ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
All New Mitsubishi Xforce รับรางวัลระดับ 5 ดาว
บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชัน ประกาศว่า รถคอมแพคเอสยูวี All New Mitsubishi Xforce (มิตซูบิชิ เอกซ์ฟอร์ศ) แบบไฮบริด (HEV) รุ่นใหม่ ได้รับคะแนนสูงสุดระดับ 5 ดาว จากการประเมินมาตรฐานความปลอดภัยยานยนต์ของอาเซียน หรือ Asean NCAP1 2024 ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ครอบคลุมการทดสอบสมรรถนะด้านความปลอดภัยของรถยนต์ใหม่ในภูมิภาคอาเซียน โดยได้รับคะแนนสูงสุดเท่ากันจากรุ่นเครื่องยนต์เบนซินที่ได้รับในช่วงต้นปี 2024
Mitsubishi Motors ยังคงมุ่งมั่นในปรัชญาด้านความปลอดภัย เพื่อก้าวไปสู่สังคมยานยนต์ที่ปราศจากอุบัติเหตุทางถนน โดยพัฒนา และเผยแพร่เทคโนโลยีด้านความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการให้ความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยบนท้องถนน
All New Mitsubishi Xforce มาพร้อมกับระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง Mitsubishi Safety Sensing ซึ่งประกอบด้วย 6 ฟังค์ชันหลัก ได้แก่ ระบบลอคความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติถึงจุดหยุดนิ่ง (Adaptive Cruise Control-ACC) ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (Forward Collision Mitigation-FCM) ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา และขณะเปลี่ยนเลน (Blind Spot Warning/Lane Change Assist-BSW/LCA) ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด (Rear Cross Traffic Alert-RCTA) ระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ (Automatic High Beam -AHB) ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification-LCDN) นอกจากนี้ All New Mitsubishi Xforce HEV ยังเสริมความปลอดภัยด้วยโครงสร้างตัวถัง RISE2 (Reinforced Impact Safety Evolution) ซึ่งช่วยดูดซับแรงกระแทก และลดการเสียรูปของห้องโดยสารในกรณีเกิดการชน พร้อมถุงลมนิรภัย SRS 6 จุด เพิ่มความปลอดภัยทั้งผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร
All New Mitsubishi Xforce เปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อเดือนมีนาคม 2568 โดยพัฒนาต่อยอดจากรุ่น Xforce3 ซึ่งเปิดตัวในประเทศอินโดนีเซียเมื่อปี 2566 และได้รับการติดตั้งระบบไฮบริด (HEV) เป็นครั้งแรก SUV ขนาด 5 ที่นั่งรุ่นนี้พัฒนาภายใต้แนวคิด “เพื่อนคู่ใจ สำหรับชีวิตที่เร้าใจ” โดยใช้ระบบไฮบริดที่ได้รับการพัฒนามาจากเทคโนโลยีพลัก-อิน ไฮบริด (PHEV) อันเป็นเอก ลักษณ์ของ Mitsubishi Motors มอบทั้งอัตราประหยัดน้ำมันที่สูงขึ้นเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และอัตราเร่งที่ทรงพลัง เสริมด้วยระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Con trol: AYC) โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ และเทคโนโลยีควบคุมล้อทั้ง 4 ช่วยเสริมความปลอดภัย และเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่บนทุกสภาพถนนที่หลากหลาย
หมายเหตุ
1. โครงการประเมินมาตรฐานความปลอดภัยรถยนต์ใหม่ในกลุ่มประเทศอาเซียน
2. เทคโนโลยีโครงสร้างตัวถังที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยจากแรงกระแทก
3. รถยนต์รุ่นนี้วางจำหน่ายในบางตลาดภายใต้ชื่อ Outlander Sport
...............................................................................................................................
