ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
Riddara เปิดตัว RD6
Riddara (ริดดารา) เผยโฉม Riddara RD6 (ริดดารา อาร์ดี 6) รถกระบะไฟฟ้า 100 % คันแรกของเมืองไทย ชูนวัตกรรม M.A.P (Multiplex Attached Platform) ผสานศักยภาพรถกระบะ และรถ ยนต์พลังงานไฟฟ้า ดีไซจ์นโดดเด่นพรีเมียม สะดวกสบายระดับ SUV พร้อมนำเสนอนิยามใหม่ของรถกระบะที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ครอบครัวรุ่นใหม่ ขับเคลื่อนอยู่เคียงข้างทุกความสำเร็จ และลุยไปกับทุกกิจกรรมของครอบครัว เปิดราคาขายเริ่มต้น 899,000 บาท
ดร. หลิง ซื่อ เฉวียน ประธานกรรมการบริหาร Riddara New Energy Automobile เปิดเผยว่า Riddara เป็นแบรนด์รถกระบะพลังงานไฟฟ้าในเครือ Geely Holding Group ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทรถ ยนต์ชั้นนำระดับโลกที่มุ่งมั่นในการพัฒนายานยนต์พลังงานใหม่ โดย Riddara ได้นำความโดดเด่นทั้งด้านเทคโนโลยี การผลิต รวมไปถึงการควบคุมคุณภาพของกลุ่ม Geely Holding มาเป็นพื้นฐานในการสร้างสรรค์กระบะพลังงานไฟฟ้าที่จะมาสร้างไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ด้วยการผสานศักยภาพของรถกระบะที่สามารถรองรับการใช้งานหลากหลายรูปแบบในสภาพถนนที่มีความแตกต่างไปพร้อมกับการขับขี่ที่นุ่มนวล และสะดวกสบายแบบรถยนต์ SUV เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของกลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่ และมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าตามแบบฉบับของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่มาพร้อมนวัต กรรมอันทันสมัยเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งนี้หลังก้าวขึ้นเป็นอันดับ 1 ของตลาดรถกระบะไฟฟ้าในประเทศจีนด้วยส่วนแบ่งตลาดกว่า 60 % ในปี 2023 ที่ผ่านมา Riddara ก็พร้อมที่จะขยายสู่ตลาดโลกเพื่อส่งมอบประสบการณ์ใหม่ สร้างไลฟ์สไตล์เอาท์ดอร์ที่แตกต่างให้แก่ลูกค้าทั่วทุกมุมโลก
ในปี 2023 ที่ผ่านมา Riddara ครองตำแหน่ง China‘s No.1 EV-Pick up รถกระบะไฟฟ้ายอดขายอันดับ 1 ในประเทศจีนด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดกลุ่มรถกระบะในจีนมากกว่า 60 % และมีแผนเปิดตัวรถกระบะพลังงานไฟฟ้าที่มาพร้อมนวัตกรรม และเทคโนโลยีที่ทันสมัยออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง พร้อมแผนการขยายธุรกิจในระดับสากลที่ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วโลก โดยปัจจุบัน Riddara เปิดตัวรถกระบะพลังงานไฟฟ้าแล้วในยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง เอเชียกลาง อเมริกากลาง และอเมริกาใต้
ในประเทศไทย Riddara จะดำเนินงานภายใต้การกำกับดูแลของ บริษัท ริดดารา ออโต้โมบาย (ประเทศไทย) จำกัด (Riddara Aumobile (Thailand) Company Limited โดยพร้อมสนับสนุนอุตสา หกรรมยานยนต์ของไทยให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นผ่านการแนะนำผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ ที่มาพร้อมนวัตกรรม และเทคโนโลยีที่ทันสมัยและให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้าคนไทยเป็นหลักรวมไปถึงการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในทุกภาคส่วนเพื่อมอบประโยชน์สูงสุดให้แก่ลูกค้า และสร้างการเติบโตให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยเพื่อก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางตลาดรถกระบะพลังงานไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน
Riddara RD6 : The First EV Pick up in Thailand
