ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
Mazda ทุ่มงบกว่า 5,000 ล้าน ผลิต XEVs
Mazda (มาซดา) ประกาศวิสัยทัศน์ครั้งสำคัญเดินหน้าสู่การเปลี่ยนแปลง ภายใต้ธีม The Future, Crafted by The Joy of Driving ชูวิสัยทัศน์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยียานยนต์ใหม่ล่าสุด เพื่อส่งมอบความสุขในการขับขี่ตามแนวทาง Multi-Solution ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าควบคู่กับแผนเปิดตัวรถยนต์ใหม่ 5 รุ่นภายใน 3 ปี เชื่อมั่นระบบเศรษฐกิจ และศักยภาพของประเทศ ไทยประกาศทุ่มเงินลงทุนอีกกว่า 5,000 ล้านบาท ผลักดันโรงงานผลิตรถยนต์ในไทยขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิต และพัฒนารถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าหลากหลายรูปแบบ หรือ XEVs นำไปสู่การเปลี่ยนผ่านไปยังรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบในอนาคต โดยทำการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าคอมแพคท์เอสยูวี 100,000 คัน/ปี เพื่อจำหน่ายภายในประเทศ และส่งออกไปทั่วโลก
มาซาฮิโร โมโร ประธานกรรมการบริหาร และซีอีโอ มาสด้า มอเตอร์คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า เป้าหมายของ Mazda คือ การนำเสนอรถยนต์ที่มาพร้อมพลังงานไฟฟ้าในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งภายในปี 2573 รวมถึงรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในที่มาพร้อมพลังงานไฟฟ้า Mazda คาดว่ายอดจำหน่ายของรถ BEVs อยู่ที่ประมาณ 25-40 % ของยอดจำหน่ายทั่วโลก ซึ่ง Mazda กำลังเดินหน้าตามแนวทาง Multi-Solution Strategy เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % ควบคู่กับการใช้แนวทาง Intentional Follower Approach โดยทำการศึกษาตลาดอย่างใกล้ชิดและรับฟังข้อคิดเห็นจากลูกค้า เพื่อให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าให้ดีที่สุด คาดว่าภายในปี 2573 Mazda จะมียอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นองค์ประ กอบในการขับเคลื่อน 100 % ของยอดจำหน่ายรวมทั้งหมด แต่ในระหว่างนี้ เรากำลังเดินหน้าตามแผนพัฒนา XEVs ประกอบด้วยแผนกลยุทธ์ 3 เฟส ประกอบด้วย เฟสที่ 1 เป็นการเตรียมความพร้อม เฟสที่ 2 การเปลี่ยนผ่านอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มจาก HEV, PHEV และ BEV จนถึงเฟสที่ 3 เป็นการแนะนำรถไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ
Mazda พร้อมเดินหน้าส่งมอบเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า ตามแนวทาง Multi-Solution ซึ่งรวมถึง MHEVs, HEVs, PHEVs, BEVs, R-EVs และรถยนต์ที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกของผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และตรงกับความต้องการมากที่สุด เราเชื่อว่าแนวทางนี้จะสามารถช่วยลดการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรวด เร็วที่สุด
สำหรับประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดหลักที่สำคัญอันดับต้นๆ Mazda ตระหนักถึงกระแสตอบรับที่ดี และความต้องการรถไฟฟ้าที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว Mazda จึงเร่งแผนในการนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าให้เร็วขึ้น เพื่อตอบสนองกับความต้องการของลูกค้า โดยวางแผนในการแนะนำรถไฟฟ้าในประเทศไทยเป็นไปตามกลยุทธ์ 3 เฟส เช่นเดียวกันซึ่งเฟส 2 จะเป็นการนำเสนอรถพลังงานไฟฟ้าในไทย โดย Mazda จะทำการเปิดตัวแนะนำเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ทั้ง BEV, PHEV, HEV ระหว่างปี 2568-2570 โดยเริ่มจากการเปิดตัวแนะนำรถยนต์ไฟฟ้า BEV รุ่น Mazda6E ในปีนี้ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง Mazda และพาร์ทเนอร์ในประเทศจีน
มาซาฮิโร โมโร กล่าวเพิ่มเติมว่า Mazda ในประเทศไทยมีประวัติศาสตร์อันยาวนานมากกว่า 70 ปี ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย)ฯ และผู้จำหน่าย Mazda เท่านั้น แต่ยังรวมถึงโรงงานผลิตรถยนต์ที่จังหวัดระยอง AutoAlliance (AAT) ที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2538 ทำการผลิตรถยนต์นั่ง และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ รวมทั้งโรงงานผลิตเครื่องยนต์ และเกียร์อัตโนมัติ Mazda Powertrain Manufacturing Thailand (MPMT) ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2558 ทั้ง 2 โรงงานนี้ คือ รากฐานสำคัญที่ส่งเสริมให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดศูนย์กลางในการผลิตรถยนต์ Mazda และชิ้นส่วน เพื่อจำหน่ายภายในประเทศ และส่งออกยังตลาดต่างประเทศทั่วโลก โดย Mazda ได้เตรียมความพร้อมไปอีกขั้น เพื่อส่งเสริม และสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ที่สำคัญในการผลิตยานยนต์พลังงานไฟฟ้า XEVs ด้วยการเพิ่มเงินลงทุนเป็นจำนวนกว่า 5,000 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการพัฒนา และผลิตรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าคอมแพคท์ เอสยูวี โดยมุ่งเน้นไปที่การประกอบรถยนต์ การผลิตเครื่องยนต์ เกียร์ และแบทเตอรี พร้อมวางเป้ากำลังการผลิตอยู่ที่ 100,000 คัน/ปี นี่คือ จุดเริ่มต้น และก้าวแรกที่ยิ่งใหญ่ต่อการลงทุนเพิ่มเติมสำ หรับประเทศไทยเพื่อผลิตรถพลังงานไฟฟ้าของ Mazda และเป็นก้าวสำคัญสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
