ธุรกิจ
ข่าวเด่นรอบสัปดาห์
Changan เปิดตัวแบรนด์ Avatr
Changan Automobile เปิดตัวแบรนด์ Avatr (อวาทาร์) ด้วยรถยนต์รุ่น Avatr 11 (อวาทาร์ 11) เอสยูวีคูเป ด้วยความร่วมมือของ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ นำโดย Changan Automobile, CATL ผู้ผลิต แบทเตอรีรายใหญ่ของโลก และ Huawei โดดเด่นด้วยดีไซจ์นทันสมัย สุดยอดความลักชัวรี การันตีด้วยรางวัล Red Dot Design Award ผสมผสานเทคโนโลยีที่ทันสมัยระหว่างซูเพอร์คาร์ และเอสยูวีได้อย่างลง ตัว ทำให้ Avatr 11 คือ นวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคต ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การขับขี่ ที่ทั่วโลกต้องจับตามอง โดยมีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่น คือ Avatr 11 รุ่น Standard Range (สแตนดาร์ด เรนจ์) และ Avatr 11 รุ่น Long Range (ลอง เรนจ์) พร้อมแคมเปญสุดพิเศษ Avatr With U Select ครอบคลุมสิทธิพิเศษตั้งแต่ที่ชาร์จติดผนังฟรี รวมถึงการรับประกัน การบำรุงรักษา และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน สำหรับลูกค้า 200 ท่านแรกที่จอง Avatr 11 เตรียมรับบิกเซอร์พไรส์ราคาพิเศษในงานเปิดตัว เพราะ Avatr 11 ไม่ใช่แค่รถยนต์ แต่คือ นวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคตที่จะเป็นเพื่อนคู่หูของคุณไปในทุกเส้นทาง
เซิน ซิงหัว กรรมการผู้จัดการ Changan Auto Southeast Asia ผู้นำแห่งการปฏิวัติยานยนต์ไฟฟ้า เปิดเผยว่า Changan Automobile ผนึกกำลังพันธมิตรยักษ์ใหญ่ CATL ผู้ผลิตแบทเตอรีรายใหญ่ของโลก และ Huawei เพื่อพัฒนาสุดยอดเทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคต สร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่ให้แก่วงการยานยนต์ทั่วโลก และเมืองไทย เปิดตัว Avatr 11 เอสยูวีคูเป โดดเด่นด้วยดีไซจ์น ทันสมัย สุดยอดความลักชัวรี การันตีด้วยรางวัล Red Dot Design Award ผสมผสานเทคโนโลยีที่ทันสมัยระหว่างซูเพอร์คาร์ และเอสยูวีได้อย่างลงตัว ทำให้ Avatr 11 คือ นวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคตตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การขับขี่ที่ทั่วโลกต้องจับตามอง โดยมีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่น คือ Avatr 11 รุ่น Standard Range ราคาอยู่ที่ 2,099,000 บาท และ Avatr 11 รุ่น Long Range ราคาอยู่ที่ 2,299,000 บาท พร้อมแคมเปญสุดพิเศษ Avatr With U Select ครอบคลุมสิทธิพิเศษ ฟรีที่ชาร์จติดผนัง การรับประกัน การบำรุงรักษา และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน เพราะ Avatr 11 ไม่ใช่แค่รถยนต์ แต่คือ นวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคตที่จะเป็นเพื่อนคู่หูของคุณไปในทุกเส้นทาง
“ผมมีความยินดีที่จะแนะนำให้ทุกท่านรู้จักกับ Avatr 11 รถ EV อัจฉริยะคันแรกที่สามารถขึ้นถึงฐานแคมพ์เอเวอเรสต์ ด้วยระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะจากการผสมผสานระหว่างซูเพอร์คาร์ และเอสยูวี ประทับใจตั้งแต่เห็นครั้งแรก ดีไซจ์นโดดเด่นล้ำสมัยทำให้ Avatr 11 ได้รับรางวัล Red Dot Design Award ประจำปี 2024 มาครองได้อย่างง่ายดาย และไม่ใช่เพียงรูปลักษณ์ที่โดดเด่น แต่ Avatr 11 คือ สุดนวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคตที่จะสร้างประสบการณ์ขับขี่ใหม่ๆ ให้คุณหลงใหลไปกับการใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย โดยมีรายละเอียดดังนี้”
Avatr 11 สามารถเปิดประตูทั้ง 4 บาน จากระยะไกล ประตูไฟฟ้าอัจฉริยะมีเซนเซอร์ที่สามารถตรวจจับสิ่งของ และผู้คน เพื่อความปลอดภัยอีกขั้น และเมื่อก้าวเข้ามาภายในรถ คุณจะสัมผัสได้ถึงความหรูหรา และเงียบสงบ แสงไฟภายในแบบ Ambient Lighting ที่มีถึง 256 สี พร้อมกับดีไซจ์น Vortex สร้างบรรยากาศอบอุ่น การออกแบบภายในห้องโดยสารของ Avatr 11 ภายในได้รับแรงบัน ดาลใจมาจาก Keystone (หินหลักบนยอดโค้ง) หรูหรา ให้ความเป็นส่วนตัว นอกจากนี้ ยังมีหลังคาพาโนรามาขนาดใหญ่พิเศษ ให้ความรู้สึกโปร่งสบาย และสว่างไสว สามารถป้องกันรังสียูวีถึง 99.9 % และป้องกันความร้อนถึง 80 % ทำให้ผู้ขับขี่สามารถเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องอากาศร้อนอีกต่อไป กระจกมองหลังแสดงภาพจากกล้องแบบสตรีมิงความละเอียดสูง ให้คุณมองเห็นได้กว้างขึ้น และชัดเจนขึ้น เพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัยในทุกช่วงเวลา และทุกสภาพอากาศ
นอกเหนือจากการออกแบบเพื่อความปลอดภัยแล้ว ผู้ขับขี่จะได้รับความสะดวกสบายระดับพรีเมียมในห้องโดยสารที่เต็มไปด้วยความหรูหรา มอบประสบการณ์ความสะดวกสบายสุดพิเศษด้วยเบาะหนัง Nappa ระดับพรีเมียม ที่เชิญชวนให้มาสัมผัส สามารถปรับได้ถึง 14 ทิศทาง พร้อมระบบระบายอากาศ และฟังค์ชันนวด ช่วยให้การเดินทางของคุณเย็นสบาย และผ่อนคลาย เพียงใช้ปลายนิ้ว คลิคฟังค์ชันที่นั่ง Zero Gravity ที่จะมอบความสบายไร้ขีดจำกัดให้คุณ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบเสียงดนตรี Avatr 11 ก็ไม่ทำให้คุณผิดหวัง ระบบเครื่องเสียงที่ถูกออกแบบโดยเฉพาะ จาก Meridian แบรนด์เครื่องเสียงระดับไฮเอนด์ชั้นนำจากอังกฤษ โดยมีลำโพง 25 ตัว และกำลังขับ 2,016 วัตต์ เพื่อมอบประสบการณ์เสียง 3 มิติที่สมจริง และเป็นธรรมชาติ