Riddara RD6 นับเป็น “The First EV Pick up in Thailand” กระบะไฟฟ้า 100 % ที่เปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบ และพร้อมให้เป็นเจ้าของเป็นแบรนด์แรกในประเทศไทย โดดเด่นด้วยนวัตกรรม M.A.P (Multiplex Attached Platform) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีพแลทฟอร์มรถยนต์ที่พัฒนาเอาจุดเด่นของรถกระบะ และรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามาผสมผสานกัน ทำให้ Riddara RD6 มีความโดดเด่นทั้งในด้านของการออกแบบ สมรรถนะ และความอัจฉริยะในแบบฉบับของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ด้วยโครงสร้างตัวถังขนาดใหญ่ และมีความปลอดภัยสูง อีกทั้งยังมอบพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางนั่งสบาย และติดตั้งระบบความปลอดภัย และระบบช่วยในการขับขี่ที่ครบครัน พร้อมฟังค์ชันการใช้งานที่รองรับทั้งการเดินทาง และการทำกิจกรรมแบบเอาท์ดอร์ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีค่าบำรุงรักษา และค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่น้อยกว่ารถกระบะสันดาปทั่วไป
Easy Drive to Work เปลี่ยนนิยามของกระบะให้เป็นได้มากกว่า
Riddara RD6 ให้สมรรถนะที่โดดเด่นด้วยอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 4.5 วินาที และแรงบิดสูงสุด 595 นิวทันเมตร มาพร้อมช่องจ่ายกระแสไฟตามมาตรฐานยุโรปขนาด 6 กิโลวัตต์ ที่กระบะท้ายพร้อมระบบป้องกันการจ่ายไฟฟ้าอัจฉริยะสามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าได้ทั้งในขณะจอดรถ ลอครถ ชาร์จไฟ หรือแม้กระทั่งขณะขับรถ นอกจากนี้ยังมาพร้อมการเชื่อมต่อ และควบคุมรถผ่านแอพพลิเคชันบนมือถือทำให้สามารถควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ภายในรถจากระยะไกลผ่านสมาร์ทโฟน
Luxurious Comfort & Intelligent Cockpit for Family มอบความสะดวกสบาย และห้องโดยสารที่มาพร้อมนวัตกรรมทันสมัย
Riddara RD6 มอบความความสะดวกสบายระดับ SUV ด้วยห้องโดยสารระดับพรีเมียมที่ออกแบบมาสำหรับทุกคนในครอบครัว ให้ห้องโดยสารที่เงียบสงบด้วยเทคโนโลยี Pure Electric NVH Silent พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ถึง 14.6 นิ้วรองรับการเชื่อมต่อ Apple Car Play และ Carbit Link พร้อมที่ชาร์จสมาร์ทโฟนไร้สายขนาด 50 วัตต์ มีระบบปรับอากาศแบบ Dual Zone และช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ที่มาพร้อมระบบกรองอากาศ CN95 Filter PM2.5 เบาะหนังคุณภาพสูงดีไซจ์นเอกลักษณ์ ปรับด้วยไฟฟ้า 6 ทิศทาง พร้อมระบบระบายอากาศที่เบาะโดยสาร เบาะหน้าเอนได้แบบ 180 องศา ปรับแต่งเพิ่มพื้นที่การใช้งานที่หลากหลายเพื่อทุกคนในครอบครัว พวงมาลัยมัลทิฟังค์ชัน พร้อมระบบสั่งการด้วยเสียง และสิ่งอำนวยความสะดวกอีกครบครันพร้อมมอบความสะดวกสบายในทุกเส้นทาง
Enjoy Outdoor Lifestile พร้อมตอบทุกโจทย์กิจกรรมของครอบครัว
Riddara RD6 ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อมาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 แบบอัตโนมัติ โดยมีโหมดการขับขี่ 7 โหมด สำหรับสภาพถนนที่แตกต่างกัน (Sand/Mud/Off-Road/Wading/Economy/Comfort/ Sport) อีกทั้งยังโดดเด่นด้วยความสามารถในการลุยน้ำลึกได้สูงสุด 815 มม. มีพื้นที่บรรทุกกระบะท้ายขนาด 1,200 ลิตร ช่องเก็บของใต้ฝากระโปรงหน้าขนาด 70 ลิตร และพื้นที่จัดเก็บเพิ่มเติมใต้เบาะผู้โดยสารด้านหลังอีก 48 ลิตร อีกทั้งยังมีความสามารถในการลากจูงได้สูงสุดถึง 3,000 กก. พร้อมบันไดท้ายซ่อนภายในประตูท้ายกระบะ ให้การขึ้นลงท้ายกระบะเป็นไปด้วยความสะดวกสบาย
Safety is The Foundation of Every Adventure มั่นใจในทุกเส้นทางปกป้องทุกคนในครอบครัว
Riddara RD6 มาพร้อมระบบความปลอดภัยรอบคัน ซึ่งรวมถึงระบบช่วยในการขับขี่ ADAS (Advanced Driving Assistance Systems) สูงสุด 14 ระบบ และกล้องมองภาพรอบทิศทาง 540 องศา รวมไปถึงถุงลมนิรภัย 6 จุดช่วยปกป้องทั่วทั้งห้องโดยสารยิ่งไปกว่านั้นตัวรถสร้างขึ้นจากเหล็กกล้าที่มีความแข็งแรงสูงซึ่งคิดเป็นกว่า 70 % ของโครงสร้างรถ
Riddara RD6 มีให้เลือกทั้งรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ และขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยมี 4 รุ่นย่อยด้วยราคาจำหน่ายดังนี้
• Riddara RD6 2WD 63kWh ราคา 899,000 บาท
• Riddara RD6 2WD 73kWh ราคา 999,000 บาท
• Riddara RD6 4WD 73kWh ราคา 1,149,000 บาท
• Riddara RD6 4WD 86kWh ราคา 1,299,000 บาท
..................................................................................................................................................