ไม่เพียงเท่านี้ มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น พร้อมนำเสนอเทคโนโลยีอันล้ำสมัยที่สุดรวมทั้งการถ่ายทอดองค์ความรู้ในการประกอบรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่นเข้ามายังประเทศไทย ควบคู่กับการพัฒ นาทักษะช่างฝีมือประกอบรถยนต์ เพื่อให้มั่นใจได้ว่ารถยนต์ที่ผลิตจากโรงงานในประเทศไทยจะเป็นไปตามมาตรฐานเดียวกันกับ Mazda ทั่วโลก และพร้อมสำหรับการเป็นศูนย์กลางในการผลิตรถ ยนต์พลังงานไฟฟ้า XEVs ในอนาคตอันใกล้นี้ต่อไป
ธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหาร & ซีอีโอ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงทิศทาง และแผนการดำเนินธุรกิจ Mazda ในประเทศไทยว่า Mazda มุ่งมั่นที่จะปฏิรูปการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น เพื่อเดินหน้าสู่ความสำเร็จไปพร้อมกันทั้งองค์กร ตามแนวทาง Management Policy ประกอบด้วย ผู้จำหน่าย พนักงาน และที่สำคัญสูงสุด คือ ลูก ค้าซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ (Customer-Centric) สำหรับการเปลี่ยนแปลงของ Mazda ที่กำลังจะเกิดขึ้น แบ่งออกเป็น 3 กล ยุทธ์หลัก ได้แก่
กลยุทธ์ที่ 1 : การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรด้วย “ผู้คน”
• สร้างการเปลี่ยนแปลงองค์กร โดยมีเป้าหมายในการเป็นองค์กรที่ Agile และInsight-Driven คล่องตัว ยืดหยุ่น และขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูลเชิงลึก ในปัจจุบันกลุ่มมิลเลนเนียล หรือ Gen-Y มีประ มาณ 70 % ของพนักงานทั้งหมด กลุ่มคนเหล่านี้มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี มีการศึกษาสูง ปรับตัวได้ดี มีเป้าหมายชัดเจน มีความคิดสร้างสรรค์ และสามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเราจะใช้จุดแข็ง และพลังของกลุ่มมิลเลนเนียลผสานการทำงานร่วมกับ Gen-X และ Gen-Z เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ดีกับลูกค้า
• สนับสนุนการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร ด้วยโปรแกรม “Career@Mazda” ที่ออกแบบมาเพื่อพัฒนาการมีส่วนร่วมของพนักงานทั้งที่ มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย)ฯ และผู้จำหน่าย เพื่อพัฒนาทัก ษะ และส่งเสริมการสร้างความผูกพันของพนักงานกับแบรนด์ และเพื่อนร่วมงาน
• สร้างโปรแกรม “Mazda Signature Services” ซึ่งเป็นโปรแกรมที่อยู่บนพื้นฐานของการส่งมอบคุณค่าอันมีเอกลักษณ์เฉพาะของ Mazda 3 ประการ ได้แก่ “Radically Human,” การให้ความสำคัญกับมนุษย์ “Challenger Spirit,” สปิริทที่ไม่ย่อท้อ และ “Omotenashi” ให้การดูแลเช่นเดียวกับคนในครอบครัว เพื่อให้มั่นใจว่าคุณค่าของแบรนด์จะถูกถ่ายทอดไปยังลูกค้าในทุกๆ Touchpoint ของการบริการ
กลยุทธ์ที่ 2 : ยกระดับการบริการ และการสื่อสารกับลูกค้าด้วยข้อมูลเชิงลึก
ทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการและสื่อสารกับลูกค้าด้วยข้อมูลเชิงลึก ด้วยการพัฒนาพแลทฟอร์ม VOF หรือ “Voice of Fans” เพื่อช่วยวิเคราะห์ความคิดเห็นของลูกค้าแบบเรียลไทม์ พร้อมนำความคิดเห็นมาจัดเก็บเป็นข้อมูลวิเคราะห์ และตอบกลับอย่างทันท่วงที ทั้งในช่องทาง Digital และผ่านพนักงาน เพื่อปรับปรุงการบริการ และสร้างความพึงพอใจสูงสุด
นอกจากนี้ Mazda กำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง รวมถึงคลังข้อมูลที่สามารถให้ข้อมูลลูกค้าอย่างครบถ้วน อาทิ การสร้างระบบ Data Warehouse และการบริหารจัดการข้อมูลลูกค้าแบบ SCV (Single Customer View) 360 องศา รวมถึงการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือ Social Listening เพื่อรับข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ นำมาออกแบบ พัฒนา และปรับปรุงประสบ การณ์ลูกค้า เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่นำเสนอนั้นตรงกับความต้องการ และความรู้สึกของลูกค้าอย่างแท้จริง
กลยุทธ์ที่ 3 : การสร้างประสบการณ์ลูกค้าแบบไร้รอยต่อทั้งออนไลน์ และออฟไลน์
ด้านออนไลน์ : มีการพัฒนาเวบไซท์องค์กรใหม่ โดยเปลี่ยนให้เป็น Mazda NEXTperience Hub ซึ่งแพลตฟอร์มนี้ได้รับการออกแบบเพื่อให้เกิดความสะดวกมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบ การณ์ที่ดีในการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์ผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยี รวมถึงข่าวสาร และการให้บริการต่างๆ ไม่ว่าลูกค้าต้องการลงทะเบียนจองคิวรถเพื่อทดลองขับ หรือนัดหมายเพื่อนำรถเข้าศูนย์บริการ ซึ่งจะช่วยให้การมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์เป็นไปอย่างราบรื่นขึ้น ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และไร้รอยต่อ
นอกจากนั้น ยังมีการพัฒนาพแลทฟอร์ม “Mazda SkyJourney” ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการมาตรฐานที่ผู้จำหน่าย Mazda ทุกแห่งใช้ในการดำเนินงาน ระบบนี้ถูกการออกแบบมาเพื่อให้กระบวนการทำ งานเป็นไปอย่างแม่นยำ และมีมาตรฐานสูง เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ราบรื่น และสะดวกสบายในทุกขั้นตอน
ด้านออฟไลน์ : มีการนำ “Mazda BASICS” แนวทางใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเป็นต้นแบบการดำเนินธุรกิจของผู้จำหน่าย โดยมีพื้นฐานมาจากปรัชญา และคุณค่าของแบรนด์ ซึ่งเกิดจากแนวทางที่มุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และสปิริทของ Omotenashi หรือปรัชญาด้านการบริการแบบญี่ปุ่น คุณค่าเหล่านี้จะถ่ายทอดผ่านการพัฒนาบุคลากร และการดำเนินงานของผู้จำหน่ายทั่วประเทศ
