หน้าหนาวปลายปีนี้ ใครยังไม่มีพแลนสตาร์ทรถออกไปเที่ยว Great Wall Motor (กเรท วอลล์ มอเตอร์) ขอชวนคนไทยออกไปเที่ยวไทยด้วยกัน ตามรอย 3 จังหวัดภาคเหนือ เชียงใหม่ เชียงราย และแม่ฮ่องสอน เตรียมตัวออกเที่ยวแบบคุ้มหลายต่อ ทั้งโปรโมชันเด็ดสุดคุ้มผ่านแคมเปญ “สุขทันที ปลายปีเที่ยวไทย” จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กับสินค้า และบริการท่องเที่ยวจากผู้ประ กอบการมากกว่า 200 ราย พร้อมส่วนลดสูงสุดถึง 45 % และความคุ้มอีกด้านผ่านการเลือกใช้รถพลังงานไฟฟ้า 100 % ที่จะช่วยเติมเต็มเส้นทางความสุขเพื่อคนสายกรีนด้วยมลพิษที่เป็นศูนย์ รวมถึงช่วยประหยัดค่าพลังงานงาน เปลี่ยนค่าน้ำมันให้เป็นค่าอาหารมื้อหรู หรือจะแวะคาเฟ ชอพพิงได้หลายที่ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวของคนยุคใหม่ ก่อนออกเดินทางรับลมหนาวพร้อมวิวที่แวดล้อมด้วยภูเขา และธรรมชาติตระการตา Great Wall Motor ขอแนะนำ 5 วิธี เตรียมตัวก่อนออกทริพกับรถยนต์ไฟฟ้าคู่ใจ ช่วยให้ทุกทริพราบรื่น ไร้อุปสรรค ปลอดภัยในทุกที่นั่ง
ทริคที่ 1 : เชคให้ชัวร์ ดูให้ครบ กับ 5 จุดเชคลิสต์สำคัญก่อนออกทริพ
ก่อนสตาร์ทรถออกเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ต้องเชคให้ชัวร์ กับ 5 สิ่งสำคัญ ช่วยเพิ่มความมั่นใจ เพราะ Well Begun is Half Done แค่เริ่มต้นดีก็ถือว่าทริพนี้สำเร็จไปแล้วครึ่งทาง
แบทเตอรี : หัวใจสำคัญสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ฉะนั้นก่อนออกทริพควรตรวจสอบแบทเตอรีให้ดี สิ่งที่ควรระวัง คือ ไม่ควรปล่อยให้แบทเตอรีเหลือน้อยกว่า 20 % บ่อยครั้ง เพราะอาจทำให้แบทเตอรีเสื่อมสภาพไวกว่ากำหนด และไม่ควรชาร์จเร็ว (DC Fast Charging) บ่อยเกินไป เนื่องจากการชาร์จเร็วจะใช้กระแสไฟฟ้าที่สูงกว่าปกติ ทำให้ความร้อนสะสมในแบทเตอรี ผลลัพธ์ คือ แบทเตอรีจะเสื่อมสภาพไวไม่ต่างจากการทิ้งให้แบตเหลือน้อยกว่า 20 % รวมถึงไม่ควรจอดรถยนต์ไฟฟ้าไว้กลางแจ้งบ่อย เพราะแสงแดดที่ร้อนจัดจะทำให้แบทเตอรีได้รับความร้อนสูง ส่งผลให้อายุการใช้งานสั้นลงตามมาด้วย หากไม่แน่ใจในสภาพการทำงานของแบทเตอรี แนะนำให้นำรถไฟฟ้าเข้าศูนย์เพื่อเชคสภาพความพร้อมของแบทเตอรีก่อนออกเดินทาง
ยางรถยนต์ : ไม่ว่าจะใกล้ หรือไกล ยางรถยนต์เป็นสิ่งแรกที่ได้สัมผัสกับพื้นถนนในทุกสภาพเส้นทาง จะทางเรียบ ขรุขระ หรือน้ำนอง ควรเชคลมยางรถยนต์ก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อความปลอดภัยตลอดทุกการเดินทาง สำหรับรถยนต์ที่มีขนาดเล็ก ควรเติมลมยางประมาณ 25-30 PSI สำหรับรถยนต์ที่มีขนาดกลาง ควรเติมลมยางประมาณ 30-35 PSI และสำหรับรถกระบะที่เน้นการท่องเที่ยว ผจญภัย ไม่เน้นการบรรทุกของที่มีน้ำหนักเยอะ ควรเติมลมยางประมาณ 35-40 PSI การเติมลมยางตามที่แนะนำนี้จะช่วยลดความเสี่ยงของอุบัติเหตุ เพื่อการออกทริพที่เป็นไปอย่างสนุก และราบรื่น