Rever เปิดศูนย์ BYD Experience Store
บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด ผู้จัดจําหน่าย และให้บริการหลังการขายรถยนต์พลังงานใหม่ BYD (บีวายดี) และ Denza (เดนซา) อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ภายใต้กลุ่มธุรกิจ Rever เปิดศูนย์ BYD Experience Store แห่งแรกของประเทศไทย โดยตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ ณ อาคารอินเตอร์เชนจ์ 21 ชั้น G ด้วยจุดประสงค์ที่จะให้ผู้บริโภคชาวไทย ได้ทำความรู้จักกับนวัตกรรมยานยนต์แห่งโลกอนาคต ที่มีอยู่ในรถยนต์หลากหลายรุ่นของ BYD และ Denza รวมถึงบอกเล่าความเป็นมาของรถยนต์ BYD ผ่านสื่อ และกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ พร้อมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ ที่ให้ทั้งความรู้ และความเพลิดเพลินแก่ผู้เยี่ยมชม
ประธานวงศ์ พรประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Rever กล่าวว่า หลังได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากกิจกรรม BYD Lab ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกคู่ขนานกับงานมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมา Rever ไม่รอช้าเดินหน้าเปิดศูนย์ BYD Experience Store ต่อทันที ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงการเปิดโอกาสทุกท่านได้ทำความรู้จักกับ BYD ตั้งแต่ประวัติความเป็นมา ไปจนถึงนวัตกรรมต่างๆ เท่านั้น แต่ยังมีการส่งเสริมแนวคิดพลังงานสะอาด เพื่อกระตุ้นให้ทุกท่านร่วมกันสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยื่น จนนำไปสู่อนาคตปลอดมลพิษสำหรับทุกคน
ประธานพร พรประภา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Rever กล่าวว่า ศูนย์ BYD Experience Store ไม่ได้มีเพียงแค่บอร์ดข้อมูล หรือวีดีโอบรรยายเท่านั้น แต่ยังมีทั้งรถยนต์คันจริงจากเครือ BYD หลากหลายรุ่น ที่ยังไม่ออกจำหน่ายในประเทศไทย รวมถึงชิ้นส่วนจริงให้ทุกท่านได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด ทั้งยังมี Interactive Zone ที่มีกล้อง interactive AR ไว้ให้ผู้เยี่ยมชมได้ศึกษาเทคโนโล ยีในรถยนต์ ผ่านภาพเสมือนจริงอีกด้วย พร้อมสร้างประสบการณ์ของการเรียนรู้รูปแบบใหม่ ให้แก่ผู้ที่สนใจในยนตรกรรม และนวัตกรรมล่าสุด
ศูนย์ BYD Experience Store ถูกจัดสรรออกเป็นสัดส่วนด้วยกันทั้งหมด 3 ส่วนหลัก โดยในแต่ละส่วนจะมอบประสบการณ์การเรียนรู้ในเนื้อหา และวิธีที่แตกต่างกันไป ในส่วนแรก Zone A จะเป็นพื้น ที่จัดแสดงรถยนต์ในเครือ BYD ซึ่งทั้งหมดเป็นรถยนต์ที่ยังไม่ออกจำหน่ายประเทศไทยภายใต้แบรนด์ Denza, Formula และ Yangwang (หยางหว่าง) ทั้งยังมีบอร์ด และจอโค้ง LED ขนาดใหญ่ไว้บอกเล่าทุกเรื่องราวสำคัญ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของ BYD ทั้งยังมีคลิพสัมภาษณ์แนวคิดของผู้บริหาร
ส่วนถัดไปของศูนย์ BYD Experience Store คือ Zone B โดยในส่วนนี้จะเน้นไปที่ นวัตกรรม และเทคโนโลยียานยนต์ล่าสุด พร้อมอธิบายหลักการทำงานรวมถึงจุดแข็งของนวัตกรรมในรถยนต์ ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานใหม่อย่างรถยนต์ไฟฟ้า EV และ PHEV ซึ่งล้วนแล้วแต่อัดแน่นอยู่ในรถยนต์ BYD ทั้งยังมีการจัดแสดงชิ้นส่วนรถยนต์จริงอย่าง E-Platform และ BYD Blade Battery ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นนวัตกรรมที่เป็นเอกสิทธิ์ของ BYD ที่สำคัญ ยังมีกล้อง Interactive AR ให้ผู้เยี่ยมชมได้ศึกษาเทคโนโลยีในรถยนต์ ผ่านภาพเสมือนจริงอีกด้วย
ส่วนสุดท้ายของ BYD Experience Store คือ Zone C ซึ่งจะให้ความรู้ผ่านสื่อต่างๆ เรื่องการร่วมสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ซึ่งเริ่มต้นได้จากทุกคน รวมถึงวงการยานยนต์ ผ่านการพัฒนารถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดแบบ PHEV ซึ่ง BYD มีทั้งเทคโนโลยี DM-I และ DM-P ไปจนถึงการให้ความรู้เรื่องผลกระทบของโลกร้อน และเทคโนโลยีล่าสุดที่คิดค้นมา เพื่อช่วยให้ผู้บริ โภคใช้รถยนต์กลุ่มพลังงานใหม่ได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น ทั้งยังมีบาร์เครื่องดื่มรับรองอีกด้วย
...............................................................................................................................