นอกจากนี้ เพื่อให้การดำเนินงานของ Mazda ในประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับแผนพัฒนาธุรกิจในอนาคต Mazda มีแนวทางในการดำเนินงานด้านอื่นๆ ดังต่อไปนี้
ด้านการปรับโครงสร้าง และพัฒนาเครือข่ายผู้จำหน่าย
ปัจจุบัน ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล Mazda มีผู้จำหน่ายทั้งหมด 19 โชว์รูม สามารถรองรับลูกค้าที่มาเข้ารับการบริการได้ถึง 250,000 ราย/ปี หรือมากกว่า 20,000 คัน/ปี ซึ่งเพียงพอกับลูกค้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน ในส่วนต่างจังหวัด มาสด้ากำลังเพิ่มศักยภาพของผู้จำหน่ายที่มีอยู่ทั้งหมด 65 แห่ง ให้พร้อมรองรับต่อความต้องการของลูกค้าที่จะเข้ามารับบริการ ด้วยกลยุทธ์ PMA ใหม่ ที่กำหนดขอบ เขตให้ผู้จำหน่ายที่มีศักยภาพสูงมีพื้นที่ในการดูแลลูกค้าเพิ่มขึ้น ปัจจุบัน สามารถรองรับปริมาณงานซ่อมได้สูงสุด 450,000 คัน/ปี หรือมากกว่า 37,000 คัน/เดือน สำหรับภาพรวมทั่วประเทศ ปัจจุบันเรามีลูกค้า 250,000 คัน ที่อยู่ในระบบของเรา ซึ่งเครือข่ายผู้จำหน่ายของเราทั้งหมด 84 โชว์รูม สามารถส่งมอบการบริการที่ดีที่สุดได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
นอกจากนี้ เรายังนำ Mazda BASICS มาใช้ เพื่อยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานของผู้จำหน่ายทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ผู้จำหน่ายสามารถส่งมอบงานด้านการขาย และการบริการที่มีมาตรฐานสูง สุดได้
กลยุทธ์ด้านการสร้างแบรนด์
Mazda ในประเทศไทยมีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนานถึง 70 ปี เรามีพันธกิจสำคัญ คือ การยกระดับประสบการณ์ และการใช้ชีวิตในทุกด้านให้กับลูกค้าทุกคนเพราะเราเชื่อว่า “ความสุขในการขับขี่รถยนต์” นำมาซึ่ง “ความสุขในการใช้ชีวิต” สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การเป็นเจ้าของรถยนต์ Mazda เพราะความสุขไม่ได้หมายถึงแค่เพียงการมีรอยยิ้ม แต่คือ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากภายใน คือ ความหมาย และการเติมเต็มการใช้ชีวิต สะท้อนการสร้างคุณค่าทางอารมณ์ความรู้สึก มีต้นกำเนิดจากความเข้าใจพื้นฐานของมนุษย์ และได้รับแรงบันดาลใจมาจาก“Omotenashi” หรือปรัชญาแนวคิดการบริการแบบญี่ปุ่น
หลังจากนี้ Mazda จะผลักดันธุรกิจด้วยการนำเสนอปรัชญาใหม่ของแบรนด์ นั่นคือ“Joy Drives Lives” หรือความสุขที่ขับเคลื่อนชีวิต เพื่อนำมาใช้ในการปรับเปลี่ยนประสบการณ์ลูกค้า และสร้าง Customer Journey รูปแบบใหม่ และพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้าในทุกๆ ขั้นตอน รวมถึงการเริ่มต้นปรับรูปแบบธุรกิจในประเทศไทย (Business Transformation) โดยมุ่งให้ความสำคัญกับลูกค้าในทุกสิ่งเพื่อให้มั่นใจว่าทุกครั้งที่ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ Mazda จะนำมาซึ่งคุณค่า และความสุขของการเป็นเจ้าของรถ Mazda
กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยีในไทย
Mazda กำลังเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์ Multi-Solution โดยจะทำการเปิดตัวรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าหลากหลายรูปแบบ ถึง 5 รุ่น ระหว่างปี 2568-2570 เพื่อสามารถตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า รวมถึงรถยนต์พลังงานไฟฟ้า BEV 2 รุ่น รถ PHEV 1 รุ่น และรถ HEV 2 รุ่น โดยรุ่นแรกที่ลูกค้าได้สัมผัสในเร็วๆ นี้ คือ รถยนต์ไฟฟ้า BEV รุ่น Mazda6E
กลยุทธ์ด้านการผลิต
Mazda ยังคงเดินหน้าผลักดันการผลิตที่โรงงานในประเทศไทย ทั้งที่โรงงาน AAT และ MPMT เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากโรงงานทั้งสองแห่ง และสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน พร้อมผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางในการผลิต และจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าคอมแพคท์เอสยูวี ทั้งการจำหน่ายภายในประเทศ และส่งออกไปยังต่างประเทศทั่วโลก โดยโรงงานผลิตทั้ง 2 แห่งมีคุณภาพมาตรฐานเทียบเท่าระดับโลก นี่คือ รากฐานที่มั่นคงที่จะช่วยเสริมสร้างให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน และเป็นศูนย์กลางที่สำคัญในการผลิตรถ XEVs ในอนาคต
ทั้งหมดนี้ คือ การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับ Mazda ทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดประเทศไทย ที่ทาง Mazda ออกมาประกาศเดินหน้าเต็มขุมกำลัง เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางแห่งสำคัญสุดของ Mazda ในการผลิตแ ละส่งออก เพื่อให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งพนักงาน ผู้จำหน่าย โดยเฉพาะลูกค้าชาวไทย เพราะลูกค้า คือ หัวใจสำคัญที่สุดของการดำ เนินธุรกิจของมาสด้า ดังนั้น เราจึงมุ่งมั่นที่จะส่งมอบคุณค่า และประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าของเรา ซึ่งเราจะดำเนินการควบคู่ไปกับการสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น และมั่นคงกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งมอบประสบการณ์ความสุข และการใช้ชีวิต เพื่อให้แบรนด์ Mazdaเติบโตอย่างยั่งยืน และมั่นคงไปพร้อมๆ กับการยกระดับเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศไทย
............................................