Avatr 11 ยังมีเทคโนโลยีแบทเตอรีล้ำสมัย แบทเตอรีขนาด 116 กิโลวัตค์ชั่วโมง จาก CATL ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีแบทเตอรีไฟฟ้า ทำให้รถสามารถวิ่งได้ระยะทางไกลถึง 680 กม./การชาร์จเพียงครั้งเดียว พร้อมระบบพแลทฟอร์ม 800 โวลท์ ที่รองรับการชาร์จเร็วจาก 30 % เป็น 80 % ของแบทเตอรี 90 กิโลวัตต์ชั่วโมง ใน 15 นาที และ 116 กิโลวัตต์ชั่วโมง ใน 25 นาที เพียงคุณแวะชาร์จ 1 ครั้ง ก็สามารถเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ได้
นอกจากระยะทางที่น่าประทับใจแล้ว ความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือยังสำคัญกว่ารถยนต์ Avatr 11 ทุกคันทั่วโลกได้ทำการวิ่งมาแล้วกว่า 600 ล้าน กม. โดยไม่พบอุบัติเหตุจากเพลิงไหม้ด้วยมาตรฐานสากลของแบทเตอรีระดับสูงสุด IP68 ที่ได้รับการรับรองความปลอดภัยแม้ในสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย
เซิน ซิงหัว กล่าวเพิ่มว่า Avatr 11 มาพร้อมกับระบบช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูง L2+ (ADAS) มีเรดาร์อุลทราโซนิค 12 ตัว เรดาร์คลื่นมิลลิเมตร 5 ตัว และกล้อง HD 5 ตัว เพื่อการขับขี่ที่แม่นยำ และไร้กังวลบนท้องถนน ฟังค์ชันต่างๆ เช่น ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแปรผันแบบผสมผสาน (IACC) และระบบช่วยเปลี่ยนเลนอัตโนมัติเมื่อเปิดไฟเลี้ยว (UDLC) ทำให้การเดินทางของคุณราบรื่น ฟังค์ชันความปลอดภัย เช่น ระบบเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB) และระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนขณะฉุกเฉิน (ELK) ช่วยให้คุณมั่นใจในการขับขี่มากขึ้น ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ (APA) ทำให้การจอดรถเป็นเรื่องง่าย และพื้นที่จอดรถขนาดเล็กก็ไม่เป็นปัญหา ด้วยระบบช่วยจอดอัตโนมัติจากระยะไกล (RPA) นอกจากนี้ ฟีเจอร์อัจฉริยะของ Avatr 11 ยังสามารถอัพเดทได้อย่างต่อเนื่องผ่านระบบ Over-The-Air (OTA) โดยทุกการอัพเดทช่วยเพิ่มประสบการณ์ในการขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น
การเปิดตัว Avatr 11 ในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการขับขี่อัจฉริยะ ที่นำเทคโนโลยี และความสะดวกสบายมาผสมผสานกันอย่างลงตัว Avatr มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในด้านการพัฒนา และสร้างสรรค์ยานยนต์ไฟฟ้าที่ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ความต้องการในปัจจุบัน แต่ยังมุ่งสู่อนาคตของยานยนต์อัจฉริยะที่เชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันของผู้ใช้
Hyptec HT (ไฮพ์เทค เอชที) เอสยูวีไฟฟ้าลักชัวรีระดับไฮเอนด์ เปิดตัวด้วยกันทั้งหมด 2 รุ่นย่อย ได้แก่
• Hyptec HT 620 Premium ราคา 1,449,000 บาท
• Hyptec HT 620 Luxury (ประตูปีกนก) ราคา 1,749,000 บาท
โดย Hyptec HT มาพร้อม 5 จุดเด่น ที่จะสร้างปรากฏการณ์การขับขี่ก้าวล้ำทันสมัย ดังนี้
Huptec Energy
Hyptec HT มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 250 กิโลวัตต์/340 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 430 นิวทันเมตร/43.9 กก.ม. ส่งกำลังสู่ล้อคู่หลัง อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 5.8 วินาที ทำงานคู่กับแบทเตอรี Magazine Battery 2.0 แบบ Lithium-Ion Phosphate ขนาดความจุ 83.3 กิโลวัตต์ชั่วโมง ที่ได้รับการพัฒนาให้มีความปลอดภัย และคุณสมบัติที่ดียิ่งขึ้น พร้อมสถาปัตยกรรมไฟฟ้า 800 โวลท์ และเทคโนโลยี “ซูเพอร์ชาร์จ” รองรับการชาร์จเร็ว สามารถชาร์จไฟจาก 10-70 % ได้ภายใน 15 นาที วิ่งได้ระยะทาง 372 กม. หรือสูงสุด 240 กิโลวัตต์ และมีระยะทางขับขี่ไกลสูงสุด 620 กม. (มาตร ฐาน NEDC) สามารถเดินทางไป/กลับ กรุงเทพฯ-โคราช โดยไม่ต้องชาร์จไฟระหว่างทาง นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับระบบจ่ายกระแสไฟสู่อุปกรณ์ภายนอก V2L กำลังสูงสุด 3,300 วัตต์
Hyptec Performance
ระบบควบคุมการขับขี่ที่ทรงพลังของ Hyptec HT ถูกสร้างขึ้นบนพแลทฟอร์ม AEP 3.0 ช่วยให้การควบคุมรถขนาดใหญ่เป็นเรื่องงาน ด้วยรัศมีวงเลี้ยว 5.6 ม. ให้ความคล่องตัวสูง สามารถกลับรถได้ง่าย การปรับแต่งช่วงล่างที่มีต้นแบบจากรถซูเพอร์คาร์ พวงมาลัยที่ตอบสนองได้รวดเร็ว และแม่นยำพร้อมโหมดการขับขี่ที่ปรับแต่งได้ ทั้งในด้านอัตราเร่ง/การเบรค/พวงมาลัย และการฟื้นฟูพลังงานได้อย่างอิสระ ระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระปีกนกคู่ (Double Wishbones) และด้านหลังแบบอิสระ 5-Link ช่วยเพิ่มสมรรถนะ และความสบายในการขับขี่ ลดการโคลง และสะเทือนในขณะจอดหรือเลี้ยว เสริมด้วย ASTC (Eagle Claw) ระบบรักษาเสถียรภาพอัจฉริยะ ช่วยปรับสมดุลของตัวรถโดยอัตโนมัติเพื่อลดความเสี่ยงจากการลื่นไถลของรถในสภาพฝนตก หรือเมื่อรถเสียการควบคุม ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่
Hyptec Design
