และรุ่น Flagship AWD ในราคา 1,349,000 บาท
พร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษ ฟรี ! ประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี, ดอกเบี้ยพิเศษ, ผ่อนชำระนานสูงสุด 84 เดือน และฟรี !, การรับประกันตัวรถยนต์ 5 ปี หรือ 150,000 กม., รับประกันมอเตอร์ นาน 8 ปี หรือ 180,000 กม. พิเศษ ! สำหรับลูกค้าที่ออกรถ Zeekr X 500 ท่านแรก รับฟรี ! Wallbox มูลค่า 50,000 บาท ที่ Zeekr Primus Pop up Store ชั้น 1 หน้า B2S เธอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ สาขาบางแค
วิ่งฉิว ! เพิ่มความเร็วรถ “ดอนเมืองโทลล์เวย์” สูงสุดไม่เกิน 100 กม./ชม.
ครม. ไฟเขียว เพิ่มความเร็วรถ ทางยกระดับ "ดอนเมืองโทลล์เวย์" จากเดิม 80 เป็น 100 กม./ชม.
คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะบนทางหลวงสัมปทานหมายเลข 31 สายทางยกระดับดินแดง-อนุสรณ์สถาน แบ่งเป็นตามประเภทของยานพาหนะ ดังนี้
1. รถบรรทุกที่มีน้ำหนักรถเกิน 2,200 กก. หรือรถบรรทุกคนโดยสารที่มีที่นั่งคนโดยสารเกิน 15 คน
- ให้ใช้อัตราความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. จากเดิมใช้อัตราความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม.
2. รถขณะที่ลากจูงรถอื่น หรือรถยนต์ 4 ล้อเล็ก
- ให้ใช้อัตราความเร็วไม่เกิน 65 กม./ชม. จากเดิมใช้อัตราความเร็วไม่เกิน 45 กม./ชม.
3. รถโรงเรียน หรือรถรับ-ส่งนักเรียน
- ให้ใช้อัตราความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. จากเดิมใช้อัตราความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม.
4. รถอื่นนอกจากที่กล่าวมา
- ให้ใช้อัตราความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม. จากเดิมใช้อัตราความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม.
ทั้งนี้ กำหนดให้รถที่อยู่ในช่องเดินรถขวาสุดต้องใช้ความเร็วไม่ต่ำกว่า 90 กม./ชม. เว้นแต่กรณีช่องเดินรถนั้นมีข้อจำกัดด้านการจราจร หรือทัศนวิสัย มีสิ่งกีดขวาง หรือมีเหตุขัดข้องอื่น จากเดิมไม่มีกำหนดไว้ในกฎกระทรวงกำหนดอัตราความเร็วสำหรับการขับรถในทางเดินรถ พศ. 2564
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมีความเห็นเพิ่มเติมว่า กรมทางหลวงควรประสานผู้ได้รับสัมปทานจัดให้มีเครื่องหมายจราจร การติดตั้งป้ายสัญญาณเตือน ในเส้นทางช่วงที่กำ หนดความเร็วตามร่างกฎกระทรวง รวมถึงกรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ควรติดตาม และประเมินผลการบังคับใช้กฎกระทรวงกำหนดอัตราความเร็วสำหรับการขับรถในทางเดินรถ พศ. 2564 ในส่วนของเส้นทางนำร่องด้วย
Neo Mobility Asia ขยายธุรกิจรีไซเคิลแบทเตอรี