Ford ปรับโฉม Ranger XLS
Ford (ฟอร์ด) ลุยกระตุ้นตลาดกระบะ 4 ประตูยกสูงด้วยการปรับโฉมรุ่นย่อยหลัก Ford Ranger XLS (ฟอร์ด เรนเจอร์ เอกซ์แอลเอส) ใหม่ รุ่นปี 2024 กระบะยกสูงเกียร์อัตโนมัติรุ่นเริ่มต้นในตระกูล Ford Ranger (ฟอร์ด เรนเจอร์) ด้วยการปรับดีไซจ์นภายนอกให้ดูดุดันยิ่งขึ้น เพิ่มความหรูหรา สะดวกสบายภายในห้องโดยสาร สร้างความคุ้มค่าสูงสุดสำหรับลูกค้าที่มองหากระบะอเนกประสงค์ที่ตอบโจทย์การใช้งานรอบด้าน ทั้งใช้เพื่อการทำงาน เป็นรถสำหรับครอบครัว และการเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อน ด้วยราคาพิเศษช่วงเปิดตัวสำหรับรุ่น 4 ประตูเพียง 799,000 บาท จากราคาเต็ม 919,000 บาท ตั้งแต่วันนี้-31 ธันวาคม 2567
การออกแบบภายนอก
Ford Ranger XLS ใหม่ รุ่นปี 2024 ให้ความรู้สึกสปอร์ทยิ่งขึ้นด้วยการตกแต่งสีดำรอบคัน ตั้งแต่กระจังหน้า กระจกมองข้าง ช่องระบายอากาศด้านข้าง กรอบไฟตัดหมอก มือจับประตู และกันชนท้าย รวมถึงล้ออัลลอยสีดำดีไซจ์นใหม่ขนาด 17 นิ้ว และยังคงเอกลักษณ์อันโดดเด่นของ Ford Ranger ด้วยไฟหน้าแบบแอลอีดี มัลทิรีเฟลคเตอร์ พร้อมไฟวิ่งกลางวันแบบแอลอีดี และบันไดเหยียบข้างกระบะท้าย ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้การขนของจากท้ายกระบะ
เสริมความหรูหราภายในห้องโดยสาร
เป็นครั้งแรกที่ Ford มอบความหรูหรา และความคุ้มค่าสูงสุดให้แก่รถกระบะรุ่นเริ่มต้น กับการตกแต่งภายในด้วยเบาะหนัง และแผงคอนโซลด้านหน้าที่ปรับดีไซจ์นให้เข้ากับภายนอกที่ดูสปอร์ทมากขึ้น มาพร้อมหน้าจอขนาด 10.1 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple Car Play และ Android Auto แบบไร้สาย พร้อมติดตั้งโมเดมสำหรับเชื่อมต่อกับแอพพลิเคชัน Ford Pass ให้ลูกค้าเชื่อมต่อการสื่อ สารกับรถได้ตลอดเวลา ช่วยยกระดับประสบการณ์การเป็นเจ้าของรถอย่างเหนือระดับด้วยฟีเจอร์ที่น่าสนใจ เช่น การสตาร์ทรถจากระยะไกล ตรวจเชคข้อมูลรถเบื้องต้น รวมถึงการลอค และปลดลอคจากระยะไกลผ่านสมาร์ทโฟน พร้อมพวงมาลัยไฟฟ้าที่ช่วยผ่อนแรงในการขับขี่ ปรับน้ำหนักให้เบาที่ความเร็วต่ำ และเพิ่มน้ำหนักเมื่อความเร็วสูง มอบความสะดวกสบาย และความมั่นใจในการขับขี่ทั้งทางใกล้ และไกล
ขุมพลัง และเทคโนโลยี
Ford Ranger XLS ใหม่ รุ่นปี 2024 แบบ 4 ประตู ติดตั้งขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบเดี่ยว พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 405 นิวทันเมตร อัดแน่นด้วยฟีเจอร์ และอุปกรณ์เทคโนโลยีครบครัน เพื่อตอบโจทย์การเป็นรถกระบะใช้งานแบบอเนกประสงค์ มาพร้อมความแข็งแกร่งของตัวถัง และช่วงล่าง และระบบความปลอดภัยมากมาย อาทิ ถุงลมนิรภัย 6 จุด ได้แก่ คู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย กล้องมองหลังขณะถอยจอด ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน รวมถึงระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี
รัฐการ จูตะเสน กรรมการผู้จัดการ Ford ประเทศไทย กล่าวว่า Ford เชื่อมั่นว่าการปรับโฉม Ford Ranger XLS ใหม่ ให้ดูสปอร์ท และหรูหราขึ้น จะทำให้รถ Ford Ranger เป็นตัวเลือกที่โดนใจมากขึ้นสำหรับลูกค้าที่มองหาความคุ้มค่า โดยเฉพาะการมอบราคาพิเศษช่วงเปิดตัวที่เร้าใจ นับเป็นการต่อยอดความสำเร็จในตลาดกระบะยกสูงที่ Ford เชี่ยวชาญอยู่แล้ว และได้รับความไว้วางใจจากลูก ค้าทั้งด้านสมรรถนะ ความแข็งแกร่ง ความอเนกประสงค์ และความปลอดภัย
Ford Ranger XLS ใหม่ รุ่นปี 2024 แบบ 4 ประตู มีให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีเงิน Aluminium Metallic สีขาว Arctic White สีเทา Meteor Grey และสีดำ Absolute Black พร้อมการรับประกันเครื่อง ยนต์ และระบบส่งกำลังนาน 5 ปี หรือ 150,000 กม. และฟรีค่าแรงเชคระยะ บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชม. นาน 5 ปี พร้อมให้คุณเป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้ ที่โชว์รูม Ford ทั่วประเทศ
.................................................................................................................................................