“ThaiGP Pre-Season Test” มาร์เกซ เร็วสุด
“ซูเพอร์สตาร์นักบิด MotoGP” ดวลความเร็ว “ThaiGP Pre-Season Test” เข้มข้น ผลปรากฏว่า มาร์ค มาร์เกซ แชมพ์โลกจาก Ducati (ดูกาตี) ผงาดรั้งจ่าฝูงเหนือน้องชายอย่าง อเลกซ์ มาร์เกซ ขณะที่ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา นักบิดชาวไทยจาก Honda (ฮอนดา) ทำงานอย่างหนักหลังบิดทั้งสิ้น 131 รอบสนาม ยกระดับได้ยอดเยี่ยม ก่อนเปิดฤดูกาล MotoGP 2025 ที่ประเทศไทย ในศึก “PT Grand Prix of Thailand” 28 กุมภาพันธ์-2 มีนาคมนี้
การทดสอบพรีซีซันอย่างเป็นทางการของศึก MotoGP 2025 “ThaiGP Pre-Season Test” จบลงอย่างเป็นทางการ หลังผ่านการทำงานอย่างหนักของทีมแข่ง วิศวกร และนักบิดทุกคน ระหว่างวันที่ 12-13 กุมภาพันธ์ 2568 ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิท จ. บุรีรัมย์
ผลการทดสอบปรากฏว่า “มาร์ค มาร์เกซ” แชมพ์โลกชาวสแปนิชจาก Ducati Lenovo Team เป็นผู้นำด้วยเวลาต่อรอบ 1 นาที 28.855 วินาที หลังวิ่งไปทั้งสิ้น 156 รอบสนาม ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา โดยยังไม่สามารถทำลายสถิติเดิม 1 นาที 28.700 วินาที ของทีมเมทอย่าง ฟรานเชสโก บันยาญา ลงได้ ส่วนอันดับ 2 เป็นของ “อเลกซ์ มาร์เกซ” นักบิดสแปนิชจาก Gresini Racing MotoGP ตามหลัง 0.179 วินาที ขณะที่อันดับ 3 เป็นของ “มาร์โก เบซเซคคี” นักบิดอิตาเลียนจาก Aprilia Racing ตามหลัง 0.205 วินาที
ส่วน “เปโดร อคอสตา” นักบิดดาวโรจน์ชาวสแปนิชจาก Red Bull KTM Factory Racing จบการทดสอบครั้งนี้ในอันดับ 4 ด้วยเวลาต่อรอบ 1 นาที 29.133 วินาที ตามหลังจ่าฝูง 0.278 วินาที ด้าน “ฟรานเชสโก บันยาญา” แชมพ์โลก 2 สมัย ยังไม่ลงตัวมากนักรั้งอันดับ 5 ด้วยเวลาต่อรอบ 1 นาที 29.378 วินาที ตามหลังทีมเมทอย่าง มาร์ค มาร์เกซ 0.523 วินาที
ขณะที่ “โจอัน เมียร์” ชาวสแปนิชจาก Honda HRC Castrol ส่งสัญญาณยอดเยี่ยม ขยับขึ้นมารั้งทอพ 6 ด้วยเวลาต่อรอบ 1 นาที 29.399 วินาที บีบระยะเข้าไปหาหัวแถวเหลือ 0.544 วินาที ตามด้วย “ฟรานโก มอร์บิเดลลี” นักบิดอิตาเลียนจาก Pertamina Enduro VR46 Racing Team ในอันดับ 7 ตามหลัง 0.599 วินาที
ส่วน “ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร” แชมพ์โลก 1 สมัยชาวฝรั่งเศสจาก Monster Energy Yamaha MotoGP จบการทดสอบครั้งนี้ในอันดับ 8 ด้วยเวลาต่อรอบ 1 นาที 29.586 วินาที ตามหลังจ่าฝูง 0.731 วินาที ตามด้วย “มาเวอริค บีญาเลส” นักบิดสแปนิชจาก Red Bull KTM Tech3 ตามหลัง 0.751 วินาที และอันดับ 10 เป็นของ “แจค มิลเลอร์” นักบิดออสเตรเลียนจาก Prema Pramac Yamaha ตามหลังหัวแถว 0.762 วินาที
สำหรับนักบิด MotoGP ชาวไทยคนแรกในประวัติศาสตร์อย่าง “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา จาก Idemitsu Honda LCR ทำงานกับทีม และวิศวกรของ Honda อย่างหนัก จบการทดสอบครั้งนี้ด้วยอันดับ 20 ด้วยเวลาต่อรอบ 1 นาที 30.465 วินาที ตามหลังจ่าฝูง 1.610 วินาที หลังจากที่ลงบิดไปทั้งสิ้น 131 รอบสนาม
ด้าน Rookie ที่ผลงานดีที่สุดในการทดสอบครั้งนี้ ได้แก่ “ไอ โอกูระ” นักบิดชาวญี่ปุ่นจาก Trackhouse MotoGP Team ภายใต้รถแข่ง Aprilia รั้งอันดับ 11 ด้วยเวลาต่อรอบ 1 นาที 29.636 วินาที ตามหลังจ่าฝูง 0.781 วินาที ตามด้วย “เฟร์มิน อัลเดเกร์” นักบิดดาวรุ่งชาวสแปนิชจาก Gresini Racing MotoGP ในอันดับ 18 ตามหลัง 1.230 วินาที
ทั้งนี้ หลังจบภารกิจการทดสอบ “ThaiGP Pre-Season Test” อย่างเป็นทางการของ MotoGP 2025 บรรดานักบิดพรีเมียร์คลาสส์ทุกคน จะมีเวลาพักราว 2 สัปดาห์ ก่อนเข้าสู่การแข่งขันสนามแรกของฤดูกาล ระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์-2 มีนาคมนี้ ในศึก “PT Grand Prix of Thailand” ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่ประเทศไทยรองรับการแข่งขันสนามแรกของศึกจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมพ์โลก
....................................................................................................................