บริษัท นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย จำกัด บริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่มอรุณ พลัส และ MGC-Asia เพื่อดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้า ครอบคลุมบริการครบวงจร จัดพิธีลงนาม MOU เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการรีไซเคิลแบทเตอรีรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย กับ Primobius หนึ่งในผู้นำด้านการรีไซเคิลแบทเตอรีจากประเทศเยอรมนี
สัญหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ กรรมการ บริษัท นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันความนิยมในการใช้รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน ได้รับความนิยมสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก รวมถึงในประ เทศไทย ซึ่งการรีไซเคิลแบทเตอรีรถยนต์ไฟฟ้า นับเป็นหนึ่งในหลายปัจจัยสำคัญต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทยในอนาคต โดยการนำแบทเตอรีที่เสื่อมสภาพ กลับมาใช้ประโยชน์ผ่านกระ บวนการอันทันสมัย เพื่อลดการใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ วันนี้เราได้ยกระดับการเป็นผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้าครบทุกมิติ ตั้งแต่ต้นน้ำ ถึงปลายน้ำ ผ่านการร่วมมือระหว่าง นีโอ โมบิลิตี้ เอเชียฯ และไพรโมเบียสฯ ในการร่วมกันศึกษาความเป็นไปได้ในการรีไซเคิลแบทเตอรีรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยผมมั่นใจว่าทั้งสองบริษัทมีเป้าหมายที่สอดคล้องกัน คือ การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน พร้อมตอบสนองความต้องการของลูกค้า ได้อย่างคุ้มค่า และมีประสิทธิภาพสูงสุด
มิเชล ซิย์มอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไพรโมเบียส จำกัด กล่าวว่า จุดประสงค์หลักของการรีไซเคิลแบทเตอรี คือ การนำวัตถุดิบจากแบทเตอรีที่เสื่อมสภาพ กลับมาใช้ใหม่ ผ่านกระบวนการที่ทันสมัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อลดการเกิดคาร์บอนฟุตพรินท์จากการสรรหาทรัพยากรใหม่ด้วยการทำเหมืองถ่านหิน โดยเราเล็งเห็นถึงศักยภาพของ นีโอ โมบิลิตี้ เอเชียฯ ที่มีความสามารถในการให้บริการได้แบบครบวงจร อีกทั้งประเทศไทยก็นับว่ามีศักยภาพ พิสูจน์ได้จากความนิยมในการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว ควบคู่ไปกับโครงสร้างสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ครอบคลุม
Primobius ผู้เชี่ยวชาญด้านการรีไซเคิลแบทเตอรีแบบครบวงจร
ไพรโมเบียสฯ เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท Neometals จากประเทศออสเตรเลีย และ SMS Group GmbH ซึ่งเป็นโรงงานผลิตแบทเตอรีมาตรฐานสากลในประเทศเยอรมนี โดยเป็นหนึ่งในสมา ชิกของ EBRA (European Battery Recycling Association) และ EBA 250 (European Battery Alliance) อีกทั้งได้รับความไว้วางใจจากพันธมิตรทางธุรกิจระดับโลก อาทิ Mercedes-Benz (เมร์เซเดส-เบนซ์), BMW (บีเอมดับเบิลยู), STELCO และ ITOCHU จากเยอรมนี, แคนาดา และญี่ปุ่น ตามลำดับ โดยมีเป้าหมายในการสร้างกระบวนการรีไซเคิลแบทเตอรีลิเธียม-ไออน ที่ล้ำสมัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมไปถึงบริการคัดแยกวัตถุดิบที่สามารถนำกลับมาใช้ พร้อมกำจัดแบทเตอรีที่เสื่อมสภาพอย่างเหมาะสม