Ford พร้อมเปิดตัว Ranger Super Duty
Ford (ฟอร์ด) ประกาศเสริมทัพรถกระบะอย่างเป็นทางการ ด้วยการเผยโฉม Ford Ranger Super Duty (ฟอร์ด เรนเจอร์ ซูเพอร์ ดิวที) ครั้งแรกของโลก ในงานฉลองครบรอบ 100 ปี Ford ออสเตร เลีย ที่เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย นับเป็นครั้งแรกที่ Ford ได้นำชื่อ "Super Duty" มาใช้กับรถกระบะนอกเหนือจากตระกูล F-Series อันโด่งดังในสหรัฐอเมริกา
สำหรับประเทศไทย ประกาศแผนเปิดตัว Ford Ranger Super Duty รุ่นใหม่ล่าสุดในประเทศไทย พร้อมทำการตลาดในปี 2569 และจะเปิดสายการผลิตที่โรงงานออโต้ อัลลายแอนซ์ ประเทศไทย หรือโรงงาน AAT ที่จังหวัดระยอง เพื่อจำหน่ายทั้งในประเทศ และส่งออกทั่วโลก
Ford Ranger Super Duty ได้รับการพัฒนาขึ้นจากการรับฟังความคิดเห็นของลูกค้าอย่างรอบด้าน เพื่อเติมเต็มความต้องการในตลาดรถกระบะที่มีสมรรถนะสูง พร้อมลุยภารกิจหนักได้อย่างแท้จริง
ด้วยการออกแบบที่สร้างมาตรฐานใหม่ในวงการรถกระบะ Ford Ranger Super Duty มาพร้อมสมรรถนะที่โดดเด่นจากโรงงาน ทั้งความสามารถในการลากจูง และบรรทุกที่เหนือชั้น ตอบโจทย์ทั้งกลุ่มนักเดินทางสายลุย ที่ต้องการรถที่มีสมรรถนะสูง รวมถึงผู้ประกอบการ หรือลูกค้าองค์กรที่ต้องการรถสำหรับภารกิจหนัก ซึ่งรถกระบะทั่วไปอาจไม่สามารถรองรับได้
เมื่อเทียบกับรถกระบะที่จำหน่ายในปัจจุบัน Ford Ranger Super Duty มอบความสามารถที่เหนือกว่าหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นลากจูงได้มากขึ้น : รองรับการลากจูงสูงสุด 4,500 กก. บรรทุกได้มากขึ้น : น้ำหนักรถสูงสุดรวมบรรทุก (GVM) สูงสุดถึง 4,500 กก. ให้คุณ "ทำได้" มากขึ้น : น้ำหนักรถสูงสุดรวมบรรทุก และลากจูง (GCM) สูงสุดถึง 8,000 กก.
รัฐการ จูตะเสน กรรมการผู้จัดการ Ford ประเทศไทย กล่าวว่า Ford Ranger Super Duty คือ การพลิกโฉมวงการรถกระบะ อันเกิดจากการรับฟัง และรวบรวมความคิดเห็นของลูกค้าจากหลากหลายประเทศ รถรุ่นนี้พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่ตลาดรถกระบะ ด้วยสมรรถนะที่เหนือชั้น ทั้งการใช้ลุยงานหนัก การผจญภัย รวมถึงการดัดแปลงพิเศษสำหรับภารกิจเฉพาะ และด้วยประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก เราภูมิใจอย่างยิ่งที่จะได้นำรถกระบะรุ่นพลิกโฉมวงการนี้มาให้แก่ลูกค้าชาวไทยในเร็วๆ นี้
Ford Ranger Super Duty พร้อมสร้างนิยามใหม่ให้แก่ตลาดรถกระบะที่ออกแบบมาเพื่อรองรับทุกภารกิจหนัก ด้วยการผสานเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยขั้นสูง ความอเนกประสงค์ การเชื่อมต่อ และความสะดวกสบายที่ไม่เคยมีมาก่อนในรถที่มีสมรรถนะระดับนี้ อีกทั้งยังโดดเด่นด้วยดีไซจ์นอันดุดัน สะท้อนเอกลักษณ์ และดีเอนเอความแกร่ง พร้อมรับมือทุกงานหนักที่แสนท้าทาย
Ford Ranger Super Duty จะผลิตขึ้นที่โรงงานออโต้ อัลลายแอนซ์ ประเทศไทย หรือโรงงาน AAT และจะเริ่มจำหน่ายในประเทศไทย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ในปี 2569 นอกจากนี้ ยังมีแผนวางจำหน่ายในตลาดอื่นๆ ผ่าน Global Fleet Solutions ซึ่งสามารถให้บริการดัดแปลงรถยนต์ได้อีกด้วย
...............................................................................................................................