Riddara เผยแผนงานในประเทศไทย ปี 68
Riddara (ริดดารา) จัดกิจกรรมสุดพิเศษ "Riddara Owners Club First Meeting" เพื่อขอบคุณลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจใน Riddara และสร้างสังคมผู้ใช้งานรถกระบะพลังงานไฟฟ้าที่พร้อมเปิดโอ กาสให้ผู้ใช้งานจริงได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้งานร่วมกันเพื่อนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการบริการที่สามารถตอบสนองความต้องการของคนไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมประกาศเดินหน้าแผนการดำเนินงานในประเทศไทยครอบคลุมทุกมิติทั้งด้านผลิตภัณฑ์ การลงทุน และการดูแลลูกค้าด้วยการบริการหลังการขายที่เข้มแข็ง และการขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายด้วยโชว์รูม และศูนย์บริการมาตรฐาน 50 แห่งทั่วประเทศ รองรับการเติบโตของกลุ่มลูกค้า โดยตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 10,000 คัน
Liu Haizhou ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ริดดารา ออโต้โมบาย (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมการดำเนินงานของ Riddara ในประเทศไทยว่า หลังจาก Riddara ได้เปิดตัวรถกระบะพลังงานไฟ ฟ้า 100 % รุ่น Riddara RD6 ในประเทศไทยเมื่อเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าชาวไทย สำหรับปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 10,000 คัน โดยมีแผนจะแนะนำรถกระบะพลังงานไฟฟ้าที่หลากหลายยิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ครอบคลุม และขยายทางเลือกด้านพลังงานใหม่ให้มีความหลากหลาย นอกจากนี้ บริษัทฯ กำลังศึก ษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น และเป็นฐานการผลิตรถกระบะไฟฟ้าพวงมาลัยขวาที่สำคัญของ Riddara
ทั้งนี้เพื่อรองรับการขยายตัวของฐานลูกค้า Riddara เปิดรับนักลงทุน และพันธมิตรทางธุรกิจที่สนใจร่วมขยายเครือข่ายโชว์รูม และศูนย์บริการมาตรฐานจาก 15 แห่งในปัจจุบัน ให้เป็น 50 แห่งทั่วประ เทศภายในปีนี้ โดยจะครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และหัวเมืองใหญ่ในทุกภูมิภาค เพื่อให้ลูกค้าชาวไทยเข้าถึงนวัตกรรม และเทคโนโลยีของ Riddara ได้สะดวกยิ่งขึ้น รวมถึงการให้บริการรถทดลองขับถึงหน้าบ้าน
ยิ่งไปกว่านั้น Riddara ยังมุ่งมั่นที่จะยกระดับการบริการหลังการขายภายใต้ชื่อ Riddara Care ที่พร้อมดูแลและให้บริการลูกค้าอย่างเต็มที่ด้วยทีมงานมืออาชีพ พร้อมจัดเตรียมอะไหล่สำรองให้เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า และมีบริการช่วยเหลือลูกค้ากรณีฉุกเฉินผ่าน Riddara Call Center ที่พร้อมให้บริการตลอด 24 ชม. เพื่อสร้างความอุ่นใจ และมั่นใจในการใช้งาน Riddara ให้แก่ลูก ค้ามากยิ่งขึ้น
..............................................................................................................