Hyptec HT ถูกออกแบบอย่างพิถีพิถันเหมือนผลงานศิลปะ เปรียบเสมือนแสง และเงาที่ไหลเวียนบนพื้นผิวที่เคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยน ตามหลักแนวคิด Aesthetics of Mechanics and Humanity สุนทรียศาสตร์ทางกลไกที่ผสมผสานกับความเป็นมนุษย์ ด้วยเส้นสายที่โค้งมน และลื่นไหล พร้อมด้วยดีไซจ์นหลังคาแบบลาดเอียง (Fastback) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์ ดีไซจ์นด้านหน้าได้รับแรงบันดาลใจจาก อัญมณีคริสทัล ที่ผ่านการเจียระไนอย่างพิถีพิถัน สร้างรูปลักษณ์หน้ารถที่เต็มเปี่ยมด้วยความลึกลับ และสง่างามด้วยเทคนิคการขัดอัญมณี ไฟหน้าดีไซจ์น Diamond Cut การออกแบบแบบคลาสสิคที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเพชร ส่องประกายอย่างสดใส ไฟท้าย Horizon ดีไซจ์นไฟท้ายแบบรัน-ทรู ส่องแสงยามค่ำคืนเหมือนเส้นขอบฟ้าที่งดงาม โดยไฮไลท์ที่โดดเด่นของ Hyptec HT ก็คือ ประตูปีกนก (Gull Wing Doors) ที่นอกจากจะดูสวยงาม และโดดเด่น ยังมอบพื้นที่การขึ้นลงขนาดใหญ่เป็นพิเศษด้วยความสูงของการเปิดที่ 2.3 ม. ทำให้ไม่จำเป็นต้องก้มศีรษะ หรือย่อตัวเมื่อต้องขึ้นหรือลงจากรถ สามารถเปิดประตูในที่จอดรถแคบๆ ได้อย่างง่ายดาย ต้องการระยะด้านข้างเพียง 34 ซม. เพื่อเปิดประตู ทำให้ปรับตัวได้ดีกับพื้นที่จอดรถทั่วไป ระบบหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวางอัจฉริยะของระบบประตูปีกนกติดตั้งเรดาร์ 12 จุด ทำให้การเปิดประตูมีความชาญฉลาด และปลอดภัยยิ่งขึ้น ระบบดูดประตูไฟฟ้า ช่วยให้ประตูเปิด/ปิดได้อย่างเงียบสนิทโดยไม่ส่งเสียงรบกวน (เฉพาะรุ่น 620 Luxury)
Hyptec Space
Hyptec HT นำเสนอมิติใหม่ของความสะดวกสบาย และความหรูหราเหนือระดับ ด้วยห้องโดยสารระดับเฟิร์สต์คลาสส์ขนาดใหญ่พิเศษ เพื่อการพักผ่อนที่สะดวกสบาย เบาะนั่งโดยสารหุ้มด้วยวัสดุหนัง Nappa คุณภาพสูง และที่พักแขนทำจากวัสดุไม้แท้ ให้สัมผัสที่ดีเยี่ยม พร้อมด้วยฟีเจอร์เบาะรองน่องผู้โดยสารด้านหน้าปรับด้วยระบบไฟฟ้า พนักพิงเบาะหลังปรับเอนได้มากถึง 143 องศา ทำ ให้ผู้โดยสารสามารถนอนพักผ่อนได้อย่างสะดวกสบาย เพิ่มความสบายระหว่างการเดินทางด้วยที่รองขาสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ทำให้ผู้โดยสารสามารถเหยียดขาได้อย่างอิสระ ลดอาการเมื่อยล้าของขา และเท้าระหว่างการเดินทางไกล นอกจากนี้ ยังมีโต๊ะอเนกประสงค์ในเบาะหลังคนขับดีไซจ์นโค้ง เพื่อลดอันตรายจากการกระแทกสำหรับเด็ก เบาะนวดไฟฟ้า 10 จุดคู่หน้า มอบความเพลิด เพลินจากการนวดระดับสปาด้วยโหมดการนวด 5 รูปแบบ
หลังคากระจกพาโนรามาขนาด 2.6 ตรม. พร้อมม่านไฟฟ้า (เฉพาะรุ่น 620 Premium) ให้การป้องกันแสงแดด และสะท้อนความร้อนได้ดียิ่งขึ้น กระจกลามิเนท 2 ชั้นรอบคัน ช่วยป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอก สร้างพื้นที่ส่วนตัวที่เงียบสงบ พื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่พิเศษ 670 ลิตร สามารถบรรจุกระเป๋ากอล์ฟได้ถึงสามใบ พร้อมด้วยพื้นที่จัดเก็บสัมภาระแบบสองชั้นขนาด 80 ลิตร สามารถบรรจุกระเป๋าเดินทางขนาด 20 นิ้ว และอุปกรณ์อื่นๆ นอกจากนี้ยังมีพื้นที่จัดเก็บด้านหน้ารถใต้ฝากระโปรงหน้าขนาด 55 ลิตร
สัมผัสสุนทรียภาพที่เหนือกว่า ด้วยระบบเสียง Dolby Atmos 7.1.2 พร้อมลำโพงคุณภาพสูง 22 ตำแหน่ง สร้างประสบการณ์เสียงรอบทิศทางที่สมจริง ทำงานร่วมกับซับวูเฟอร์ ให้เสียงเบสที่หนักแน่นเหมือนการแสดงสดที่น่าประทับใจ พร้อมลำโพงอิสระที่ตำแหน่งไหล่ของผู้ขับขี่ ช่วยให้สามารถพูดคุยโทรศัพท์หรือฟังระบบนำทางโดยไม่รบกวนการฟังเพลง หรือภาพยนตร์ของผู้โดยสาร หน้าจอความละเอียดสูง 2.5K ขนาด 14.6 นิ้ว ประมวลผลด้วยชิพ Qualcomm 8155 ที่ช่วยให้การเล่นลื่นไหล รองรับการเชื่อมต่อ Apple Car Play และแอพพลิเคชันอื่นๆ นอกจากนี้ Hyptec HT ยังมาพร้อมระบบน้ำหอมปรับอากาศ ที่สามารถสั่งการผ่านหน้าจอกลาง เลือกกลิ่นได้ถึง 3 รูปแบบ
Hyptec Smart
ห้องโดยสารอัจฉริยะ ADiGO Space มาพร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียงแบบ 4 ตำแหน่ง ไม่ว่าผู้ใช้อยู่ที่ใดภายในรถ ระบบสามารถรับรู้ และดำเนินการตามคำสั่งได้อย่างรวดเร็ว, ระบบเตือนเมื่อเหนื่อยล้า หรือเสียสมาธิขณะขับขี่ ระบบสามารถวิเคราะห์สถานะการขับขี่ของผู้ขับได้อย่างชาญฉลาด และจะแจ้งเตือนผู้ขับขี่ด้วยเสียง และข้อความบนจอคอนโซลกลาง เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ รวมถึงฟีเจอร์การปรับที่นั่งสำหรับผู้โดยสารด้านหน้าแบบคลิคเดียว สามารถเลื่อนที่นั่งผู้โดยสารด้านหน้าไปด้านหน้าด้วยการกดเพียงครั้งเดียว เพื่อเพิ่มพื้นที่นั่งในแถว 2 ได้อย่างง่ายดาย
Hyptec HT ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาวจากสถาบัน C-NCAP และได้รับคะแนนระดับ G (ระดับสูงสุด) ในด้านการปกป้องผู้โดยสาร, การปกป้องคนเดินถนน และความปลอดภัยเชิงรุก จากสถาบัน Zhongbao Research พร้อมด้วยช่วยเหลือการขับขี่ และระบบความปลอดภัยอัจฉริยะมากมาย ดังนี้
• ถุงลมเสริมความปลอดภัยด้านหน้า (SRS Airbags)
• ถุงลมเสริมความปลอดภัยด้านข้างตอนหน้า
• ม่านถุงลมเสริมความปลอดภัยด้านข้าง
• ระบบเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB)
• ระบบแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า (FCW)
• ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW)
• ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถออกนอกเลน (LDP)
• ระบบไฟสูงอัจฉริยะ (IHBC)
• ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา (BSD)
• ระบบเตือนการเปิดประตู (DOW)
• ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA)
• ระบบช่วยเตือนเมื่อรถคันหลังเข้าใกล้ (RAW)
• ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมฟังค์ชัน Stop & Go (ACC-S&G)
• ระบบควบคุมความเร็วอัจฉริยะ (ICA)
• ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ (TJA)
• ระบบควบคุมความเร็วในขณะเข้าโค้ง (CSC)
• ระบบช่วยเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (DMS)
• ระบบเสียงเตือนคนภายนอกรถขณะขับขี่โหมดมอเตอร์ไฟฟ้า (AVAS)
• ระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง (TPMS)
• ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา
สิทธิประโยชน์ Hyptec Exclusive Privilege*
1. Financial Benefit ดอกเบี้ยพิเศษ 0.99 % (เมื่อดาวน์ 30 % ผ่อน 48 งวด)
*เมื่อรับร ถและจดทะเบียนรถ ระหว่างวันที่ 19 กันยายน-31 ธันวาคม 2567 เท่านั้น
2. Exclusive Warranty Package
2.1 รับประกันแบทเตอรี และชุดขับเคลื่อนไฟฟ้าแบบรวม ตลอดอายุการใช้งาน
(เฉพาะเจ้าของรถส่วนบุคคล ผู้ครอบครองรถลำดับที่ 1, และไม่ใช้งานรถในลักษณะเชิงพาณิชย์)
*กรณีไม่เข้าตามเงื่อนไขด้านบน ระยะการรับประกันสำหรับชิ้นส่วนแบทเตอรี และระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าแบบรวม จะถูกปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการรับประกันเป็น 8 ปี หรือ 240,000 กม. (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) โดยนับจากวันที่ออกรถ
2.2 รับประกันคุณภาพรถยนต์ 8 ปี หรือ 160,000 กม. (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
2.3 รับประกันชิ้นส่วนประตูปีกนก 8 ปี หรือ 240,000 กม. (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
3. Insurance Gift ฟรี ประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี
4. Exquisite Gifts ฟรี ฟีล์มกระจก แผ่นรองเท้า ค่าจดทะเบียน
5. Exclusive Deal for Home Charger ฟรี Home Chager พร้อมบริการติดตั้ง (ฟรี สายไฟความยาวไม่เกิน 20 ม./รับประกันเครื่องชาร์จ 1 ปี)
6. In-car Internet Service แพคเกจอินเตอร์เนทในรถยนต์ฟรี นาน 2 ปี ไม่จำกัดปริมาณการใช้งาน
7. Lifetime OTA Firmware Update ล้ำสมัยตลอดการขับขี่ บริการอัพเกรดซอฟท์แวร์ที่เกี่ยวข้องในระบบรถยนต์ฟรีตลอดชีพ
8. 24 Hours Roadside Service บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนฟรี ตลอด 24 ชม. นาน 8 ปี
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
Bentley เปิดตัว New Flying Spur Speed
Bentley Motors เปิดตัว New Flying Spur (ฟลายอิง สเปอร์) ใหม่ สุดยอด Grand Tourer ระดับซูเพอร์คาร์แบบ 4 ประตูใหม่ ซึ่งเป็นเจเนอเรชันที่ 4 และถือเป็น 4-Door Supercar รุ่นแรกหลังจากที่รุ่น Flying Spur ได้เคยสร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่อัครยนตรกรรมแบบ 4 ประตูสมรรถนะสูงมาเกือบ 2 ทศวรรษ
สำหรับการเปิดรับคำสั่งจอง New Flying Spur Speed (ฟลายอิง สเปอร์ สปีด) ใหม่ Bentley Bangkok โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้า และตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ Bentley (เบนท์ลีย์) อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย มอบข้อเสนอที่ดีที่สุดสำหรับการสั่งจองรถยนต์ Bentley รุ่น New Flying Spur Speed ราคาเริ่มต้นที่ 25.5 ล้านบาท พร้อมรับเอกสิทธิ์การบริการหลังการขายมาตรฐานโรงงานผู้ผลิตด้วยการรับประกันแบทเตอรีไฮบริดที่ "นานที่สุด" ถึง 8 ปี หรือ 160,000 กม. (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) การรับประกันโดยโรงงานผู้ผลิต และบริการผู้ช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชม. (24-Hour Bentley Roadside Assistance) นาน 3 ปีเต็ม พร้อมรับสิทธิ์การต่อการรับประกันโดยโรงงานผู้ผลิต (Bentley Extended Warranty) สูงสุด 4 ปี
Flying Spur ใหม่ เปิดตัวในรุ่น Speed รุ่นย่อยที่เน้นสมรรถนะในการขับขี่จากขุมพลังแบบ Ultra Performance Hybrid ใหม่ที่จะมอบพละกำลัง และประสิทธิภาพในการขับขี่ ตัวรถมอบความเงียบสงบในโหมด EV ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ไกลกว่า 76 กม. ซึ่งเหมาะสำหรับการขับขี่ในพื้นที่ปลอดมลพิษ หรือการเดินทางในเมือง โดยตัวรถมีอัตราการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำกว่า Flying Spur Speed รุ่นก่อนถึง 90 % เมื่อผู้ขับขี่ต้องการขับขี่ที่เร้าใจยิ่งขึ้น เครื่องยนต์รุ่น V8 แบบไฮบริดที่มอบพละกำลังรวมกว่า 782 แรงม้า มากกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 147 แรงม้ายังทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อส่งมอบประสิทธิภาพในการขับขี่ที่ดีเยี่ยมด้วยอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.5 วินาที