Mazda ประกาศสนับสนุน “สวาทแคท” ลุยศึกไทยลีก
Mazda (มาซดา) ประกาศเดินหน้าผลักดันแผนพัฒนากีฬาควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ลงนามต่อสัญญาฉบับใหม่เป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของทีม “สวาทแคท” เตรียมลุยสู้ศึกไทยลีกฤดูกาลใหม่ที่กำลังจะเริ่มขึ้น จัดงานเปิดตัวสโมสรฯ ผู้สนับสนุน และชุดแข่งขันในฤดูกาล 2024/25 ภายใต้ธีม “Swatcat is Real สวาทแคท ของแทร่” สื่อถึงความเป็นตัวตนที่แท้จริงของทีมฟุตบอลชื่อดังแห่งเมืองโคราช ด้วยการเลื่อนชั้นกลับขึ้นสู่ลีกสูงสุดได้อีกครั้งในฐานะแชมพ์ T2 เปิดตัวขุนพลนักเตะใหม่ฝีเท้าฉกาจ ทั้งสายเลือดไทย และต่างชาติ เสริมทัพสร้างความแข็ง แกร่งให้แก่ทีม ลั่นปีนี้ทีมมีความพร้อมกว่าเดิมมาก ตั้งเป้าทำอันดับให้ดีที่สุด พร้อมเชิญชวนแฟนๆ ร่วมเชียร์ไปด้วยกัน
ทาดาชิ มิอุระ ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ฤดูกาลที่ผ่านมามีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นมากมาย ทีมสวาทแคทได้นำความสุข นำชัยชนะกลับมาเป็นของขวัญให้แฟนๆ ทุกคน ทำให้เรากลับขึ้นมายืนหนึ่งในไทยลีกได้อย่างสง่างาม ในฐานะแชมพ์ T2 ผมชื่นชมในความอุตสาหะ และการทุ่มเทของนักกีฬา โคช ผู้บริหาร และทีมงานทุกคน ที่สำคัญ คือ แฟนๆ ที่ร่วมแรงร่วมใจส่งเสียงเชียร์ช่วยผลักดันให้ทีมก้าวไปสู้เป้าหมายได้สำเร็จ เราทุกคนต่อสู้เพื่อทีมที่เรารัก โดยไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรค สิ่งเหล่านี้ คือ สปิริทที่เรามีร่วมกัน นี่คือ บทพิสูจน์ที่นำพาให้เราชาวสวาทแคทก้าวเดินมาจนถึงทุกวันนี้ได้ Mazda สนับสนุนทีมสวาทแคทตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ 12 ปีเต็ม ผ่านประสบการณ์ร่วมกันมากมาย ทั้งสุข และเศร้า ผ่านอุปสรรคนานัปการ แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ได้ทำให้ความรักความผูกพันของเราเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย กลับกลายเป็นมิตรภาพที่เหนียวแน่นมากขึ้น ไม่ใช่เพียงเฉพาะคนโคราชเท่านั้น แต่รวมถึงคนไทยทั้งประเทศ
ธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การสนับสนุน “สโมสรนครราชสีมา Mazda F.C.” เป็นจุดเริ่มสำคัญของ Mazda ในการบุกเบิก Sports Marketing โดย Mazda และสวาทแคท เดินทางมาไกล แต่เราจะไม่หยุดเดิน เราต้องไปให้ถึงจุดหมายที่ทุกคนคาดหวัง เราประสบความสำเร็จจากการก้าวขึ้นมาเล่นในไทยลีก T1 อีกครั้ง ด้วยการคว้าแชมพ์ T2 ปีนี้ Mazda สานต่อการสนับสนุนทีมต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 ติดต่อกัน เราทุกคนเชื่อมั่นในสปิริทของทีม