อีวี ไพรมัสฯ จับมือบริษัทแม่ วางตำแหน่ง Wuling ใหม่
อีวี ไพรมัสฯ ประกาศแผนธุรกิจปี 2568 มุ่งเน้นจุดยืนของแบรนด์ Wuling (วู่หลิง) ให้เป็น EV City Car อันดับ 1 ของไทย ปรับราคาจำหน่าย Air EV (แอร์ อีวี) และ Binguo EV (ปินกั่ว อีวี) ให้ลูกค้าทุกกลุ่มเข้าถึงได้ง่ายขึ้น พร้อมเตรียมเปิดผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่อีก 2 รุ่น ในปี 2568 นี้
พิทยา ธนาดำรงศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีวี ไพรมัส จำกัด ผู้ผลิต และจัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าแบบมัลทิแบรนด์ (Multi-Brand EV Distributor) แห่งแรกของไทย และเป็นผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ Wuling แต่ผู้เดียวในประเทศไทย (Sole Distributor) เปิดเผยว่า จากยอดขายกว่า 2,000 คัน และเสียงตอบรับจากผู้ใช้จริงได้สะท้อนให้เห็นว่ารถยนต์ไฟฟ้า Wuling ได้รับความพึงพอใจจากลูกค้าชาวไทยเป็นอย่างมาก ในด้านรูปลักษณ์ที่โดดเด่น คุณภาพในระดับสากล และความประหยัดที่ชัดเจน ตอกย้ำจุดแข็งของแบรนด์ Wuling ที่มุ่งเน้นจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ เฉกเช่นเดียวกับที่ได้ประสบความสำเร็จมาในประเทศจีน ด้วยยอดขายอันดับ 5 ในยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก
“วันนี้ เข้าสู่ปีที่ 2 ของการทำตลาดรถยนต์ Wuling ของ อีวี ไพรมัสฯ ในตลาดประเทศไทย ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มุ่งเน้นการสร้างพื้นฐานที่มั่นคง เช่น การเข้าร่วมมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐ การขยายเครือข่ายผู้จำหน่าย และศูนย์บริการ การสร้างคลังอะไหล่เพื่อรองรับการบริการหลังการขาย และการสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศไทย ต่อเนื่องจากนี้ไปแบรนด์ Wuling จะเข้าสู่บทบาทใหม่ที่ท้าทายขึ้น คือ การยกระดับแบรนด์ การเพิ่มการรับรู้ของแบรนด์ในวงกว้าง และการขยายฐานลูกค้าของแบรนด์”
ทางบริษัทฯ ได้วิเคราะห์ว่าการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สับดาปไปเป็นรถยนต์ไฟฟ้านั้น ยังคงมีปัจจัย และข้อกังวลหลายอย่างจากผู้บริโภค เช่น ระยะการขับ สถานีชาร์จ และราคาขายต่อ ซึ่งอาจจะยังตอบโจทย์ได้ไม่เต็มที่กับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาสูง ทาง Wuling จึงได้มุ่งเน้นการนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้ในเมืองเป็นหลัก และราคาไม่สูง เป็นการตอบโจทย์ โดยเฉพาะความคุ้มค่า และความประ หยัดที่ผู้บริโภคสามารถจะประหยัดค่าน้ำมัน และคืนทุนได้ในอายุการใช้งานเพียง 3-4 ปี โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการขาดทุนจากราคาขายต่อ
การปรับราคาขายครั้งนี้ ภายใต้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับบริษัทแม่ SGMW (SAIC-GM-Wuling) จึงไม่ใช่การตอกย้ำ หรือเข้าร่วมในสงครามราคา หากแต่เป็นย่างก้าวใหม่ของแบรนด์ Wuling ที่จะทำให้คนไทยได้เข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้า Wuling ได้ง่ายขึ้น โดยปราศจากข้อกังวล และมั่นใจได้จากความเห็นของผู้ใช้จริงกว่า 2,000 คนบนท้องถนนที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้า Wuling อยู่ ณ ปัจจุบัน
เพื่อวางจุดยืนของแบรนด์ และตำแหน่งสินค้าให้ชัดเจนขึ้น SGMW และอีวี ไพรมัสฯ จึงเห็นควรที่จะปรับราคารถยนต์ไฟฟ้า Wuling ในไทยทั้ง 2 รุ่น คือ Wuling Air EV จาก 495,000 บาท เป็น 429,000 บาท และ Wuling Binguo EV จาก 449,000 บาท เป็น 399,000 บาท
บริษัทฯ เล็งเห็นโอกาสของการเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในตลาดรถยนต์ราคาต่ำกว่า 4 แสน หรือตลาด Eco Car ที่คนไทยคุ้นเคยกันดี ซึ่งบริษัทฯ มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าด้วยคุณภาพ และออพชันของ Wuling นั้น จะทำให้คนที่เปลี่ยนจากอีโคคาร์น้ำมันมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า Wuling ให้รู้สึกถึงความคุ้มค่า และความคุ้มทุนที่แท้จริง
ภายใต้แผนกลยุทธ์ใหม่ครั้งนี้ อีวี ไพรมัสฯ ตั้งเป้ายอดขายรวมทุกรุ่นในปีนี้ที่ 2,600 คัน พร้อมแผนขยายโชว์รูมจากปัจจุบันที่มีมากกว่า 30 โชว์รูม มาเป็นมากกว่า 40 โชว์รูม ครอบคลุมพื้นที่บริการทั่วประเทศภายในปีนี้
..............................................................................................................