Toyota แจ้งยอดขายตลาดรถรวม กย. ลดลง 37.1 %
รายงานสถิติการขายรถยนต์ประจำเดือนกันยายน 2567 ยอดขายตลาดรวม 39,048 คัน ลดลง 37.1 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์นั่งมีปริมาณการขาย 15,668 คัน ลดลง 38.4 % ในขณะที่รถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีปริมาณการขาย 23,380 คัน ลดลง 36.2 % และรถกระบะขนาด 1 ตัน ยอดขายทั้งหมด 13,972 คัน ลดลง 40.1 %
ศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดรถยนต์เดือนกันยายน 2567 มียอดขาย 39,048 คัน ลดลง 37.1 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา กลุ่มตลาดรถยนต์นั่งเติบโตลดลงที่ 38.4 % ด้วยยอดขาย 15,668 คัน ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ลดลงเช่นกันที่ 36.2 % ด้วยยอดขาย 23,380 คัน และตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน ยอดขาย 13,972 คัน ลดลง 40.1 % ในส่วนของตลาด XEV มียอดขายทั้งหมด 13,102 คัน คิดเป็นสัดส่วน 34 % ของตลาดรถยนต์ทั้งหมด ลดลง 21 % เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ยอดขายรถยนต์ HEV มีอัตราการเติบโตลดลงเช่นกันที่ 11 % แต่ยังคงสัดส่วนการขายสูงที่สุดในตลาดรถ XEV ด้วยยอดขาย 7,355 คัน คิดเป็น 56 % ของตลาด XEV ทั้งหมด ในส่วนของรถยนต์ BEV ทำยอดขายได้ 4,982 คัน ลดลง 32 % เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ตลาดรถยนต์เดือนตุลาคม มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากเดือนกันยายน แต่ยังคงเติบโตลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และผลกระทบจากภา วะอุทกภัย อย่างไรก็ตาม การประกาศลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลาง รวมถึงการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ และโปรโมชันการขายที่น่าสนใจจากหลากหลายค่ายรถยนต์ อาจมีส่วนช่วยกระตุ้นการตัด สินใจซื้อของผู้บริโภค
ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนกันยายน 2567
ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 39,048 คัน ลดลง 37.1 %
อันดับที่ 1 Toyota 15,311 คัน ลดลง 27.6 % ส่วนแบ่งตลาด 39.2 %
อันดับที่ 2 Isuzu 6,080 คัน ลดลง 44.2 % ส่วนแบ่งตลาด 15.6 %
อันดับที่ 3 Honda 4,365 คัน ลดลง 52.1 % ส่วนแบ่งตลาด 11.2 %
ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 15,668 คัน ลดลง 38.4 %
อันดับที่ 1 Toyota 4,692 คัน ลดลง 52.7 % ส่วนแบ่งตลาด 29.9 %
อันดับที่ 2 Honda 3,426 คัน ลดลง 18.7 % ส่วนแบ่งตลาด 21.9 %
อันดับที่ 3 Mitsubishi 1,395 คัน เพิ่มขึ้น 28.8 % ส่วนแบ่งตลาด 8.9 %
ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 23,380 คัน ลดลง 36.2 %
อันดับที่ 1 Toyota 10,619 คัน ลดลง 5.3 % ส่วนแบ่งตลาด 45.4 %
อันดับที่ 2 Isuzu 6,080 คัน ลดลง 44.2 % ส่วนแบ่งตลาด 26 %