กระทรวงคมนาคม รณรงค์ป้องกัน และลดอุบัติเหตุ
กระทรวงคมนาคม จัดกิจกรรมรณรงค์ป้องกัน และลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 “สงกรานต์สุขใจ เดินทางสะดวก ปลอดภัย บนโครงข่ายคมนาคม” ผนึกกำลังทุกหน่วยงานในสัง กัด เตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวก และความปลอดภัยรองรับการเดินทางของประชาชน
กระทรวงคมนาคม จัดกิจกรรมรณรงค์ป้องกัน และลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 “สงกรานต์สุขใจ เดินทางสะดวก ปลอดภัย บนโครงข่ายคมนาคม” สาธิตการปฏิบัติงานของจุดบริ การที่กรมการขนส่งทางบกบูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่างๆ บริเวณด้านหน้าอาคารศูนย์นวัตกรรมฯ เช่น “อาชีวะ-ขนส่ง อาสาช่วยประชาชน” บูรณาการร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ให้บริการตรวจสภาพ และซ่อมแซมยานพาหนะในกรณีฉุกเฉิน ให้คำแนะนำเส้นทาง รวมถึงจัดเตรียมน้ำดื่ม ชา กาแฟ ผ้าเย็น เตียงพักผ่อนแก่ผู้ที่อ่อนเพลียจากการขับขี่ยานพาหนะ 150 จุดทั่วประ เทศ และกิจกรรม “ตรวจรถฟรี ขับขี่ปลอดภัย” บูรณาการร่วมกับภาคเอกชน ให้บริการเชคความพร้อมของรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ให้ประชาชนฟรีกว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศ
สุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า รัฐบาลมุ่งยกระดับการเดินทางของพี่น้องประชาชน ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 ให้มีความปลอดภัย และประทับใจในการใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะแบบไร้รอยต่อ โดย สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบนโยบายให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมดำเนินการอย่างเข้มข้นในทุกมิติ บูรณาการระบบขนส่งทั้งทางถนน และทางราง เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง และถึงที่หมายอย่างปลอดภัย สำหรับเทศกาลสงกรานต์ 2568 นี้ แบ่งการดำเนินการเป็น 2 มิติสำคัญ ประกอบด้วย
1) มิติด้านการอำนวยความสะดวก และลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้แก่ประชาชน เป้าหมาย คือ ประชาชนต้องได้เดินทางทุกคน ไม่มีใครตกค้าง ซึ่งได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดหารถโดยสาร และขบวนรถไฟเสริมให้เพียงพอ รวมถึงดูแลการเดินทางให้เกิดการเชื่อมต่อระบบโดยสารสาธารณะ ทั้งรถไฟฟ้า รถประจำทาง ขสมก. แบบไร้รอยต่ออย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ประจำแต่ละสถานี เพื่อให้บริการข้อมูลข่าวสารการเดินทาง และรับเรื่องร้องเรียน พร้อมทั้งลดภาระค่าโดยสาร 10 % ทุกเส้นทางทั่วประเทศ ให้แก่ประชาชนที่เดินทางด้วยรถโดยสารประจำทางของ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ในช่วงเวลาตามมาตรการไปก่อน-กลับทีหลังของกระทรวงคมนาคม
2) มิติด้านความปลอดภัย ดำเนินมาตรการคุมเข้มตรวจความพร้อมของยานพาหนะที่จะนำมาให้บริการประชาชน ตรวจสอบสภาพรถโดยสาร ตั้งแต่ต้นทาง ระหว่างทาง (จุด Check Point) และปลายทาง ตรวจสอบความพร้อมของพนักงานขับรถในระบบขนส่งสาธารณะ แอลกอฮอลต้องเป็น “ศูนย์” ต้องไม่มีการเจ็บป่วย มีไข้ หรืออ่อนล้า ควบคุมพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ ผ่านระบบ GPS เช่น การใช้ความเร็ว ชั่วโมงการทำงาน รถโดยสารไม่ประจำทาง ที่วิ่งตั้งแต่ 400 กม. ขึ้นไป ต้องมีคนขับรถ 2 คนขึ้นไป การกำหนดเส้นทางจุดเสี่ยง (Zoning) ห้ามรถโดยสารไม่ประจำทาง 2 ชั้น เข้าใช้เส้นทาง เบื้องต้นจะกำหนด 7 จุดเสี่ยง พร้อมทั้งดูแลความความปลอดภัย ณ สถานีขนส่งผู้โดยสาร และรถสถานีรถไฟ โดยขอให้ผู้ประกอบการขนส่งรถโดยสาร และรถบรรทุก ผู้ประกอบการรถร่วม และพนัก งานขับรถต้องดำเนินการตามมาตรการด้านความปลอดภัยทุกด้านอย่างเคร่งครัด เพื่อร่วมกันมอบความสะดวก ความปลอดภัย และความประทับใจในการเดินทางให้แก่ประชาชนในเทศกาลสงกรานต์ 2568 นี้
สรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงคมนาคม คาดการณ์ปริมาณการเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะระหว่างจังหวัดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 (วันที่ 11-17 เมษายน 2568 รวม 7 วัน) จะมีปริมาณผู้โดยสาร 2.52 ล้านคน-เที่ยว แบ่งเป็นเดินทางโดยรถโดยสารสาธารณะ (บขส.) จำนวน 993,188 คน การเดินทางทางอากาศ จำนวน 770,198 คน เดินทางโดยระบบรางรถไฟระหว่างเมือง จำนวน 757,292 คน จึงได้กำชับให้ ขบ. และ บขส. จัดการเดินรถในเส้นทาง และรถเสริมทุกเส้นทางตลอดวัน ซึ่งรถโดยสารทั้งหมดต้องได้มาตรฐานถูกต้องตามกฎหมาย และให้มีการบังคับใช้กฎหมายสูงสุดทันที อำนวยความสะดวกจัดจุดบริการรถ ขสมก. รับ-ส่ง บริการประชาชน รวมทั้ง Shuttle Bus บริการเชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้า BTS หมอชิต MRT สวนจตุจักร ในส่วนของการดำเนินการ ณ จุดตรวจ Check Point และ Rest Area ต้องมีความครอบคลุมทั้งที่อยู่ในสถานี และนอกสถานีขนส่ง โดยให้สอดคล้องกับจุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง เพื่อตรวจสอบความปลอด ภัยของรถโดยสารสาธารณะ และความพร้อมของพนักงานขับรถโดยสารแต่ละคันตลอดเส้นทาง ควบคู่กับการรณรงค์ด้านความปลอดภัยบนรถโดยสาร เช่น การคาดเข็มขัดนิรภัย แนะนำการปฏิบัติกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน โดยให้มีการเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์ทั้งบริเวณพื้นที่สถานี และบนรถโดยสารทุกคัน
ส่วนของการเดินทางในระบบราง จากการคาดการณ์จะมีประชาชนเดินทางด้วยระบบรางในเทศกาลสงกรานต์รวมประมาณ 9 ล้านคน-เที่ยว แบ่งเป็นรถไฟฟ้า 8,222,414 คน-เที่ยว และรถไฟระหว่างเมือง 757,292 คน-เที่ยว ได้มีการเตรียมพร้อมพ่วงตู้โดยสารเพิ่ม 2-3 ตู้ไปกับขบวนรถปกติ หรือพ่วงเต็มหน่วยลากจูงในขบวนรถไฟเสริมที่มีการเดินทางหนาแน่น รวมถึงจัดเดินขบวนรถพิเศษช่วยการโดยสาร 5 เส้นทาง 26 ขบวน ได้แก่ กรุงเทพอภิวัฒน์-เชียงใหม่ อุบลราชธานี อุดรธานี ศิลาอาสน์ และยะลา (สามารถรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นได้อีกประมาณ 15,000 คน-เที่ยว) ในส่วนของของระบบรถไฟฟ้าเพิ่มความถี่ในการให้บริการโดยเฉพาะช่วงเร่งด่วนในตอนเย็นของวันที่ 11 และ 12 เมษายน 2568 และช่วงเร่งด่วนในตอนเช้าของวันที่ 17 และ 18 เมษายน 2568 ซึ่งคาดว่าเพียงพอต่อความต้องการเดินทางประชาชน พร้อมตรวจตราความปลอดภัยบริเวณสถานี เฝ้าระวังจุดตัดรถไฟ และเฝ้าระวังจุดเสี่ยงร่วมกับภาคีส่วนท้องถิ่น
จิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า การเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 กรมการขนส่งทางบกให้ความสำคัญกับมาตรการด้านความปลอดภัยสูงสุด โดยได้จัดทีมผู้เชี่ยวชาญเข้าตรวจความพร้อมของสภาพตัวรถโดยสารที่จะนำมาให้บริการ ณ สถานประกอบการ และกำชับผู้ประกอบการเข้มงวดการปฏิบัติหน้าที่ของ TSM และรายงานการตรวจความพร้อมของตัวรถ และพนักงานขับรถก่อนออกเดินทางผ่านระบบ “เชคชัวร์ Ready to Go” และระหว่าง 11-17 เมษายน 2568 จะมีการตรวจสอบความพร้อมรถโดยสาร และพนักงานขับรถตาม