สำหรับการออกแบบ แม้ว่าการออกแบบภายนอกจะยังคงดีไซจ์นที่คุ้นเคย แข็งแกร่ง และสง่างามแบบในรุ่น Flying Spur เจเนอเรชันที่ 3 ซึ่งเปิดตัวในปี 2562 ได้เป็นอย่างดี แต่เครื่องยนต์รุ่นใหม่หมดจดที่จับคู่กับระบบไฟฟ้าใหม่จะนำมาซึ่งชุดเทคโนโลยียานยนต์ที่ทันสมัยที่สุดที่จะขับเคลื่อนอัครยนตรกรรมรุ่นใหม่รุ่นนี้
Flying Spur Speed ใหม่ ยังมาพร้อมกับการออกแบบภายในที่ได้รับการพัฒนาด้วยตัวเลือกการเย็บแบบใหม่ การขึ้นรูปเพชรแบบ 3 มิติบริเวณแผงประตู และเสา และคุณสมบัติแบบ Wellness เพิ่มเติม อาทิ ระบบกรองอากาศด้วยการสร้างไอออนในอากาศอัจฉริยะ และตัวเลือกการปรับท่าทางอัตโนมัติบนเบาะโดยสารทั้ง 4 ที่นั่งที่จะมอบตัวเลือกที่หลากหลายยิ่งขึ้น
สมรรถนะที่สูงขึ้นกับอัตราการปล่อยมลพิษที่ต่ำลง
ขุมพลัง Ultra Performance Hybrid ของ Flying Spur Speed ผสานการทำงานของเครื่องยนต์รุ่น V8 ขนาด 4.0 ลิตร เทอร์โบคู่ 600 แรงม้าเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า 190 แรงม้า และระบบเกียร์คลัทช์คู่ 8 จังหวะ ได้อย่างแนบเนียน โดยในโหมดสปอร์ทขุมพลังสมรรถนะสูงกำลังจะส่งมอบพละกำลังเต็มสูบที่ 782 แรงม้า แรงบิด 1,000 นิวทันเมตร โดยแรงบิดแบบฉับพลันของมอเตอร์ไฟฟ้าจะช่วยเสริมจังหวะการขับเคลื่อนแบบครอสส์เพลนอันเป็นเสน่ห์ของเครื่องยนต์รุ่น V8 เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Speed ก่อนหน้า Flying Spur Speed รุ่นใหม่ให้แรงบิดที่สูงขึ้นจากความเร็วเครื่องยนต์ที่ต่ำกว่า และตลอดช่วงรอบของเครื่องยนต์
Flying Spur Speed ใหม่มาพร้อมกับแรงบิด 1,000 นิวทันเมตร (738 ปอนด์-ฟุต) เพิ่มขึ้นมากกว่า 11 % เมื่อเทียบกับ Flying Spur Speed เครื่องยนต์รุ่น W12 ที่มีแรงบิด 900 นิวทันเมตร พละกำ ลังยังเพิ่มขึ้น 19 % จาก 659 เป็น 782 แรงม้า ทำให้ Flying Spur Speed ใหม่เป็นอัครยนตรกรรมแบบซีดานที่ทรงสมรรถนะที่สุดของ Bentley
เครื่องยนต์รุ่น V8 ใหม่ พละกำลัง 600 แรงม้า แรงบิด 800 นิวทันเมตร ปราศจากระบบสุญญากาศแบบเดิม และแรงดันการฉีดเชื้อเพลิง 350 บาร์ (เพิ่มจาก 200 บาร์) ช่วยให้การเผาไหม้สะอาดขึ้นและปล่อยไอเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น มอเตอร์ไฟฟ้าที่ช่วยลดอาการหน่วงของเทอร์โบ พร้อมด้วยเทอร์โบชาร์เจอร์สโครลเดี่ยวคู่จะช่วยลดความซับซ้อน และทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเพื่อลดการปล่อยไอเสีย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ปิดการทำงานของกระบอกสูบ เนื่องจากระบบจะสามารถปิดเครื่องยนต์ได้ทั้งหมดเมื่อมีการใช้มอเตอร์ไฟฟ้า
ในโหมดไฟฟ้า (EV) E-Motor จะให้พละกำลัง 190 แรงม้า แรงบิด 450 นิวทันเมตร ซึ่งเพียงพอสำหรับการขับขี่ในเมือง ในขณะที่แบทเตอรีขนาด 25.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถเดินทางได้สูงสุด 76 กม. ด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ซึ่งเมื่อรวมระบบส่งกำลัง V8 และ E-Motor จะทำให้ Flying Spur ใหม่สามารถเดินทางได้ไกลกว่า 829 กม. โดยในโหมดไฟฟ้า (EV) แบบเต็มรูปแบบสามารถเดินทางด้วยความเร็วสูงสุด 140 กม./ชม. ด้วยการใช้งานคันเร่ง 75 % สำหรับแบทเตอรีสามารถชาร์จจนเต็มได้ภายในเวลาเพียง 2¾ ชม. จากการพัฒนาของเครื่องชาร์จ และความจุแบทเตอ รีด้วยกำลังชาร์จสูงสุด 11 กิโลวัตต์
ระบบส่งกำลังสามารถจัดการการไหลเวียนของพลังงานโดยขึ้นอยู่กับโหมดที่เลือกดังนี้ โหมดพลังงานไฟฟ้า (EV), โหมดการเพิ่มพละกำลังไฟฟ้า, โหมดการเบรกแบบสร้างพลังงาน และโหมดการชาร์จที่เครื่องยนต์จะขับเคลื่อนล้อ และชาร์จแบทเตอรีไปพร้อมกัน
ระบบช่วงล่าง Bentley Performance Active Chassis ถือเป็นคุณสมบัติมาตรฐานในรุ่น Flying Spur Speed ใหม่ พร้อมด้วยคุณสมบัติที่ล้ำสมัยอื่นๆ อันได้แก่ Bentley Dynamic Ride และ All-Wheel Steering พร้อมด้วยเฟืองท้ายแบบ Limited Slip Differential ที่ควบคุมด้วยระบบอีเลคทรอนิคส์ ในขณะที่ซอฟท์แวร์ควบคุม ESC รุ่นใหม่ช่วยให้เข้าถึงรูปแบบการขับขี่ได้อย่างหลากหลาย และให้การยึดเกาะพื้นถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกสภาพถนน และด้วยการกระจายน้ำหนักที่เน้นไปทางด้านหลังที่ 48.3 : 51.7 ระบบช่วงล่าง และ ESC จึงมีแพลตฟอร์มที่จะปรับให้เหมาะสมเพื่อให้เกิดความสมดุล ซึ่งระบบนี้ใช้การกระจายแรงบิดแบบแอคทีฟจากด้านหน้าไปด้านหลังผ่านเฟืองกลาง และการกระจายแรงบิดอย่างแม่นยำผ่านแต่ละเพลาโดยใช้เบรค
Flying Spur Speed ใหม่ยังมาพร้อมกับระบบกันสะเทือนแบบวาล์วคู่แบบใหม่ที่ล้ำสมัยช่วยให้ควบคุมการหน่วง การคืนตัว และการยุบตัวแยกจากกันได้ ทำให้ผู้ขับขี่สามารถแยกความรู้สึกในด้านไดนามิคระหว่างโหมด Comfort, Bentley และ Sport ได้อย่างชัดเจน การควบคุมตัวถังในโหมด Sport ในแบบรุ่นก่อนหน้ายังคงเช่นเดิม ในขณะที่ความสะดวกสบายในการขับขี่ในโหมด Comfort ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นอย่างมาก
การออกแบบที่ชัดเจน และโดดเด่น