เบรค : ก่อนออกเดินทางทริพยาว หรือโรดทริพ ควรวางแผนนำรถเข้าศูนย์ล่วงหน้า เพื่อให้แน่ใจว่าระบบต่างๆ ของรถยนต์ไฟฟ้าทำงานได้เป็นปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบเบรค การมีระบบเบรคที่ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ หรือหากสังเกตว่าการแตะเบรคขณะขับขี่ดูให้ผลลัพธ์แปลกไปจากทุกครั้ง ควรนำรถยนต์ไฟฟ้าเข้าไปเชคสภาพเบรคที่ศูนย์บริการรถ เพราะหากสภาพเบรคลดลง อาจเพราะเกิดความเสียหายได้จากหลากหลายสาเหตุ เช่น ระบบเบรคเกิดการสึกหรอ หรือลูกสูบเบรคมีปัญหา
แอร์ : หากเครื่องปรับอากาศทำงานได้ไม่เป็นปกติ อาจจะทำให้การเดินทางมีอุปสรรคโดยเฉพาะเมื่อต้องขับรถในระยะทางไกล และอาจทำให้ผู้ขับขี่ และผู้โดยสารเกิดความเมื่อยล้าขณะเดินทางและเสียสมาธิในการขับขี่ ฉะนั้นควรเชคแอร์ก่อนออกเดินทางทุกครั้ง และควรวอร์มรถยนต์ไฟฟ้าก่อนเดินทางไกล เพื่อเชค และเพื่อเป็นการเลี่ยงปัญหาดังกล่าว
สัญญาณไฟ : ในการเดินทางที่ตะโกนบอกผู้ขับขี่คันอื่นๆ บนท้องถนนไม่ได้ ไฟหน้า และไฟท้ายจึงเป็นสิ่งสำคัญในการส่งสัญญาณแทนคำพูด เช่น การเลี้ยวซ้าย-ขวา การตบไฟให้สัญญาณ หรือแม้ แต่สัญญาณไฟฉุกเฉินหากเกิดปัญหาขึ้นกระทันหัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาขณะออกทริพเดินทาง จำเป็นต้องเชคไฟต่างๆ ทั้งไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเบรค ไฟเลี้ยว และไฟฉุกเฉินให้ดี เพื่อให้ทุกเส้นทางการเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น ไร้ปัญหาขณะขับขี่
ทริคที่ 2 : จำกัดความเร็วขณะขึ้น-ลงเขา และไม่บรรทุกของหนักขึ้นดอย
ความเร็วที่เหมาะสมสำหรับการขึ้น-ลงภูเขา ในการขับรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นภูเขาควรมีความเร็วอยู่ที่ประมาณ 50-80 กม./ชม. และการขับรถยนต์ไฟฟ้าลงภูเขาควรมีความเร็วอยู่ประมาณที่ 30-50 กม./ชม. ซึ่งเป็นความเร็วที่ค่อนข้างปลอดภัย และช่วยให้เบรคไม่ทำงานหนักจนเกินไป รวมถึงเว้นระยะจากคันหน้าประมาณ 30-50 ม. เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ หรือเหตุการณ์ฉุกเฉินอื่นๆ ที่ไม่คาดคิด ทั้ง นี้ สำหรับน้ำหนักของสัมภาระในการบรรทุกของเพื่อออกทริพในเส้นทางดังกล่าวควรพิจารณาตามความเหมาะสมของรถแต่ละรุ่นเพื่อไม่ให้หนักเกินไป เพราะน้ำหนักที่เยอะจะส่งผลต่อประสิทธิภาพของการเร่งของเครื่องยนต์
ทริคที่ 3 : หมั่นสังเกตแผงหน้าปัดแจ้งเตือนขณะขับขี่