อันดับที่ 3 Ford 1,374 คัน ลดลง 53.4 % ส่วนแบ่งตลาด 5.9 %
ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และรถกระบะดัดแปลง PPV*)
ปริมาณการขาย 13,972 คัน ลดลง 40.1 %
อันดับที่ 1 Toyota 6,488 คัน ลดลง 32 % ส่วนแบ่งตลาด 46.4 %
อันดับที่ 2 Isuzu 5,101 คัน ลดลง 45.1 % ส่วนแบ่งตลาด 36.5 %
อันดับที่ 3 Ford 1,374 คัน ลดลง 53.4 % ส่วนแบ่งตลาด 9.8 %
*ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 2,463 คัน
Isuzu 949 คัน-Toyota 798 คัน-Ford 574 คัน-Mitsubishi 97 คัน-Nissan 45 คัน
ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 11,509 คัน ลดลง 39.8 %
อันดับที่ 1 Toyota 5,690 คัน ลดลง 28.3 % ส่วนแบ่งตลาด 49.4 %
อันดับที่ 2 Isuzu 4,152 คัน ลดลง 47.8 % ส่วนแบ่งตลาด 36.1 %
อันดับที่ 3 Ford 800 คัน ลดลง 60.2 % ส่วนแบ่งตลาด 7 %
สถิติการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมกราคม-กันยายน 2567
ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 438,659 คัน ลดลง 25.3 %
อันดับที่ 1 Toyota 167,218 คัน ลดลง 16.1 % ส่วนแบ่งตลาด 38.1 %
อันดับที่ 2 Isuzu 65,269 คัน ลดลง 45.7 % ส่วนแบ่งตลาด 14.9 %
อันดับที่ 3 Honda 58,311 คัน ลดลง 16.6 % ส่วนแบ่งตลาด 13.3 %
ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 169,862 คัน ลดลง 22.7 %
อันดับที่ 1 Toyota 48,823 คัน ลดลง 36.9 % ส่วนแบ่งตลาด 28.7 %
อันดับที่ 2 Honda 33,981 คัน ลดลง 22.6 % ส่วนแบ่งตลาด 20 %
อันดับที่ 3 Mitsubishi 13,740 คัน เพิ่มขึ้น 8.4 % ส่วนแบ่งตลาด 8.1 %
ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 268,797 คัน ลดลง 26.8 %
อันดับที่ 1 Toyota 118,395 คัน ลดลง 2.9 % ส่วนแบ่งตลาด 44 %
อันดับที่ 2 Isuzu 65,269 คัน ลดลง 45.7 % ส่วนแบ่งตลาด 24.3 %
อันดับที่ 3 Honda 24,330 คัน ลดลง 6.3 % ส่วนแบ่งตลาด 9.1 %
ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และรถกระบะดัดแปลง PPV*)
ปริมาณการขาย 153,504 คัน ลดลง 40 %
อันดับที่ 1 Toyota 70,632 คัน ลดลง 29.5 % ส่วนแบ่งตลาด 46 %
อันดับที่ 2 Isuzu 56,812 คัน ลดลง 47.5 % ส่วนแบ่งตลาด 37 %
อันดับที่ 3 Ford 16,104 คัน ลดลง 44 % ส่วนแบ่งตลาด 10.5 %
*ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 26,944 คัน
Toyota 9,534 คัน-Isuzu 9,196 คัน-Ford 6,138 คัน-Mitsubishi 1,753 คัน-Nissan 323 คัน
ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 126,560 คัน ลดลง 39.3 %
อันดับที่ 1 Toyota 61,098 คัน ลดลง 26.4 % ส่วนแบ่งตลาด 48.3 %
อันดับที่ 2 Isuzu 47,616 คัน ลดลง 48 % ส่วนแบ่งตลาด 37.6 %
อันดับที่ 3 Ford 9,966 คัน ลดลง 48.9 % ส่วนแบ่งตลาด 7.9 %
..................................................................................................................................................