รูปลักษณ์ความสปอร์ทที่เน้นสมรรถนะของ Flying Spur Speed ใหม่ได้รับการพัฒนาด้วยการใช้สีโทนเข้มที่จะทำให้ดูสปอร์ท และร่วมสมัย พร้อมด้วยกระจังหน้า กันชนหน้า และดิฟฟิวเซอร์ด้านหลังแบบใหม่เฉพาะรุ่น Speed ที่จะสร้างรูปลักษณ์ใหม่ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น และชุดแต่ง Styling Specification แบบแอโรไดนามิคที่รังสรรค์ขึ้นในเฉดสีเดียวกับตัวถัง พร้อมกับตัวเลือกเฉดสีคาร์บอนไฟ เบอร์
นวัตกรรมใหม่ยังถูกถ่ายทอดผ่านไฟต้อนรับแบบ LED รุ่นใหม่ที่ติดตั้งใต้ประตูห้องโดยสาร ซึ่งจะฉายโลโก Bentley Wings แบบเคลื่อนไหวลงบนพื้นทุกครั้งที่เปิดประตูหน้าด้วยการใช้เทคโนโลยี “Light Sculpture” ที่เคยมีการใช้งานเป็นครั้งแรกในอัครยนตรกรรมรุ่น Batur จาก Bentley Mulliner
ล้ออัลลอยดขนาด 22 นิ้วแบบ Ten Swept Spoke ใหม่ มีให้เลือกสรร 2 เฉดสีในเฉดสีเทา-เงิน และเฉดสีดำ พร้อมด้วยล้ออัลลอยดขนาด 22 นิ้วอีก 2 แบบที่มีให้เลือกในเฉดสีดำ สีเข้ม และเฉดสีบรอนซ์เงิน Pale Brodgar แบบเคลือบซาติน
ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวาง ผู้โดยสารสามารถเพลิดเพลินไปกับการออกแบบ และงานฝีมืออันเลื่องชื่อของ Bentley ด้วยการออกแบบเบาะโดยสารใหม่ทั้งหมดที่มีการเย็บลวยลายเพชรแบบ 3 มิ ติ และรูปแบบรอยปรุที่ได้รับการออกแบบใหม่ในส่วนตรงกลางของเบาะโดยสาร พร้อมกับการตกแต่งด้วยหนังขึ้นรูปเพชรแบบ 3 มิติ Tactile Precision บริเวณด้านในของประตูห้องโดยสาร และเสา B และเพื่อให้เข้ากับการตกแต่งภายนอกด้วยวัสดุสีบรอนซ์เข้ม ภายในห้องโดยสารยังมีการตกแต่งด้วยโครเมียมสีเข้ม ซึ่งให้ความสวยงาม ร่วมสมัย และยังเพิ่มความเรียบง่ายให้กับภายในห้องโดย สาร การตกแต่งด้วยโครเมียมสีเข้มยังนำมาใช้กับบริเวณมือจับประตู สวิทช์ ตะแกรงลำโพง และบริเวณอื่นๆ อีกรอบห้องโดยสาร พร้อมด้วยกราฟิคมาตรวัดสำหรับผู้ขับขี่ใหม่ที่ทำให้การออกแบบสม บูรณ์แบบยิ่งขึ้น ในขณะที่ Bentley Rotating Display ที่มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้ว หน้าปัดแอนาลอก 3 หน้าปัด และแผงไม้วีเนียร์ยังคงเป็นตัวเลือกเพื่อเติมเต็มความสมบูรณ์แบบ
ผู้ครอบครองสามารถเลือกรูปแบบการออกแบบได้อย่างไร้ขีดจำกัด ซึ่งความต้องการของผู้ครอบครองในการรังสรรค์ Flying Spur ให้ไม่ซ้ำใคร ตรงตามรสนิยม และบุคลิกของตนเองจะเน้นย้ำถึงความสามารถในการส่งพลังแห่งความเป็นไปได้อย่างในสโลแกน "The Power of the Possible"
นอกเหนือจากตัวเลือกเฉดสีกว่า 101 เฉดสี ผู้ครอบครองยังสามารถเลือกเฉดสีเดิมของ Bentley และเฉดสีพิเศษเพื่อให้ตรงกับความต้องการ สำหรับภายในห้องโดยสารมีตัวเลือกสีหนังหลัก 22 สี สีรอง 11 สี และรูปแบบสีอีก 4 รูปแบบ ซึ่งหมายความว่าเฉพาะหนังสามารถจับคู่เฉดสีได้มากกว่า 700 รูปแบบ พร้อมตัวเลือกรูปแบบการเย็บตะเข็บแบบตัดกัน การเดินด้าย หรือคุณสมบัติพิเศษอื่นๆ การตกแต่งด้วยหนังยังมาพร้อมกับรูปแบบการตกแต่งพร้อมกับตัวเลือกวีเนียร์ 8 แบบ และการตกแต่งทางเทคนิคอีก 3 แบบ ซึ่งสามารถเลือกตกแต่งแบบเดี่ยว หรือแบบคู่ และยังสามารถเลือกรัง สรรค์เฉดสีให้เข้ากับเฉดสีหนังภายใน หรือภายนอกได้เช่นกัน
Flying Spur ใหม่มีระบบเสียงให้เลือก 3 ระบบอย่างระบบมาตรฐานมีลำโพง 10 ตัวและกำลังไฟ 650 วัตต์ ระบบเครื่องเสียงจาก Bang & Olufsen 1,500 วัตต์ ประกอบด้วย 16 ลำโพงพร้อมตะแกรงลำโพงเรืองแสงสำหรับลูกค้าที่ชื่นชอบไลฟ์สไตล์ และระบบเครื่องเสียงจาก Naim 2,200 วัตต์ 19 ลำโพง พร้อม Active Bass Transducers ที่ติดตั้งในเบาะโดยสารด้านหน้า และโหมดเสียง 8 โหมดสำหรับผู้ที่รักในเสียงเพลงอย่างแท้จริง นอกจากนี้ กระจกอคูสติคแบบลามิเนทที่ติดตั้งบริเวณกระจกหน้ารถ และกระจกข้างจะช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอกลง 9 เดซิเบลเมื่อเทียบกับกระ จกแบบธรรมดา
ความสะดวกสบาย Wellness และความปลอดภัย
Flying Spur Speed เจเนอเรชันที่ 4 มาพร้อมกับระบบไฟฟ้ารุ่นล่าสุด ซึ่งจะช่วยยกระดับเทคโนโลยีอินโฟเทนเมนท์ และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ได้เป็นอย่างดี ผลลัพธ์ที่ได้ คือ ประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้นในแง่ของ Wellness ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ระบบอินโฟเทนเมนท์ และการเชื่อมต่อภายในห้องโดยสาร
นับเป็นครั้งแรกสำหรับ Flying Spur ที่มาพร้อมกับตัวเลือกในการติดตั้ง Wellness Seating Specification สำหรับเบาะโดยสารทั้ง 4 ที่นั่ง ซึ่งตัวเลือกพิเศษนี้ประกอบไปด้วยระบบปรับอุณหภูมิ และปรับท่าทางบนเบาะโดยสารแบบอัตโนมัติ โดยระบบจะตรวจวัด และรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้เหมาะสมด้วยการปรับอุณหภูมิ ระบายอากาศแบบแบ่งโซน และปรับแรงกดบนกล้ามเนื้อของผู้โดย สารอย่างนุ่มนวลเพื่อลดความเมื่อยล้าขณะเดินทาง
จอแสดงผลสภาพแวดล้อมบริเวณแผงหน้าปัดของผู้ขับขี่รองรับ และสามารถเปิดใช้งานการขับขี่ในโหมดกึ่งช่วยเหลือ โดยระบบจะแสดงให้ผู้ขับขี่เห็นว่าตัวรถตอบสนองต่อรถคันอื่นอย่างไร โดยการที่รถยนต์สามารถวิเคราะห์สภาพแวดล้อมโดยรอบทำให้ผู้ขับขี่สามารถใช้ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ ซึ่งเป็นระบบจอดรถยนต์แบบอัตโนมัติรุ่นล่าสุด พร้อมระบบควบคุมความเร็วได้