สิ่งที่อันตรายไม่ต่างจากการละสายตาบนท้องถนนขณะขับขี่ คือ การละสายตา และละความสนใจจากสัญญาณต่างๆ ที่ขึ้นมาบนแผงหน้าปัดรถ โดยปกติสัญลักษณ์ต่างๆ ที่ขึ้นมาจะมีสีอยู่ 3 ระดับ ได้ แก่ สีเขียว สีส้ม หรือสีเหลือง และสีแดง คล้ายสัญญาณไฟจราจร แต่ละสีบ่งบอกถึงความเร่งด่วนในแต่ละระดับ ซึ่งสีเขียวหมายถึงปลอดภัย สีส้ม หรือสีเหลืองหมายถึงเริ่มไม่ปลอดภัย และสีแดงหมายถึงอันตราย นอกเหนือจากสีแล้วผู้ขับขี่ควรรู้ควายหมายของสัญลักษณ์ที่จำเป็น เช่น สัญลักษณ์พร้อมขับขี่ สัญลักษณ์การปิดประตูรถไม่สนิท สัญลักษณ์แจ้งเตือนแรงดันลมยาง และสัญลักษณ์แจ้งเตือนความจุแบทเตอรี การสังเกตสัญลักษณ์เหล่านี้จะช่วยให้การเดินทางพักผ่อนวันหยุดนี้ปลอดภัยทั้งผู้ขับขี่ และผู้โดยสารตลอดการเดินทาง
ทริคที่ 4 : ทุกการเบรคเหมือนได้แลกพอยท์ ได้พลังงานกลับคืนด้วยระบบ Regenerative Breaking
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าจะมีระบบเบรค 2 ระบบ ได้แก่ ระบบเบรคธรรมดา และระบบเบรค Regenerative Breaking โดยผู้ใช้งานสามารถประหยัดพลังงานแบทเตอรีได้ เพียงเลือกใช้ระบบ Regenera tive Breaking โดยสังเกตสัญลักษณ์ของระบบเบรคนี้จากแผงหน้าปัดได้ ซึ่งระบบเบรคนี้เป็นการเหยียบเบรกที่สร้างพลังงานจลน์ และการเบรคนั้นจะถูกส่งกลับไปเป็นพลังงานที่แบทเตอรีของรถ ยนต์ไฟฟ้า ทำให้ทุกแรงที่เหยียบไปไม่เสียเปล่า อีกทั้งยังสามารถกู้คืนพลังงานได้มากถึง 70 % ที่เกิดจากกระบวนการเบรค ช่วยยืดอายุชิ้นส่วนเบรกรถยนต์ เมื่อออกทริพในเส้นทางภูเขาสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับระบบเบรค Regenerative Breaking คือ การไม่ชาร์จแบทเตอรีให้เต็ม 100 % แต่ควรชาร์จให้อยู่ประมาณที่ 80-90 % เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ทริคที่ 5 : วางแผนให้ดี ปักหมุดสถานีชาร์จรอไว้เลย
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าการวางแผนที่ดี คือ การดูสถานีชาร์จไว้ล่วงหน้า ในทุกๆ การเดินทางควรตรวจสอบจุดชาร์จให้ชัดเจน และจองสถานีชาร์จไว้ล่วงหน้า เพื่อความสะดวก และรวดเร็ว สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าของ Great Wall Motor สามารถจองสถานีชาร์จได้ง่ายๆ ในแอพพลิเคชัน GWM Thailand เมื่อโหลดแอพพลิเคชันเรียบร้อยแล้วสามารถทำการจองได้ ดังนี้
เข้าแอพพลิเคชัน GWM Thailand
เลือกเมนู "รีโมท" จากนั้นเลือก "แผนที่จุดชาร์จ"
ค้นหาที่อยู่ที่ต้องการไปใช้บริการ
กด "จอง" ไอคอนที่สองด้านล่างซ้ายมือ
โดยในแอพพลิเคชันนี้สามารถชำระได้ทั้งแบบเติมเงิน และผ่านบัตรเครดิท ทำให้ลดการยุ่งยากในการออกทริพ ประหยัดเวลาในการเดินทาง