Honda เปิดตัว All New Honda Lead125 และ New Honda Giorno+
ไทยฮอนด้าฯ ผู้ผลิต และจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ Honda (ฮอนดา) ในประเทศไทย จัดงานแฟชันโชว์ "Honda Fashion A.T. Week-The Ultimate Runway Show" เปิดตัวรถจักรยานยนต์ 2 รุ่นใหม่ พร้อม 2 พรีเซนเตอร์ ตอบโจทย์ทุกสไตล์ที่แตกต่างของคนรุ่นใหม่ นำโดย "All New Honda Lead125 (ออลล์ นิว ฮอนดา ลีด 125)" ภายใต้คอนเซพท์ "Minimal is The New Maximal มีนีมอลที่ใช่ เป็นได้มากกว่า" โดยได้นักแสดงหนุ่มสุดฮอตอย่าง "เจษ-เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์" มาเป็นพรีเซนเตอร์ ส่วนอีกหนี่งรุ่นที่กลับมาสานต่อความสำเร็จก็คือ "New Honda Giorno+ (ฮอนดา จีออร์โน พลัส) ใหม่" ที่เปิดตัว 6 สีกับ 7 สไตล์ใหม่ ภายใต้คอนเซพท์" Rise to New High พาสไตล์คุณเหนือสไตล์ใคร" ซึ่งมาพร้อมพรีเซนเตอร์ศิลปินนักแสดงผู้มากความสามารถอย่าง "เจฟ- วรกมล ซาเตอร์"
All New Honda Lead125 เปิดตัวครั้งใหม่กับดีไซจ์นใหม่รอบคัน ภายใต้คอนเซพท์ "Minimal is The New Maximal มีนีมอลที่ใช่ เป็นได้มากกว่า" ด้านหน้าเพิ่มดีไซจ์นเส้นสายโครเมียม ตัดกับฝาครอบด้านหน้าสีดำเสริมลุคสปอร์ท ยกระดับความมีนีมอลให้เท่มากขึ้น หน้าปัดเรือนไมล์ดีไซจ์นใหม่ สะดุดตาด้วยชุดไฟ LED ทั้งไฟหน้า และไฟท้ายรูปทรงเรียวเข้ากับดีไซจ์นรถได้เป็นอย่างดี พร้อมด้วยความสะดวกสบายรอบคัน ทั้งช่องชาร์จไฟสำรอง USB Type C พร้อมคอนโซลหน้าขนาดใหญ่ ถังเติมน้ำมันด้านหน้า เปิด/ปิด ได้ง่ายช่วยให้เติมน้ำมันแบบไม่ต้องลงจากรถ ช่องเก็บของใต้เบาะแบบ Maximal จุของได้เต็มที่ สามารถใส่หมวกกันนอคได้ถึง 2 ใบ และกุญแจรีโมทอัจฉริยะ พร้อมมอบสมรรถนะการขับขี่ที่นุ่นนวล และแรงได้อย่างใจด้วยเครื่องยนต์ ESP+ 125 ซีซี 4 วาล์ว
All New Honda Lead125 รุ่น Special Edition สะท้อนความสปอร์ทได้มากกว่าด้วยสีดำด้าน เพิ่มความเป็นเอกลักษณ์ด้วย Emblem สีแดง Special Edition ลงตัวทุกรายละเอียดด้วยชอคอับ และคาลิเพอร์เบรคสีแดง รวมถึงล้อสีดำด้านเสริมลุคสปอร์ตให้มากกว่าเดิม ลงตัวด้วยไฟท้าย LED ดีไซจ์นโฉบเฉี่ยวแบบมีนีมอลอย่างมีสไตล์
All New Honda Lead125 รุ่น Standard (สแตนดาร์ด) สีขาว และสีแดง พร้อมวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ในราคาแนะนำที่ 61,500 บาท และรุ่น Special Edition (สเปเชียล เอดิชัน) สีดำ ราคาแนะนำ 62,500 บาท
พิเศษไปอีกขั้นกับ All New LEAD125 Öhlins Special Edition ยกระดับความเท่ด้วยชอคอับที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี STX 46 สุดล้ำจาก Öhlins ชอคอับแบรนด์ชั้นนำระดับโลก ขับขี่มั่นใจเหนือระดับเสริมความพรีเมียมในทุกรายละเอียดด้วยสติคเกอร์ Öhlins รอบคัน โดดเด่นด้วย Emblem สีทอง และสติคเกอร์วงล้อสะท้อนความสปอร์ทล้ำเหนือใคร ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 500 คันเท่านั้น ในราคาแนะนำ 72,200 บาท พร้อมวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป
สำหรับ New Honda Giorno+ กลับมาพร้อม 6 สี 7 สไตล์ใหม่ ที่ครั้งนี้อัพลุคใหม่ให้โมเดิร์นชิคกว่าที่เคย ขนทัพสีสันใหม่ที่สายแฟชันต้องมี ภายใต้คอนเซพท์ "Rise to New High พาสไตล์คุณเหนือสไตล์ใคร" ดีไซจ์นโดดเด่นด้วยฝาครอบหน้าที่เปลี่ยนโฉมใหม่ พร้อม Emblem สีโครเมียมสะดุดตา และยังคงเทคโนโลยีล้ำสมัยขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ ESP+ 4 วาล์ว 125 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ ให้การขับขี่ที่คล่องตัว ปลอดภัยด้วยดิสก์เบรคหน้า ระบบ ABS (เฉพาะรุ่น ABS) และ Combi Brake เสริมด้วยกุญแจรีโมทอัจฉริยะ Honda Smart Key พื้นที่เก็บของขนาดใหญ่ USB Socket และจุดเติมน้ำมันด้านหน้า เพื่อความสะดวกสบายสูงสุด โดยพร้อมวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันนี้ ทั้งหมด 6 สี 7 สไตล์
รุ่น ABS มีทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีส้ม-ดำ สีเทา-ดำ สีขาว-ดำ และสีดำ ราคาแนะนำ 67,700 บาท
รุ่น CBS มีทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีเขียว-ดำ สีเหลือง-ดำ และสีดำ ราคาแนะนำ 62,700 บาท
..................................................................................................................................................