Flying Spur Speed ใหม่ยังมาพร้อมกับการยกระดับ Wellness และความสะดวกสบายของผู้ขับขี่ และผู้โดยสารด้วยระบบปรับอากาศที่มาพร้อมกับเครื่องฟอกอากาศไอออนไนเซอร์ ตัวกรองอนุภาคใหม่ และหน้าจอแสดงผลคุณภาพอากาศภายนอก และภายในห้องโดยสาร ซึ่งระบบเหล่านี้ยังช่วยปรับให้ระบบทำงานประสานกับระบบนำทางด้วยดาวเทียมของรถ ทำให้ทราบว่าในทันทีว่าเมื่อใดจึงจำเป็นต้องปรับคุณภาพอากาศภายในห้องโดยสาร (เช่น การหมุนเวียนอากาศภายในห้องโดยสารเมื่ออยู่ในอุโมงค์)
Riddara เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ตุลาคมนี้
Riddara (ริดดารา) แบรนด์รถกระบะพลังงานไฟฟ้าในเครือ Geely Holding Group เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยตุลาคมนี้ ชูจุดเด่นของการเป็นรถกระบะที่ให้ความสำคัญกับเทคโน โลยีเพื่อเชื่อมต่อระหว่างผู้คน ยานพาหนะ และการใช้ชีวิต ที่พร้อมมอบประสบการณ์การใช้งานรถกระบะรูปแบบใหม่และสร้างไลฟ์ที่แตกต่าง เจาะกลุ่มผู้ที่รักการเดินทางและชื่นชอบการทำกิจกรรม Outdoor รวมทั้งมองหาความล้ำสมัยของนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
Riddara รถกระบะไฟฟ้ายอดขายอันดับ 1 ในจีน
Riddara หรือในประเทศจีน คือ แบรนด์ Radar (เหลยต๋า) เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2022 โดยเป็นแบรนด์ในเครือ Geely Holding Group ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมยานยนต์ที่ได้รับความไว้วางใจและยอมรับในระดับสากลโดยได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในแบรนด์ชั้นนำของโลก Fortune Global 500 ติดต่อกันมานานกว่า 12 ปี โดยปัจจุบัน Geely Holding Group บริหารแบรนด์รถยนต์ชั้นนำหลากหลายแบรนด์ครอบคลุมหลายเซกเมนท์ อาทิ Zeekr (ซีเคอร์), LYNK&CO, Volvo (โวลโว), Polestar (โพล์สตาร์) รวมไปถึง Lotus (โลทัส)
ในปี 2023 ที่ผ่านมา Riddara ครองตำแหน่ง China‘s No.1 EV-Pickup รถกระบะไฟฟ้ายอดขายอันดับ 1 ในประเทศจีนด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดกลุ่มรถกระบะไฟฟ้าในจีนมากกว่า 61.5 % โดยปัจจุบัน Riddara มีรถกระบะพลังงานไฟฟ้าที่ทำตลาดรวม 2 รุ่นได้แก่ Riddara RD6 (ริดดารา อาร์ดี 6) และ Riddara Horozon (ริดดารา ฮอไรซัน) และมีแผนเปิดตัวรถกระบะพลังงานไฟฟ้าที่มาพร้อมนวัตกรรม และเทคโนโลยีที่ทันสมัยออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง พร้อมแผนการขยายธุรกิจในดับสากลที่ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วโลก
Riddara ตั้งเป้าประเทศไทยเป็นศูนย์กลางตลาดรถกระบะพลังงานไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน
ในประเทศไทย Riddara จะดำเนินงานภายใต้การกำกับดูแลของ บริษัท ริดดารา ออโต้โมบาย (ประเทศไทย) จำกัด (Riddara Automobile (Thailand) Company Limited) ทั้งนี้ Riddara ตระหนักดีว่าประเทศไทยถือเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมยานยนต์ภูมิภาคอาเซียนที่มีศักยภาพสูง โดย Riddara พร้อมสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นผ่านการแนะนำผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ ที่มาพร้อมนวัตกรรม และเทคโนโลยีที่ทันสมัยและให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้าคนไทยเป็นหลัก รวมไปถึงการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในทุกภาคส่วนเพื่อมอบประโยชน์สูงสุดให้แก่ลูกค้า และสร้างการเติบโตให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยเพื่อก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางตลาดรถกระบะพลังงานไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน
Riddara นิยามใหม่ของรถกระบะ ตอบโจทย์คนรักการเดินทาง และชื่นชอบการทำกิจกรรม Outdoor
Riddara มีแผนเปิดตัวรถกระบะพลังงานไฟฟ้ารุ่นล่าสุดของบริษัทฯ ในประเทศไทยในเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นบนพแลทฟอร์ม Multiplex Attached Platform (M.A.P) ซึ่งเป็นพแลทฟอร์มที่พัฒนาขึ้นเฉพาะสำหรับกระบะพลังงานไฟฟ้าโดยอาศัยพื้นฐานของพแลทฟอร์ม Sustainable Experience Architecture (SEA) อันล้ำสมัยของ Geely จึงทำให้รถกระบะพลังงานไฟฟ้าจาก Riddara มีความโดดเด่นทั้งในด้านของการออกแบบ สมรรถนะและความอัจฉริยะในแบบฉบับของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ด้วยโครงสร้างตัวถังขนาดใหญ่และมีปลอดภัยสูง Riddara ยังมอบพื้นที่ภาย ในห้องโดยสารที่กว้างขวางนั่งสบาย และติดตั้งระบบระบบความปลอดภัย และระบบช่วยในการขับขี่ ADAS ที่ครบครัน พร้อมฟังค์ชันการใช้งานที่รองรับทั้งการเดินทาง การบรรทุก และการทำกิจ กรรมแบบ Outdoor ยิ่งไปกว่านั้นยังมีค่าบำรุงรักษา และค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่น้อยกว่ารถยนต์กระบะสันดาปทั่วไป