Royal Enfield เปิดตัว Shotgun 650 รุ่นลิมิเทด เอดิชัน
Royal Enfield (รอยัล เอนฟีลด์) ร่วมกับ Icon Motosports ผู้มีชื่อเสียงด้านเครื่องแต่งกาย และอุปกรณ์ป้องกันสำหรับรถจักรยานยนต์ที่แหวกแนว จะเปิดตัว Shotgun 650 (ชอทกัน 650) ลิมิเทด เอ ดิชัน ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากการสร้างสรรค์ที่น่าทึ่งในชื่อ Always Something โดย Icon จัดแสดงที่ EICMA 2024 และ Motoverse 2024 ที่ผ่านมา
Shotgun 650 รุ่นลิมิเทด เอดิชันนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากการสร้างสรรค์ร่วมกับ Icon โดดเด่นด้วยสไตล์ และองค์ประกอบสปอร์ทเพื่อนำเสนอ "ความพิเศษเฉพาะตัว" ให้แก่รถจักรยานยนต์รุ่นมาตร ฐาน ในรุ่นลิมิเทด เอดิชันนี้เป็นรุ่นสำหรับนักสะสมอย่างแท้จริง มาพร้อมกับ 3 โทนสี ที่ได้แรงบันดาลใจจากลายกราฟิครถแข่ง และติดตั้งชิ้นส่วนพิเศษที่ไม่เหมือนใครเพื่อให้เข้ากับการคัสตอม ขอบล้อสีทองตัดขอบ ชอคอับสีน้ำเงิน เบาะสีแดงพร้อมโลโกในตัว และกระจกปลายแฮนด์ ซึ่งช่วยเพิ่มสไตล์ให้โดดเด่นยิ่งขึ้น Shotgun 650 เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงวัฒนธรรมการคัสตอมที่เฉลิมฉลองความคิดสร้างสรรค์ และทำหน้าที่เป็นผืนผ้าใบสำหรับการปรับแต่ง และแสดงถึงตัวตนสำหรับนักขี่หลายพันคนทั่วโลก Shotgun 650 รุ่นลิมิเทด เอดิชันจะมอบประสบการณ์การขับขี่ที่น่าตื่นเต้น ผสมผสานสุนทรียภาพเหนือกาลเวลาอันเป็นเอกลักษณ์ของ Royal Enfield เข้ากับจิตวิญญาณที่แหวกแนวของ Icon Motosports ทำให้เป็นที่ชื่นชอบในหมู่ผู้ที่มองหาทั้งสไตล์ คาแรคเตอร์ และสมรรถนะ
ความร่วมมือครั้งนี้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของ Royal Enfield ในการบ่มเพาะคอมมูนิทีนักคัสตอมรถทั่วโลก พร้อมเฉลิมฉลองมรดกของตนเอง รถจักรยานยนต์แต่ละคันจะมาพร้อมกับเสื้อแจคเกท Slabtown Intercept RE ที่ออกแบบโดย Icon เสื้อแจคเกทสุดพิเศษนี้ทำจากหนังกลับ และผ้า ประดับด้วยหนังปะ และงานปัก เพิ่มเสน่ห์ให้แก่นักสะสม
Adrian Sellers หัวหน้าฝ่าย Custom & Motorsport ของ Royal Enfield กล่าวว่า ความร่วมมือของเรากับ Icon Motosports สำหรับ Shotgun 650 ลิมิเทด เอดิชัน แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการคัสตอมรถรุ่น Shotgun 650 ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองศิลปะ และความหลงใหลในการสร้างรถคัสตอม พร้อมผลักดันขอบเขตของสิ่งที่เป็นไปได้ด้วยรถจักรยานยนต์ Royal Enfield "Always Something" โดย Icon เป็นผลงานชิ้นเอก และเรารู้สึกตื่นเต้นที่จะนำเสนอเวอร์ชันการผลิตนี้ส่งต่อความหลงใหล และสไตล์ให้แก่คอมมูนิทีนักขี่ของเราทั่วโลก
Icon Motosports ซึ่งตั้งอยู่ในพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน เป็นแบรนด์รถจักรยานยนต์ชั้นนำที่สร้างรถจักรยานยนต์คัสตอม และเป็นที่รู้จักจากการผสมผสานสุนทรียศาสตร์ย้อนยุคเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัย แนวคิดการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกเขาผสมผสานกลิ่นอายของรถจักรยานยนต์คลาสสิคเข้ากับองค์ประกอบแห่งอนาคต สร้างสรรค์รถจกรยานยนต์ที่เหนือกาลเวลา และสร้างสรรค์
..............................................................................................................
Porsche ประเทศไทย ประกาศแต่งตั้งกรรมการผู้จัดการคนใหม่
Porsche ประเทศไทย ผู้นำเข้าอย่างเป็นทางการของยนตรกรรมสปอร์ท Porsche (โพร์เช) ในประเทศไทย ประกาศแต่งตั้ง ไมเคิล เวตเตอร์ ดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการคนใหม่ ผู้คร่ำหวอดในวงการ ด้วยประสบการณ์ระดับผู้บริหารที่ Porsche AG และ Porsche Asia Pacific มีผลตั้งแต่เดือนมกราคม 2568
ไมเคิล เวตเตอร์ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ (MD) คนใหม่ของ Porsche ประเทศไทย โดยมีผลตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 โดย Porsche ประเทศไทย ดำเนินงานโดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ อิมพอร์ต (AAS Auto Import Co., Ltd.) เป็นผู้นำเข้าอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวของยนตรกรรมสปอร์ท ตั้งแต่ปี 2536
ไมเคิล เริ่มงานร่วมกับ Porsche ที่ Porsche AG และPorsche Asia Pacific ก่อนก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงในหลายประเทศทั่วโลก ด้วยบทบาทสำคัญในการเสริมสร้าง และขยายแบรนด์ Porsche ในตลาดเกาหลีใต้ กัมพูชา และอินโดนีเซีย ด้วยประสบการณ์อันกว้างขวาง และวิสัยทัศน์เชิงรุก โดยก่อนหน้านี้เคยดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการกลุ่มแห่ง Eurokars Group Indonesia รับผิดชอบการบริหาร และพัฒนาแบรนด์ยนตรกรรมหรูระดับโลก อาทิ Porsche, Bentley (เบนท์ลีย์) และ Rolls-Royce (โรลล์ส-รอยศ์) เขาพร้อมนำพา Porsche ประเทศไทย ก้าวสู่ความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่แบรนด์ และมอบประสบการณ์เหนือระดับให้แก่ลูกค้าในประเทศไทย
ตลอดเส้นทางอาชีพ ไมเคิล เคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงที่ Porsche AG, Porsche Asia Pacific และPorsche Korea โดยมีบทบาทสำคัญในการทำให้ Porsche เป็นแบรนด์หรูชั้นนำ สามารถเพิ่มยอดขาย และยกระดับการรับรู้แบรนด์ในตลาดที่เขาดูแล
ภายใต้การบริหารของ ไมเคิล เขามุ่งมั่นยกระดับการรับรู้แบรนด์ Porsche ในประเทศไทย ด้วยการสร้างความเชื่อมั่นของลูกค้าผ่านประสบการณ์สุดพิเศษ ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยให้ความสำคัญกับยนตรกรรมไฟฟ้า พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้พลังงานไฟฟ้าให้สอดคล้องกับเป้าหมายระดับโลกของ Porsche
นอกจากนี้ Porsche ประเทศไทย ยังมีแผนร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ในประเทศเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับยนตรกรรมสปอร์ทพลังงานไฟฟ้า อาทิ การขยายเครือข่ายสถานีชาร์จไฟความเร็วสูง เพื่อรองรับการเติบโตของยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าในอนาคต พร้อมกันนี้ เขายังให้ความสำคัญกับความเป็นเลิศในการดำเนินงาน และการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทอล เพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้า และเสริมสร้างความเป็นผู้นำในตลาดยานยนต์ของไทย ซึ่งกำลังพัฒนา และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ไมเคิล กล่าวทิ้งท้ายว่า ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงสำหรับการเติบโตของ Porsche ทั้งในด้านการขยายแบรนด์ และการขับเคลื่อนเป้าหมายด้านความยั่งยืน เรามุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความผูก พันกับลูกค้า ยกระดับกระบวนการดำเนินงาน และสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในประเทศ เพื่อขับเคลื่อน Porsche ให้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำในด้านยนตรกรรมหรู และสมรรถนะเหนือระดับ ผมรู้สึกตื่นเต้นกับโอกาสในการทำงานที่ Porsche ประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดสำคัญที่เรามุ่งมั่นผสานนวัตกรรมล้ำสมัย ประสบการณ์ลูกค้าที่เหนือระดับ และชุมชน Porsche ที่มีความน่าหลงใหล มีชีวิตชีวา เข้าไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ
..............................................................................................................