Aionex เปิดตัว KYMCO S7
Aionex จากเครือ ปตท. เปิดตัว KYMCO S7 (คิมโก เอสเซเวน) รถมอเตอร์ไซค์อีวีน้องใหม่ ภายใต้คอนเซพท์ Master of EV ที่จะมาทำลายทุกความเชื่อเดิมๆ ว่ารถมอเตอร์ไซค์อีวีเป็นแค่รถของเล่นด้วยความเป็น Master ในทุกๆ ด้าน
KYMCO S7 Master of EV
Master of Power เครื่องแรง แบทเตอรี 7,600 วัตต์ เร่งเร็วใน 3.5 วินาที
Master of Convenience ขับได้ไกลถึง 155 กม./ชาร์จ สลับแบทเตอรีไวใน 15 วินาที ที่สถานีสลับแบตเตอรีทั่วกรุงเทพฯ
Master of Innovation มาพร้อมระบบขับขี่ไร้กุญแจ เปิด/ปิดผ่าน Aionex Smart Application ระบบเสถียร สั่งการรถได้ผ่านฟีเจอร์มากมาย
นอกจากสมรรถนะที่จัดเต็มแล้ว ดีไซจ์นของ KYMCO S7 ก็มาแรงไม่แพ้กัน ด้วย ไฟหน้า LED แบบ Fisheye เสริมด้วย CBS Dual Disc Brake ทั้งล้อหน้า และล้อหลังเพิ่มความปลอดภัย และมีลูก สูบเบรค 3 ตัวช่วยยกระดับความปลอดภัย เสริมการควบคุมรถในขณะเร่งเครื่องเพื่อไต่ขึ้นพื้นที่สูงชันให้เสถียรยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ S7 ยังมีระบบ Power Mode ช่วยเพิ่มอัตราเร่งเพิ่มพลังในการขับไต่ขึ้นที่สูงในสัมผัสเดียว โดยมีตัวควบคุมมอเตอร์ไฟฟ้าที่ช่วยจัดการการจ่ายพลังงานให้กับเครื่องยนต์อย่างมีประสิทธิ ภาพ ตอบสนองทุกรูปแบบการขับขี่ด้วยนวัตกรรมประหยัดพลังงาน มีที่เก็บของใต้เบาะความจุ 27 ลิตร สามารถจุของได้มากขึ้น มาพร้อมมือจับท้ายรถดีไซจ์นทันสมัย และหน้าจอแสดงผลแบบ LED มี 3 สีให้เลือก ได้แก่ Light Tech Silver , Deep Ocean Blue และ British Green ราคา 139,900 บาท
นอกจากนี้ ทาง Aionex ยังเปิดให้บริการสถานีสลับแบทเตอรีสำหรับมอเตอร์ไซค์อีวีภายใต้พแลทฟอร์มที่เรียกว่า "Aionex" ซึ่งจะให้บริการในรูปแบบ “Battery as a Service (BaaS) Subscription Model” หรือค่าบริการเปลี่ยนแบทเตอรีแบบรายเดือน โดยลูกค้าสามารถเลือกแพคเกจบริการที่เหมาะสมกับพฤติกรรมการใช้งาน เช่น ลูกค้าซื้อแพคเกจสลับแบท หรือชาร์จไฟบ้านได้ โดยคิดคำ นวณค่าไฟจากการใช้งานจริงในแต่ละแพคเกจ, หมดกังวลเรื่องแบทเตอรีเสื่อม โดยทาง บจก. เอไอออเนกซ์ เป็นผู้ดูแลสุขภาพแทตเตอรีในระบบทั้งหมดเอง, แพคเกจสลับแบตมีหลากหลายให้ลูก ค้าเลือกตามการใช้งานที่เหมาะสม และหาสถานีสลับแบตง่าย อยู่ในปั๊ม ปตท. ทั่วกรุงเทพฯ
................................................................................................................................................
