ข่าวจากสหรัฐอเมริกา ระบุว่า สถาบันประกันภัยเพื่อความปลอดภัยบนทางหลวง (IIHS) ได้วิเคราะห์ข้อมูลสถิติอุบัติเหตุรถชน พบว่า รถขนาดใหญ่ และมีน้ำหนักมาก ไม่ได้ช่วยผู้โดยสารในรถปลอดภัยมากกว่ารถแบบอื่น แต่ที่แน่นอน คือ คนขับรถขนาดใหญ่ มักจะเป็นอันตรายต่อผู้ใช้รถคันอื่นที่ใช้ถนนร่วมกัน โดยพิจารณาตามเงื่อนไขน้ำหนักของรถแต่ละคันเทียบกับน้ำหนักเฉลี่ย
จากการศึกษา นักวิจัยได้ค่าเฉลี่ยน้ำหนักรถจากการสุ่มตัวอย่างในระหว่างปี 2560-2565 โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4,000 ปอนด์ (1.81 ตัน) และรถมีน้ำหนักมากขึ้นทุก 500 ปอนด์ (227 กก.) ชนกับรถกระบะ, รถเอสยูวี หรือรถยนต์นั่ง ทำให้ผู้โดยสารในรถน้ำหนักมากมีโอกาสเสียชีวิตลดลงระดับ 1 ในล้านเท่านั้น แต่ทำให้การเสียชีวิตในรถอีกคันเพิ่มขึ้นถึง 7 คน
จากการศึกษาพบว่า รถยนต์นั่ง และรถเอสยูวีที่มีน้ำหนักอยู่ที่ค่าเฉลี่ย (1.81 ตัน) เมื่อชนกับรถยนต์นั่งที่มีน้ำหนักต่ำกว่าค่าเฉลี่ย มีการเสียชีวิตลดลง 17 ราย และในอุบัติเหตุรถเอสยูวีชนกับรถยนต์นั่งมีการเสียชีวิตลดลง 13 ราย, ส่วนรถที่มีน้ำหนักสูงกว่าค่าเฉลี่ย 4,000 ปอนด์ (1.81 ตัน) ความเสี่ยงการเสียชีวิตของผู้โดยสารในรถแทบไม่ลดลง ฉะนั้นการเลือกใช้รถที่หนักกว่าค่าเฉลี่ย ไม่ได้ช่วยให้ปลอดภัยมากขึ้น
หัวหน้าคณะนักวิจัยโครงการนี้กล่าวว่า “ค่าน้ำหนักเฉลี่ยของรถยนต์ไม่มีอะไรพิเศษ” เป็นเพียงข้อสรุปว่า รถที่มีน้ำหนักมากกว่าค่าเฉลี่ย มีแนวโน้มที่จะชนกับรถที่มีน้ำหนักน้อยกว่า และมีผลกลับกันในรถที่มีน้ำหนักน้อยกว่า จากการวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่า การเลือกใช้รถที่มีน้ำหนักมากกว่าค่าเฉลี่ย ไม่ได้ทำให้ผู้โดยสารในรถปลอดภัยมากขึ้น “แต่เป็นอันตรายกับผู้ใช้ถนนคนอื่นมากขึ้น”
ตัวเลขการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุการชนของรถยนต์นั่ง, รถกระบะ และรถเอสยูวี มีแนวโน้มลดลง จากปี 2554-2559 ซึ่งผู้ใช้รถมีโอกาสเสียชีวิตถึง 90 % จากการชนกับรถเอสยูวีที่มีน้ำหนักเกินกว่า 5,000 ปอนด์ (2.27 ตัน) จนกระทั่งปี 2560-2565 การเสียชีวิตลดลง 20 % หลังจาก IIHS และบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ร่วมกันพัฒนาปรับโครงสร้างรถกระบะ, รถเอสยูวี, รถขนาดเล็กทั้งแบบคูเป และซีดาน ให้มีความปลอดภัยมากขึ้น
David Harkey ประธาน IIHS กล่าวว่า คนอเมริกันส่วนใหญ่คิดว่า ยิ่งขับรถขนาดใหญ่ยิ่งปลอดภัยขึ้น แต่จากผลของการวิจัย สรุปว่าแนวคิดนั้นไม่จริง โดยเฉพาะกับผู้ใช้รถคันอื่น และการใช้รถขนาดใหญ่ ไม่ได้ช่วยให้คนในรถปลอดภัยมากขึ้นเช่นกัน