เรามั่นใจว่าฤดูกาลนี้สโมสรจะประสบความสำเร็จดังที่ตั้งเป้าหมายไว้ เพราะทุกคนมีความพยายาม มีความมุ่งมั่น ทุ่มเท และไม่เคยยอมแพ้ ด้วยสปิริทแห่งนักสู้นี้ เรามีความมั่นใจอย่างยิ่งว่าปีนี้ทีมจะก้าวขึ้นไปอยู่แถวหน้าของตาราง การลงนามความร่วมมือกันระหว่าง Mazda และสโมสรฯ ในครั้งนี้ คือ พันธสัญญาที่จะก้าวเดินไปด้วยกัน ต่อสู้ไปด้วยกัน เพื่อความสำเร็จของทีม รวมถึงความสุขของแฟนบอล โดยเฉพาะการพัฒนาศักยภาพวงการกีฬาฟุตบอลของเมืองไทยให้ก้าวไปสู่ระดับชั้นนำของโลกดังที่ทุกคนตั้งความหวัง
“ปีนี้ Mazda ยังคงให้การสนับสนุนทีมสวาทแคทอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้ทีมก้าวสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ เพราะเราไม่ได้มุ่งหวังเพียงแค่ชัยชนะเท่านั้น การที่ Mazda มีส่วนช่วยผลักดันนักเตะ และวงการฟุตบอลของไทยให้เติบโตไปไกลกว่าเดิม ผมมั่นใจว่าทีมงานทั้งหมด ทั้งผู้บริหารสโมสรฯ โคช และนักเตะทุกคน ต่างมีใจสู้ไม่ถอย ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค พร้อมร่วมแรงร่วมใจกันผลักดันให้ทีมก้าวสู่เป้าหมายตามที่ต้องการ เพราะสิ่งเหล่านี้ คือ สปิริทที่เรามีร่วมกัน เราไม่ได้มุ่งหวังเพียงแค่เก็บชัยชนะเท่านั้น เราต้องการพัฒนา และยกระดับฟุตบอลไทย โดยเฉพาะการส่งเสริมให้นักกีฬาก้าวสู่ระดับอาชีพ ที่สำคัญ คือ การสร้างความแข็งแกร่งให้แก่เศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นให้เติบโตไปพร้อมๆ กันทุกภูมิภาคทั่วประเทศ”
สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สโมสรนครราชสีมา Mazda F.C. ประธานเปิดงาน กล่าวว่า ฤดูกาลที่ผ่านมา เราสามารถทำเป้าหมายได้สำเร็จ คว้าแชมพ์ฟุตบอลไทยลีก 2 ได้เลื่อนชั้นกลับขั้นมาอยู่บนไทยลีก 1 ส่วนฤดูกาลใหม่นี้ ก็เป็นปีที่มีความท้าทาย เราในฐานะทีมน้องใหม่ ซึ่งในส่วนของฝ่ายบริหาร ผมพร้อมให้การสนับสนุนทีมในทุกๆ ด้าน อย่างเต็มที่ เพราะผมรู้ว่าการแข่ง ขันในลีกสูงสุดไม่ใช่เรื่องง่าย และเราก็ผ่านประสบการณ์มาแล้ว ทำให้เรามีความระมัดระวังมากขึ้นในทุกมิติ และเตรียมพร้อมทุกอย่างให้มีความสมบูรณ์มากที่สุด ก็ต้องขอบคุณผู้สนับสนุนทีมทุกๆ ท่าน ที่ยังอยู่เคียงข้างทีมสวาทแคท และที่สำคัญก็คือ แฟนบอลสวาทแคทที่คอยส่งเสียงเชียร์สนับสนุนทีมมาโดยตลอด
เทวัญ ลิปตพัลลภ ประธานบริหารสโมสรฯ กล่าวว่า เราทำสำเร็จตามเป้าหมาย คือ เลื่อนชั้นกลับไปสู่ลีกสูงสุดภายในปีเดียว และเราขึ้นมาด้วยการคว้าแชมพ์ไทยลีก 2 ทำให้มีความมั่นใจ ซึ่งฤดูกาลใหม่ที่กำลังจะมาถึงเราพร้อมต่อยอดผลงาน มีการเตรียมความพร้อมรับมือในทุกด้าน ทั้งด้านบริหาร และการเตรียมทีม ที่มี โคชโจ ธีระศักดิ์ โพธิ์อ้น เป็นเฮดโคช ได้เตรียมความพร้อมตัวผู้เล่นที่เสริมเข้ามาใหม่ ผนวกกับตัวผู้เล่นเดิมที่มีการผสมผสานจนเกิดความลงตัว และพร้อมลงสนามแข่งขัน ผมจึงอยากเชิญชวนแฟนบอลชาวโคราชเข้ามาส่งกำลังใจเชียร์ทีมในสนามให้เยอะๆ ซึ่งผมมีความเชื่อมั่นว่าการแข่งขันในปีนี้จะเป็นการต่อสู้ที่สนุกของพวกเรา