Check list ณ สถานีขนส่งผู้โดยสาร และจุดจอด รวม 169 จุด Rest Area 13 จังหวัด 16 จุด และ Checking Point 26 จังหวัด 28 จุด ทั่วประเทศ อาทิ ความพร้อมของระบบ GPS ในการติดตามรถตลอดการเดินทาง ความถูกต้องของใบอนุญาตขับรถของพนักงานขับรถทุกคน ชั่วโมงการทำงานขับรถต้องไม่เกินที่กฎหมายกำหนด โดยสามารถขับติดต่อได้ไม่เกิน 4 ชั่วโมง หยุดพักไม่น้อยกว่า 30 นาที และขับต่ออีกได้ไม่เกิน 4 ชม. หรือมีพนักงานขับรถอย่างน้อย 2 คน โดยเฉพาะรถโดยสารไม่ประจำทางที่นำมาเสริมในเส้นทางที่มีแผนการเดินทางระยะทางเกินกว่า 400 กม. ขึ้นไป ต้องมีพนักงานขับรถ 2 คนขึ้นไป และชั่วโมงการทำงานขับรถต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ ได้กำหนดเส้นทางจุดเสี่ยง (Zoning) ห้ามรถโดยสารไม่ประจำทาง 2 ชั้น เข้าใช้เส้นทาง โดยเบื้องต้นได้บูรณาการร่วมกับกรมทางหลวง เพื่อกำหนดจุดที่มีความเสี่ยงสูง พิจารณาจากถนนทางหลวงที่มีความลาดชันตั้งแต่ 8 % ขึ้นไป เส้นทางมีความยาวตั้งแต่ 5 กม. มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งเบื้องต้นจะกำหนด 7 จุดเสี่ยง คือ จังหวัดปรา จีนบุรี ทางหลวงหมายเลข 304 สี่แยกกบินทร์บุรี-วังน้ำเขียว จังหวัดพัทลุง ทางหลวงหมายเลข 4 เขาพับผ้า-พัทลุง จังหวัดแพร่ ทางหลวงหมายเลข 103 แม่ยางฮ่อ-แม่ตีบ จังหวัดเชียงใหม่ ทาง หลวงหมายเลข 118 เชียงใหม่-ดอยนางแก้ว จังหวัดเลย ทางหลวงหมายเลข 2013 บ่อโพธิ์-โคกงาม จังหวัดเพชรบูรณ์ ทางหลวงหมายเลข 2331 โจ๊ะโหวะ-อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า จังหวัดน่าน ทางหลวงหมายเลข 1256 ปัว-อุทยานแห่งชาติดอยภูคา โดยกรมการขนส่งทางบกจะตรวจสอบผ่านระบบ GPS เมื่อพบรถโดยสารไม่ประจำทาง ฝ่าฝืนเข้าเส้นทางดังกล่าว จะดำเนินการออกหนังสือเรียกตัว แจ้งการกระทำผิดกับผู้ประกอบการ และพนักงานขับรถ ซึ่งมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท
ชัชวาล พรอมรธรรม กรรมการฯ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด กล่าวว่า บขส. ได้เตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวก และความปลอดภัย รองรับการเดินทางประชาชน ช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 ระหว่างวันที่ 9-17 เมษายน 2568 รวม 9 วัน โดยคาดการณ์ว่าจะมีผู้โดยสารใช้บริการเพิ่มขึ้นจากเทศกาลสงกรานต์ 2567 ประมาณ 15 % ซึ่งได้เตรียมรถเสริม ซึ่งเป็นรถโดยสารไม่ประจำทาง (รถทะเบียน 30) ประมาณ 700-1,000 คัน เพื่ออำนวยความสะดวกผู้โดยสารให้เพียงพอต่อความต้องการในการเดินทางทั้งเที่ยวไป และกลับ โดยไม่ให้มีผู้โดยสารตกค้าง นอก จากนี้ ยังจัดจุดบริการรถเมล์ ขสมก. บริการรับ-ส่งประชาชนภายในสถานีขนส่งฯ หมอชิต 2 จำนวน 15 เส้นทาง และในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ ขสมก. ได้จัดรถ Shuttle Bus บริการเชื่อมต่อระหว่างสถานีขนส่งฯ หมอชิต 2, สถานีรถไฟฟ้า BTS หมอชิต และ MRT สวนจตุจักร ช่วงเวลา 04.00-22.00 น. (ช่วงเวลา 04.00-08.00 น. รถออกทุก 15 นาที) เพิ่มความสะดวกในการเดินทาง ตลอดจนมาตรการด้านความปลอดภัยทั้งสถานีขนส่งผู้โดยสาร ได้ประสานขอความร่วมมือตำรวจ ทหาร เข้ามาอำนวยความสะดวกดูแลความปลอดภัย รวมถึงตรวจสอบสภาพรถโดยสาร และพนักงานขับรถ จะต้องมีความพร้อมก่อนให้บริการ มีอุปกรณ์ส่วนควบเพื่อความปลอดภัยในการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 นี้
...............................................................................................................................
