เรียกได้ว่าแรงไม่มีแผ่วเลยทีเดียวสำหรับกระแสความนิยมรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ด้วยสมรรถนะทรงพลังและดีไซจ์นที่สวยงาม ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย พร้อมเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แถมยังได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ทำให้ค่ายรถ 2 ล้อมีการพัฒนารถไฟฟ้า 100 % อย่างต่อเนื่อง รวมถึง Scomadi (สโกมาดิ) ผู้ผลิตรถสกูเตอร์สัญชาติอังกฤษ ที่มีการเปิดตัวรถสกูเตอร์ไฟฟ้ารุ่นแรกอย่าง “Turismo Electronica (ตูริสโม อีเลคทรอนิคา)” และได้สร้างความตื่นเต้นให้เหล่าคนรักสกูเตอร์คลาสสิค และสำหรับใครที่กำลังสนใจรถรุ่นนี้อยู่ Scomadi ขอแนะนำ 3 ไฮไลท์สำคัญ ที่จะทำให้คุณหลงรัก และอยากมีสองล้อไฟฟ้าตัวท็อพจากค่ายเสือดำมาไว้ในครอบครอง
1. โดดเด่นไม่เหมือนใครด้วยดีเอนเอ โมเดิร์น คลาสสิค ขนานแท้จากอังกฤษ
รถสกูเตอร์คลาสสิคไม่ได้เป็นเพียงพาหนะเท่านั้น แต่ยังสะท้อนตัวตน และไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่ได้ด้วย ซึ่ง Turismo Electronica เป็นรถสกูเตอร์ไฟฟ้าสไตล์บริทิช โมเดิร์น คลาสสิค รุ่นแรก และรุ่นเดียวในประเทศไทย ที่มาในรูปลักษณ์ดั้งเดิมยุค 60 ด้วยเส้นสายโค้งมนหรูหรา ไฟหน้าทรงกลม และเบาะหนังกว้าง พร้อม 3 ตัวเลือกสี ได้แก่ สีเขียวมรกต Emerald Green สีเทาประกายมุก Coal Pearl และสีดำเงา Panther Black จึงขึ้นแท่นเป็นรถคู่ใจของไรเดอร์ หรือนักสะสมผู้หลงใหลในกลิ่นอายรถวินเทจ แต่ต้องการระบบขับเคลื่อนรถไฟฟ้าที่ทันสมัยไปในตัว
2. ขุมพลังไฟฟ้า ประหยัดยิ่งกว่าเดิม
สามารถใช้งานในประเทศไทยได้สะดวก ด้วยแบทเตอรีความจุ 72V 40Ah กำลังมอเตอร์ 3,000 วัตต์ ให้ระยะการขับขี่สูงสุด 101 กม. เพียงพอต่อการใช้งานตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ ยังเป็นรถสกูเตอร์ไฟฟ้า 100 % หมดกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมัน โดยสามารถชาร์จแบทเตอรีได้ทั้งที่สถานีชาร์จรถไฟฟ้า หรือเสียบพปลั๊กชาร์จจากไฟฟ้าที่บ้านได้โดยตรง ในระยะเวลาการชาร์จเต็มเพียง 3-4 ชม.
3. การขับขี่เร้าใจ สะดวกสบายด้วยเกียร์ถอยหลัง รองรับทุกไลฟ์สไตล์
อีกฟีเจอร์สำคัญของ Turismo Electronica คือ เกียร์ถอยหลัง ทำให้การถอยรถสะดวกสบายขึ้น พร้อมให้ประสบการณ์ขับขี่ที่เร้าใจด้วยระยะเวลาตอบสนองรวดเร็ว ความหน่วงต่ำ ตามแบบฉบับรถไฟ ฟ้า แต่ยังให้การควบคุมรถได้ง่าย ด้วยนำหนักรถ 137 กก. ความสูงเบาะที่นั่ง 800 มม. รวมถึงเบาะที่นั่งและที่วางเท้ากว้างช่วยรองรับสรีระนักขับขี่ทุกเพศ เหมาะกับไรเดอร์มือใหม่ที่ทดลองใช้รถสกูเตอร์ไฟฟ้าเป็นครั้งแรก
นอกจากนี้ ยังจัดเต็มกับการขับขี่ 3 รูปแบบ ทั้ง “โหมด Normal” สำหรับการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน “โหมด Sports” ปลดลอคความเร็ว และอัตราเร่งสูงสุด เติมสีสันให้การผจญภัยทุกโรดทริพ รวมถึง “โหมด Eco” ช่วยประหยัดการใช้งานแบทเตอรีสำหรับวันสบายๆ และสะดวกยิ่งกว่าด้วยหน้าจอ TFT ขนาด 5 นิ้ว รองรับการเปิดแผนที่ และเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือผ่านแอพพลิเคชัน Carbit Ride
บทความแนะนำ