Michelin พิสูจน์ศักยภาพของยางใน MotoGP
การแข่งรถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมพ์โลก MotoGP สนาม 18 ของฤดูกาลปี 2567 ภายใต้ชื่อรายการ PT Grand Prix of Thailand 2024 ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิท จังหวัดบุรี รัมย์ Michelin ได้พิสูจน์ศักยภาพของยางในตระกูล Michelin Power ซึ่งมีประสิทธิภาพการยึดเกาะที่เหนือชั้น และสมรรถนะที่ดีเยี่ยมสม่ำเสมอในทุกสภาวะ ท่ามกลางสภาพอากาศที่แปรปรวนทั้งร้อน และฝน โดยมีผู้ชมในสนามตลอด 3 วัน กว่า 200,000 คน และผู้รับชมถ่ายทอดสดผ่านสื่อต่างๆ อีกกว่า 800 ล้านคน จาก 220 ประเทศทั่วโลก ร่วมเป็นสักขีพยาน
Piero Taramasso ผู้จัดการฝ่ายมอเตอร์สปอร์ท กลุ่มผลิตภัณฑ์ 2 ล้อ ของ Michelin เปิดเผยว่า ด้วยสมรรถนะ และข้อมูลการทำลายสถิติในการแข่งขันฤดูกาลที่ผ่านมา เราตกลงใจที่จะใช้ยางรูปแบบเดิม แต่ปรับเปลี่ยนเล็กน้อยโดยเพิ่มความแข็งแกร่งทนทานให้แก่สูตรเนื้อยางล้อหน้า ทั้งยางเนื้อนิ่ม ยางเนื้อแข็งปานกลาง และยางเนื้อแข็ง รวมทั้งเสริมโครงสร้างภายในของยางเนื้อแข็งให้แกร่งทนยิ่งขึ้น
ศักยภาพที่โดดเด่นของยางจาก Michelin ประกอบกับทีมผู้เชี่ยวชาญประจำสนามแข่งของ Michelin ที่มีทักษะและประสบการณ์สูง ส่งผลให้การแข่งขันสนุกเข้มข้น เร้าใจ และปลอดภัย Michelin ในฐานะผู้สนับสนุนยางสำหรับการแข่งขัน MotoGP อย่างเป็นทางการ...ได้จัดเตรียมยางในตระกูล Michelin Power ทั้งยาง Power Slik สำหรับพื้นแห้ง และ ยาง Power Rain สำหรับพื้นเปียก รวมทั้งสิ้น 1,100 เส้นไว้สำหรับการแข่งขันแต่ละสนามในฤดูกาลนี้ ขณะที่ทีมผู้เชี่ยวชาญประจำสนามแข่งของ Michelin รวม 25 ราย ซึ่งประกอบด้วยนักพัฒนาผลิตภัณฑ์, ช่างเทคนิค, ช่างประกอบติดตั้งยาง, ผู้จัดการ และเจ้าหน้าที่ประสานงาน, เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ และเจ้าหน้าที่สื่อสารการตลาด จะจัดแบ่งกลุ่มออกประจำการทุกสนามแข่งเพื่อเก็บข้อมูลยาง ตรวจสอบ วิเคราะห์ ให้คำแนะนำ และเผยแพร่ข่าวสารต่างๆ
สำหรับ Michelin กีฬามอเตอร์สปอร์ทเป็น “ตัวเร่งให้เกิดนวัตกรรม” ภายใต้ 2 แนวคิดหลัก คือ We Race for Change ซึ่งชูสนามแข่งเป็นห้องปฏิบัติการพัฒนายางให้มีสมรรถนะยาวนานเหนือกว่าเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และ From Track to Street ซึ่งเน้นการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสนามแข่งสู่การใช้งานในชีวิตประจำวันเพื่อนำเสนอโซลูชันด้านยางที่เป็นประโยชน์ในวงกว้าง ตลอดจนเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกเพลิดเพลิน และปลอดภัยให้กับผู้ใช้รถจักรยานยนต์ทั่วไป ทั้งนี้ ยางในตระกูล Michelin Power ซึ่งนำเทคโนโลยีจาก MotoGP มาพัฒนาต่อยอดสำ หรับใช้งานบนท้องถนน ได้แก่ Michelin Power 5, Michelin Power Cup 2 และ Michelin Power Cup Evo
อนึ่ง ประเทศไทยถือเป็นตลาดสำคัญของการแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมพ์โลก MotoGP โดยมีฐานแฟนกีฬามอเตอร์สปอร์ทที่แข็งแกร่ง และมีจำนวนผู้ใช้รถจักรยานยนต์จำนวนหลายล้านคนบนท้องถนน อีกทั้งสนามช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิท ยังเป็นสนามแข่งรถที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับ FIM Grade A จากสหพันธ์จักรยานยนต์นานาชาติ (FIM) ให้ใช้เป็นสนามแข่ง MotoGP อย่างเป็นทางการ โดยสนามแห่งนี้เป็นสนามแข่งระยะทาง 4,554 ม. บนพื้นที่กว่า 1,200 ไร่ และสามารถบรรจุผู้ชมได้กว่า 50,000 คน