กรมทางหลวงชนบท ชวนใช้ถนนรอง เลี่ยงรถติด สงกรานต์ 2568
กรมทางหลวงชนบท ชวนใช้ถนนสายรอง เลี่ยงถนนสายหลัก บรรเทาปริมาณการจราจร อำนวยความสะดวก ปลอดภัยตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 ขอแนะนำเส้นทางเลี่ยงให้แก่ประชาชน จำ นวน 5 เส้นทาง เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้วางแผนก่อนการเดินทาง
เส้นทางเลี่ยง ถ. กัลปพฤกษ์ ถ. ราชพฤกษ์ ถ. นครอินทร์
เส้นทางเลี่ยงไปยังภาคใต้
ต้นทาง กลุ่มเขตกรุงเทพกลาง, กรุงเทพใต้ อาทิ เขตพระนคร พญาไท ดินแดง บางรัก สาทร คลองเตย เริ่มจาก (จุดที่ 1) ข้ามสะพานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือสะพานตากสิน มุ่งหน้าสู่ถนนทางหลวงชนบทสาย กท.1001 (ถนนกัลปพฤกษ์) เพื่อเดินทางต่อไปยังถนนกาญจนาภิเษก (จุดที่ 2) ต่อไป
ต้นทาง กลุ่มเขตกรุงเทพเหนือ อาทิ จตุจักร บางเขน ดอนเมือง เริ่มจากแยกเกษตร (จุดที่ 4) เลี้ยวซ้ายแยกแคราย ข้ามสะพานพระราม 5 เลี้ยวซ้าย (จุดที่ 3) เข้าสู่ถนนทางหลวงชนบทสาย นบ.3021 (ถนนราชพฤกษ์) เพื่อเดินทางต่อไปยังถนนกาญจนาภิเษกต่อไป
เส้นทางเลี่ยงไปยังภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ต้นทาง กลุ่มเขตกรุงเทพกลาง, กรุงเทพใต้ เริ่มจาก (จุดที่ 1) ข้ามสะพานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือสะพานตากสิน จากนั้นเลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนทางหลวงชนบทสาย นบ.3021 (ถนนราชพฤกษ์ ) เดินทางต่อบนสายทาง เพื่อมุ่งหน้าสู่ ทล.346 (จุดที่ 7) ต่อไป
ต้นทาง กลุ่มเขตกรุงเทพเหนือ เริ่มจากวงเวียนบางเขน (จุดที่ 5) ใช้ ทล.304 ถนนแจ้งวัฒนะ จากนั้นเดินทางต่อจนถึงสะพานพระราม 4 ข้ามสะพานพระราม 4 แล้วใช้ถนนทางหลวงชนบทสาย นบ.3030 (ถนนชัยพฤกษ์) จากนั้นเลี้ยวขวาแยกวงแหวนราชพฤกษ์-ชัยพฤกษ์ (จุดที่ 6) เพื่อใช้ถนนทางหลวงชนบทสาย นบ.3021 (ถนนราชพฤกษ์) มุ่งหน้าสู่ ทล.346 (จุดที่ 7) ต่อไป
เส้นทางเลี่ยง จ. เพชรบุรี ถ. เพชรเกษม
เส้นทางเลี่ยงการจราจรจังหวัดสมุทรสงคราม-จังหวัดเพชรบุรี
เส้นทางเลี่ยง ทล.4 (ถนนเพชรเกษม) เริ่มจาก ทล.35 กม.ที่ 73+070 (จุดที่ 1) เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนทางหลวงชนบทสาย สส.2021 เดินทางเลียบชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของอ่าวไทย ตามเส้นทาง Thailand Riviera ระยะทางประมาณ 76 กม. เพื่อเข้าสู่ ทล.4 กม.ที่ 169+070 มุ่งสู่อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี (จุดที่ 2) ต่อไป
เส้นทางเลี่ยง เขตหนองจอก (จากกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก)
เส้นทางเลี่ยงจากเขตหนองจอก (กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก) สู่ ทล.1 อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี เริ่มต้นจากสี่แยกเขตหนองจอก (จุดที่ 2) เลี้ยวขวาไปจนถึงถนนทางหลวงชนบทสาย ปท.3035 ขับต่อไปอีก 25.4 กม. (ตัดกับ ทล.305) (จุดที่ 3) เพื่อเดินทางต่อไปยังถนนทางหลวงชนบทสาย ปท.3026 อีก 33 กม. จะไปถึง ทล.1 (ถนนพหลโยธิน) อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี (จุดที่ 4)
เส้นทางเลี่ยง จ. นครราชสีมา ใช้เป็นทางเลี่ยง ถ. มิตรภาพ