สำหรับอีกไฮไลท์สำคัญของงานฯ คือ การเปิดตัวชุดแข่งขันใหม่ประจำฤดูกาล 2024/2025 ที่มาจากการออกแบบของ Volt โดยมี 3 แบบ คือ Swatcat Home Jersey (สีส้ม), Swatcat Away Jersey (สีน้ำเงิน), Swatcat Third Jersey (สีเทา) และชุดผู้รักษาประตู 3 สี คือ สีดำ, สีขาว, สีเหลือง โดยนักฟุตบอลของทีมสวาทแคทยังได้ร่วมกันเดินแบบโชว์ตัว สวมชุดแข่งขันใหม่อวดสายตาแฟนบอลอย่างเป็นทางการครั้งแรก ท่ามกลางบรรยากาศสุดชื่นมื่น และเต็มไปด้วยความอบอุ่น
เอเอเอส กรุ๊ป เปิด AAS House
“AAS House” แกลเลอรีสุดหรูสำหรับชาวซิทีไลฟ์สไตล์ ที่นำเสนอยนตรกรรมระดับพรีเมียมจาก 3 แบรนด์ชั้นนำ ภายใต้เอเอเอส กรุ๊ป (AAS Group) ประกอบไปด้วย Porsche (โพร์เช), Bentley (เบนท์ลีย์) และ Harley-Davidson (ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน) โดยจะทำการหมุนเวียนการจัดแสดงอย่างต่อเนื่อง พร้อมด้วยเอกซ์คลูซีฟเลาน์จ์ที่เสมือนพื้นที่พบปะของครอบครัว เอเอเอสฯ เพื่อสร้างประสบ การณ์ที่พิเศษเหนือระดับ
การเปิดตัว AAS House ไม่เพียงแต่เป็นการขยายขอบเขตการบริการของเอเอเอสฯ แต่ยังเป็นการสร้างคอมมูนิทีที่เชื่อมโยงผู้ที่รักในยานยนต์ระดับหรูให้มาพบปะแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันอย่างต่อเนื่อง ที่นี่จะเป็นจุดศูนย์กลางในการจัดกิจกรรมต่างๆ ของเอเอเอส กรุ๊ป ที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ และการเรียนรู้เกี่ยวกับยานยนต์ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ในทุกๆ ด้าน
นอกจากนี้ AAS House ยังมีการออกแบบที่ทันสมัย และสวยงาม เพื่อสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย และหรูหราให้แก่ผู้ที่มาเยือน โดยมีการจัดแสดงรถยนต์ และอุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่รักการขับขี่ รวมถึงมีทีมงานมืออาชีพคอยให้คำแนะนำ และบริการที่เป็นเลิศ พร้อมการเสิร์ฟเครื่องดื่มสูตรเฉพาะจาก Shade Commune ร้านกาแฟแบบ Coffee Specialty ภายใต้เอเอเอส กรุ๊ป ซึ่งจะทำให้ทุกคนที่มาเยือนรู้สึกประทับใจ และได้รับประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร
แกลเลอรีแห่งใหม่นี้ประเดิมด้วยโชว์เคสสุดพิเศษจาก Porsche ประเทศไทย “The New All-Electric Macan” ยนตรกรรมสปอร์ท SUV พลังงานไฟฟ้า 100 % คันแรกของ Porsche ประกอบไปด้วยรุ่น Macan 4 Electric (มาคัน 4 อีเลคทริค) และ Macan Turbo Electric (มาคัน เทอร์โบ อีเลคทริค) ที่จะเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจได้ยลโฉม และสัมผัส ณ ใจกลางกรุง ที่ศูนย์การค้า Emsphere ชั้น 2 ซึ่งจะเป็นจุดหมายปลายทางใหม่สำหรับผู้ที่หลงใหลในนวัตกรรมยานยนต์ และต้องการค้นหาประสบการณ์ใหม่ๆ ในการขับขี่ ตั้งแต่วันนี้-30 กันยายน 2567