ณรงค์ สีตลายน นำทัพ Geely ไทย
กลุ่มธนบุรี ภายใต้ชื่อ บริษัท ธนบุรีนอยสเติร์น จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์แบรนด์ Geely (จีลี) อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เสริมแกร่งทีมผู้บริหารพร้อมประกาศแต่งตั้ง ณรงค์ สีตลา ยน ขึ้นดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Chief Executive Officer) บริษัท ธนบุรีนอยสเติร์น จำกัด มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์2568
ณรงค์ สีตลายน เป็นผู้บริหารและผู้นำที่ได้สั่งสมประสบการณ์ในวงการยานยนต์ทั้งในระดับสากลและภายในประเทศมายาวนานกว่า 20 ปี ทั้งยังมีบทบาทสำคัญในช่วงเปลี่ยนผ่านทางด้านเทคโนโลยี (Disruption) ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย จนเป็นที่ยอมรับในประสบการณ์และความเชี่ยวชาญทางด้านการวางกลยุทธ์ การสร้างแบรนด์ และการบริหารธุรกิจ โดยในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ บริษัท ธนบุรีนอยสเติร์น จำกัด ณรงค์ มุ่งมั่นยกระดับการบริการของบริษัทฯ ให้ก้าวสู่มาตรฐานใหม่ โดยให้ความสำคัญกับความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหัวใจหลัก ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจให้เติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน
ภายใต้การบริหารของ ณรงค์ บริษัท ธนบุรีนอยสเติร์น จำกัดจะดำเนินกลยุทธ์เชิงรุกสู่การเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า เริ่มจากการปรับปรุงประสิทธิภาพภายในองค์กร การยกระดับบริการหลังการขาย และการขยายเครือข่ายบริการให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ โดยปัจจุบันได้ดำเนินการทำสัญญากับผู้จำหน่ายแล้ว 22 แห่ง จากเป้าขยายเครือข่ายโชว์รูม และศูนย์บริการ 30 แห่งภายในปี 2568 ทั้งนี้ทางบริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และแนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภค ด้วยการนำเข้าและเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุดเข้าสู่ตลาดไทยทุกปี สอดรับกลยุทธ์เติบโตอย่างยั่ง ยืนผ่านการตอบสนองความต้องการของลูกค้า เพื่อสร้างแบรนด์ Geely ให้แข็งแกร่ง และเป็นที่ยอมรับในประเทศไทย
ในปี 2567 ที่ผ่านมากลุ่มบริษัท Geely Holding Group ประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในระดับโลก โดยมียอดขายรถยนต์ทั่วโลกจำนวน 2.17 ล้านคันเพิ่มขึ้น 32 % เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และในจำนวนนี้ มียอดขายในตลาดต่างประเทศอยู่ที่ 403,923 คัน เพิ่มขึ้น 53 % จากปีก่อน นอกจากนี้ ยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ของกลุ่มบริษัทฯ ก็เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยในปี 2567 มียอดขายรวมของรถยนต์พลังงานใหม่ NEV (New Energy Vehicle) จำนวน 888,235 คัน เพิ่มขึ้นกว่า 92 % เมื่อเทียบกับปีก่อน และเพื่อสนับสนุนการเติบโต และการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องกลุ่มบริษัท Geely Holding ได้จัดตั้งศูนย์วิจัย และพัฒนา รวมถึงศูนย์การออกแบบทั่วโลกในเมืองสำคัญต่างๆ อาทิ เซี่ยงไฮ้ หางโจว หนิงโป โกเธนเบิร์ก โคเวนทรีแคลิฟอร์เนีย และฟรังค์ฟวร์ท โดยมีบุคลากรด้านการวิจัย และพัฒนาและการออกแบบมากกว่า 20,000 คน และถือครองสิทธิบัตรนวัตกรรมมากกว่า 14,000 ฉบับ ความสำเร็จเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Geely ในการเป็นผู้นำด้านยานยนต์ระดับโลก และการตอบสนองต่อความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
สำหรับปี 2568 กลุ่มบริษัท Geely Holding มีความมุ่งมั่นพร้อมแผนงานในการบรรลุเป้าหมายยอดจำหน่ายรวมทั่วโลกที่ 2.71 ล้านคัน พร้อมยกระดับการดำเนินงาน ความสามารถทางธุรกิจ และกล ยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ รวมถึงการพัฒนาบริการหลังการขายเพื่อให้สามารถตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าทั่วโลกได้อย่างต่อเนื่อง และดีที่สุด
..............................................................................................................
![](https://autoinfo.co.th/uploads/2024042121525456.jpg)