เส้นทางเลี่ยง ทล.2 (ถนนมิตรภาพ) เริ่มจาก (จุดที่ 1) ทล.2 กม.ที่ 102+135 เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ ทล.201 (จุดที่ 2) เดินทางต่อเป็นระยะทาง 41 กม. จนถึง กม.ที่ 41+000 เลี้ยวขวาเข้าสู่ ทล.2148 (จุดที่ 3) เดินทางต่อเป็นระยะทาง 3.4 กม. จนถึง กม.ที่ 3+400 เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนทางหลวงชนบทสาย นม.4008 (จุดที่ 4) เดินทางต่อเป็นระยะทาง 23.1 กม. จะบรรจบกับ ทล.2369 (จุดที่ 5) เดินทางต่อเป็นระยะทาง 30.8 กม. จนถึง กม.ที่ 30+800 (จุดที่ 6) เข้าสู่ ทล.2246 เดินทางต่อเป็นระยะทาง 65.5 กม. จะบรรจบกับ ทล.2 กม.ที่ 257+65 แล้วเลี้ยวซ้าย (จุดที่ 7) เพื่อเดินทางมุ่งสู่จังหวัดขอน แก่น
เส้นทางเลี่ยงก่อนเข้าสู่ตัวเมือง จ. นครสวรรค์ เส้นทางเลี่ยงฝั่งตะวันตก
เส้นทางเลี่ยงตัวเมือง จังหวัดนครสวรรค์ ใช้เส้นทางเลี่ยงฝั่งตะวันตก แยกออกไปตาม ทล.333 ผ่านอำเภอเมืองอุทัย จังหวัดอุทัยธานี (จุดที่ 2) ต่อเนื่องไปยัง ทล.3221 ผ่านอำเภอทัพทัน (จุดที่ 3) ทล.3013 (จุดที่ 4) ผ่านอำเภอสว่างอารมณ์ อำเภอลาดยาว (จุดที่ 4) ก่อนเข้าสู่ถนนทางหลวงชนบทสาย นว.1001 เพื่อเชื่อมต่อไปยัง ทล.1 (จุดที่ 5) ก่อนเดินทางสู่จังหวัดกำแพงเพชรต่อไป
เส้นทางเลือกออกสู่อีสานใต้
เส้นทางเลือก จ. สระบุรี-อีสานใต้ โดยให้ใช้ถนนทางหลวงชนบท นม.1016 และ นม.3052 เชื่อมระหว่าง อ. มวกเหล็ก จ. สระบุรี และ อ. วังน้ำเขียว จ. นครราชสีมา เพื่อมุ่งหน้าสู่อีสานใต้
เส้นทางเลี่ยงจากภาคตะวันออก สู่ภาคอีสาน
เส้นทางเลี่ยงจากภาคตะวันออก (สระแก้ว)-ไปสู่ภาคอีสาน (บุรีรัมย์) มีเพิ่มช่องทาง ตชด.ช่องตากิ่ว (ช่องทางธรรมชาติเขาช่องตากิ่ว ทล.3446) เริ่มต้นที่ อ. ตาพระยา จ. สระแก้ว วิ่งไปตามถนน สก.4023 และ สก.3069 ก่อนถึงจุดตรวจเข้าสู่เส้นทางธรรมชาติ (17.5 กม.) ทะลุไปถึงถนน บร.3066 ไปเชื่อมกับ ทล.224 ไปสู่ อ. ประโคนชัย จ. บุรีรัมย์ และออกสู่ภูมิภาคอีสานใต้
เส้นทางเลี่ยง ถ.พหลโยธิน
เส้นทางเลี่ยงการจราจร จ. สระบุรี เพื่อเลี่ยงการจราจร ทล.1 (ถนนพหลโยธิน) ช่วง อ. วังน้อย จ. พระนครศรีอยุธยา ถึงตัวเมืองสระบุรี โดยให้ใช้ทางหลวงชนบท สบ.4051 และ สบ.3021 เพื่อมุ่งหน้าสู่ จ. ลพบุรี เพชรบูรณ์ และนครราชสีมา
เส้นทางลัดจากภาคตะวันออก ผ่านบ้านนา สู่แก่งคอย
เส้นทางเลี่ยงจากภาคตะวันออก (จ. ฉะเชิงเทรา) แยกออกจาก ทล.304 ผ่าน ทล.365 ถึงแยกบางขวัญ เข้าสู่ อ. บางน้ำเปรี้ยว เข้าสู่ถนน นย.3001 วิ่งตรงยาวตลอด 34.0 กม. ถึง อ. องค์รักษ์ และเดินทางต่อไปถึง ทล.2 (ถ.มิตรภาพ) อ. แก่งคอย จ. สระบุรี
เส้นทางเลี่ยงทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 32 (สายเอเชีย)
เส้นทางเลี่ยงการจราจร จ. สิงห์บุรี-ชัยนาท สามารถเลี่ยงการจราจร ทล.32 (ถนนสายเอเชีย) ช่วง จ. สิงห์บุรี-ชัยนาท โดยให้ใช้ทางหลวงชนบท สห.4035 สห.5040 และ ชน.4050 มุ่งหน้าขึ้นสู่ภาคเหนือ
กรมทางหลวงชนบทแนะนำให้ประชาชนศึกษาเส้นทาง และวางแผนก่อนออกเดินทาง ใช้รถใช้ถนนอย่างระมัดระวัง หากต้องการความช่วยเหลือหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่แขวงทางหลวงชนบทในพื้นที่ หรือสายด่วน ทช. 1146