การแนะนำรถกระบะพลังงานไฟฟ้า Riddara สู่ตลาดประเทศไทย จะเป็นอีกทางเลือกให้แก่ผู้ที่กำลังมองหายานยนต์พลังงานไฟฟ้า และชื่นชอบความอเนกประสงค์ของรถกระบะที่สามารถรองรับการใช้งานที่หลากหลาย และไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างได้อย่างลงตัว โดยนอกเหนือจากการแนะนำรถกระบะพลังงานไฟฟ้าที่มาพร้อมนวัตกรรม และเทคโลยีที่ทันสมัยแล้ว Riddara ยังให้ความสำคัญกับการบริการหลังการขายโดยกำลังเดินหน้าขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายให้ครอบคลุมทั่วประเทศเพื่อให้คนไทยสามารถเป็นเจ้าของนวัตกรรมจาก Riddara และเข้าถึงการบริการของบริษัทฯ ได้อย่างสะดวกสบายที่สุด
BMW Motorrad เปิดตัว BMW R 1250 GS Adventure
BMW Motorrad ประเทศไทย เผยโฉม BMW R 1250 GS Adventure (Ultimate Edition) (บีเอมดับเบิลยู อาร์ 1250 จีเอส แอดเวนเจอร์ (อัลทิเมท เอดิชัน) สุดยอดมอเตอร์ไซค์แอดเวนเจอร์ โดดเด่นด้วยออพชัน และอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษมากมาย สะดุดตายิ่งขึ้นด้วยตราสัญลักษณ์ Ultimate Edition บริเวณฝาครอบกระจกมองหลัง บนแฮนด์จับทั้ง 2 ข้าง และบนกล่องสัมภาระอลูมิเนียม ผสานความตื่นเต้นเร้าใจในการผจญภัยเข้ากับความสะดวกสบายในการเดินทางอย่างลงตัว พร้อมบุกตะลุยไปได้ในทุกสภาพเส้นทาง
BMW R 1250 GS Adventure (Ultimate Edition) สืบทอดเอกลักษณ์ของ GS ที่เป็นมอเตอร์ไซค์คู่ใจพร้อมลุยทั้งทางออฟโรด และบนถนน ทรงพลังด้วยเครื่องยนต์สองลูกสูบ 4 จังหวะที่ระบายความร้อนด้วยอากาศ/ของเหลว ขนาด 1,254 ซีซี เติมเต็มด้วยระบบควบคุมแกนลูกเบี้ยวแบบแปรผันด้วยเทคโนโลยี BMW Shift Cam ส่งกำลังสูงสุด 100 กิโลวัต/136 แรงม้า ที่ 7,750 รตน. และแรงบิดสูงสุด 143 นิวทันเมตร ที่ 6,250 รตน. ปลดลอคอีกขั้นของขุมพลังแห่งการเดินทาง ส่วนระบบหัวฉีดคู่และระบบไอเสียใหม่ผ่านการรับรองมาตรฐานยูโร 5 ที่เน้นการประหยัดเชื้อเพลิง และลดการปล่อยมลพิษสู่อากาศ
BMW R 1250 GS Adventure (Ultimate Edition) มาพร้อมกับโหมดการขับขี่มาตรฐาน 3 แบบ ได้แก่ Eco, Rain และ Road ขณะที่ Riding Modes Pro นำเสนอโหมดการขับขี่เพิ่มเติม ได้แก่ Dynamic, Dynamic Pro, Enduro และ Enduro Pro รองรับสภาพการขับขี่ที่หลากหลายยิ่งขึ้น พร้อมยกสมรรถนะการขับขี่ และความปลอดภัยสู่ขั้นสูงสุดด้วยระบบช่วงล่างที่ควบคุมด้วยไฟฟ้า (Dynamic ESA) ระบบ Hill Start Control ที่ทำให้ผู้ขับขี่ออกตัวในทางลาดชันได้อย่างมั่นใจ ขณะที่ระบบ Dynamic Traction Control (DTC) และ ABS Pro ให้การเข้าโค้งอย่างราบรื่น ส่วนระบบ Dynamic Brake Control (DBC) ใหม่ล่าสุดช่วยเพิ่มความมั่นใจเมื่อต้องเบรคในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยการตัดกำลังของเครื่องยนต์ ทำให้สามารถควบคุมรถได้อย่างแม่นยำ ผ่อนคลาย และมั่นใจได้ในความปลอดภัยบนทุกเส้นทางผจญภัยที่รออยู่ข้างหน้า
ก้าวล้ำยิ่งขึ้นกับระบบการเชื่อมต่อ และควบคุมการทำงานของรถผ่านจอแสดงผลสี TFT ขนาด 6.5 นิ้ว และระบบ BMW Motorrad Multi-Controller ให้ผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงทุกฟังค์ชันของรถ ตลอดจนการเชื่อมต่อต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว และง่ายดาย และยังมีช่องเสียบ USB 2 แบบสำหรับใช้ชาร์จสมาร์ทโฟนได้อีกด้วย
มอเตอร์ไซค์รุ่นนี้ยังคงสืบทอดเอกลักษณ์ความปราดเปรียว และทรงพลังของ GS ด้วยไฟหน้าแบบ LED ที่ส่องสว่างแม้ในช่วงกลางวัน สร้างความโดดเด่นสะดุดตา และยังปรับเปลี่ยนกลมกลืนไปกับทางโค้งตามตำแหน่งความลาดเอียงของตัวรถ มาพร้อมไฟ Cruising ซึ่งจะเปิดไฟเลี้ยวด้านหน้าทั้งสองแบบหรี่ไว้ตลอดเวลา เพิ่มความโดดเด่นสะดุดตาบนท้องถนน ขณะที่ไฟท้าย LED แบบ Multifunctional สามารถสลับระหว่างไฟกระพริบสีเหลือง ไฟเบร8สีแดง และไฟท้ายส่องสว่างได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมด้วยระบบควบคุมความเร็วคงที่ (Cruise Control) และระบบ Keyless Ride
ตัวรถมาในสีดำ Black Storm Metallic พร้อมล้อซี่ลวดสีดำ สะท้อนความแข็งแกร่งทนทานสไตล์ออฟโรด เสริมความหรูหราด้วยชุดแต่ง Option 719 แพคเกจ Shadow ที่ประกอบด้วยชิ้นส่วนอลูมิเนียมขึ้นรูปอย่างประณีตในโทนสีดำ/เงิน ไม่ว่าจะเป็นฝาครอบเครื่องยนต์ ฝาครอบกระจกมองหลัง ที่พักเท้า แป้นเกียร์ และเบร8เท้า มือจับ ฝาถังน้ำมัน อีกทั้งยังเพิ่มความดุดันด้วยกระจกบังลมรมดำ ฝาครอบเครื่องยนต์สีดำ กล่องอลูมิเนียมท้าย และข้างสีดำ ป้าย Ultimate Edition บนมือจับ บนกล่องสัมภาระท้าย และกล่องทั้ง 2 ข้าง รวมถึงปลอกกุญแจพิเศษสำหรับรุ่น Ultimate Edition
BMW R 1250 GS Adventure (Ultimate Edition) พร้อมให้เหล่านักบิดจับจองเป็นเจ้าของที่ราคา 1,399,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยจะวางจำหน่ายในประเทศไทยจำนวนจำกัดเพียง 24 คันเท่านั้น และยังพิเศษกับความเฉพาะตัวที่เป็นเอกลักษณ์ให้แก่รถแต่ละคันด้วยหมายเลขประจำตัวรถตั้งแต่หมายเลข 1-24 ยิ่งไปกว่านั้น ยังคุ้มค่าเหนือระดับด้วยอุปกรณ์ตกแต่งสุดพิเศษ มูลค่ากว่า 400,000 บาท มอบความอุ่นใจด้วยการรับประกันตัวรถนาน 5 ปี บริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชม. และการรับประกันอุปกรณ์ตกแต่งนาน 2 ปี
*ภาพเพื่อการประชาสัมพันธ์เท่านั้น สเปคที่ขายในประเทศไทยมาพร้อมล้อซี่ลวดสีดำ