ธุรกิจ
MGC-Asia ไตรมาสแรก 68 กำไรพุ่งกระฉูด 678 % (YoY)

บมจ.มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) หรือ MGC-Asia โชว์ฟอร์มเจ๋ง ไตรมาส 1/2568 กวาดกำไรสุทธิ 55 ล้านบาท พุ่ง 678 % (YoY) ขณะที่ EBITDA แตะ 432 ล้านบาท เติบโต 19 % (YoY) รับเมกะทเรนด์ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับพรีเมียม-เทค อย่าง Xpeng (เอกซ์เผิง) และ Zeekr (ซีเคอร์) ยานยนต์ไฟฟ้าพรีเมียม-ลักชัวรีดีมานด์ส่งมอบพุ่งต่อเนื่อง
ดร. สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ช่วงไตรมาสแรกกลุ่มบริษัทจดทะเบียน ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เริ่มส่งสัญญาณการชะลอตัว ซึ่งเป็นผลจากแรงกดดันจากวิกฤตสงครามการค้า ทำให้สภาพเศรษฐกิจทั่วโลกเกิดความผันผวน และเริ่มเปราะบางมากขึ้น แต่ MGC-Asia ยังคงเดินหน้าฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ โดยมุ่งปรับกลยุทธ์ และโครงสร้างการดำเนินงานเน้นสร้างความแข็งแกร่งให้ระบบนิเวศธุรกิจ ด้วยการสนับสนุนกลุ่มธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง และยั่งยืน เพื่อสร้างโอกาส และเสริมพลังร่วมกันระหว่างธุรกิจ พร้อมขับเคลื่อนกลยุทธ์ที่ทันสมัย มุ่งสู่การสร้าง New S-Curve และกระจายรายได้ในอนาคต
จากกลยุทธ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงผลประกอบการในไตรมาส 1/2568 ของบริษัทฯ ที่มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยในส่วนของธุรกิจจำหน่ายยานยนต์ มีรายได้อยู่ที่ 2,650.30 ล้านบาท เนื่องจากมีการส่งมอบรถยนต์ที่รับจองในงานบางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 ระหว่างวันที่ 26 มีค.-6 เม.ย 2568 โดยเฉพาะ Xpeng ซึ่งเป็นยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับพรีเมียม-เทค และ Zeekr ยานยนต์ไฟฟ้าพรีเมียม-ลักชัวรี ที่มีกระแสตอบรับดีมาก ทำให้ยอดจองซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดย Xpeng มียอดจอง 1,399 คัน ทำให้เกิดการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุนจาก บริษัท นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย จำกัด ที่ให้บริการทั้งจัดจำหน่าย และธุรกิจเกี่ยวเนื่องในกลุ่มธุรกิจ EV ทั้งหมด
นอกจากนี้ ในกลุ่มธุรกิจให้บริการหลังการขาย และให้บริการซ่อมบำรุงรถยนต์อิสระ มีรายได้อยู่ที่ 952.20 ล้านบาท จากมียอดการเข้าใช้บริการเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งศูนย์บริการซ่อมบำรุงรถยนต์แบบครบวงจร (One-Stop Service) และการให้บริการซ่อมสี และตัวถังยานยนต์ไฟฟ้า Tesla Approved Body Shop (TAB) ตอกย้ำถึงศักยภาพการให้บริการด้านการจัดการ งานบริการซ่อมได้ครอบคลุมทุกมิติ ตามมาตรฐานสากล ทำให้ธุรกิจในกลุ่มนี้สามารถสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ให้แก่บริษัทฯได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันในกลุ่มธุรกิจให้บริการรถเช่า และพนักงานขับ มีรายได้อยู่ที่ 426.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.20 % (YoY) จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามจำนวนรถยนต์ในฟลีท โดยบริษัท มาสเตอร์ คาร์ เร้นเทิล จำกัด (MCR) หนึ่งในผู้นำด้านการให้บริการรถเช่าระยะยาว ขณะที่ Sixt รถเช่า ประเทศไทย (Sixt) ผู้ให้บริการรถเช่าระยะสั้น สำหรับบุคคลทั่วไป มีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าการท่องเที่ยวโดยรวมจะชะลอตัว แต่ Sixt มีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากฐานลูกค้า Sixt เป็นลูกค้ากลุ่มพรีเมียม-ลักชัวรี และกลุ่มลูกค้า Self Drive จึงไม่ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ บริษัทยังเร่งเดินหน้าขยายสาขาทั่วประเทศ จากปัจจุบันขยายจำนวนรถเพิ่มขึ้นกว่า 20 % และเพิ่มรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า ระดับพรีเมียม-ลักชัวรี ที่ยังคงมีดีมานด์การใช้เพิ่มขึ้น
ส่วนธุรกิจให้บริการด้านการเงิน ภายใต้ บริษัท อัลฟา เอกซ์ จำกัด (Alpha X) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และมีผลการดำเนินงานเป็นไปตามแผนธุรกิจหลัก 3 ด้าน ได้แก่ 1. การเติบโตด้วยธุรกิจ Wealth Lending ซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มมั่งคั่ง (Ultra-High Net Worth), 2. การควบคุมต้นทุนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับการเติบโตของธุรกิจ และ 3. การจัดการหนี้ด้อยคุณภาพ ที่แม้ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเร็ว และสูงกว่าที่คาดจากลูกหนี้กลุ่มที่บริษัทรับเข้ามาตั้งแต่ช่วงเริ่มธุรกิจที่ด้อยคุณภาพลงจากภาวะเศรษฐกิจ และความผันผวนของตลาดทุน แต่ด้วยการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บริษัทฯสามารถมีผลกำไรได้ตามแผนที่วางไว้
นอกจากนี้ ธุรกิจบริการประกันภัย ที่บริหารงานโดย บริษัท ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด (Howden Maxi) สามารถทำรายได้แตะระดับ 86 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 23 ล้านบาท (YoY) จากทีมงานที่สามารถสร้างรายได้มากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทั้งจากลูกค้าเก่า และลูกค้าใหม่ ได้แก่ ทีมรถยนต์, ประกันภัยต่อ, ทีมงานอัญมณีเครื่องประดับ, งานศิลปะ, ทีมงานประกันภัยทางการเงิน และทีมงานประกันภัยไซเบอร์ ขณะเดียวกันยังเดินหน้ารักษาการต่อสัญญาของลูกค้าเดิม และขยายสู่กลุ่มลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับภาพรวมผลการดำเนินในช่วงครึ่งปีแรก ของปี 2568 นั้น ดร. สัณหวุฒิ กล่าวตอกย้ำว่า บริษัทฯ ยังคงวางกลยุทธ์สู่การต่อยอดการเติบโตใน 4 ธุรกิจสู่การสร้าง New S-Curve อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างอัตราผลตอบแทนอย่างมั่นคง และยั่งยืน โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า Xpeng ที่เตรียมทยอยส่งมอบให้ลูกค้าในช่วงไตรมาส 2/2568 อีกกว่า 1,500 คัน ขณะที่ Zeekr ก็มีแนวโน้มส่งมอบรถอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ตามทเรนด์รถ EV ที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน ส่งผลให้ ณ วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 บริษัทฯ มีสินค้ารอส่งมอบ (Backlog) 2,159 คัน แบ่งเป็น Xpeng จำนวน 1,265 คัน, Zeekr จำนวน 248 คัน, Rolls-Royce (โรลล์ส-รอยศ์) จำนวน 8 คัน, BMW (บีเอมดับเบิลยู) จำนวน 179 คัน, MINI (มีนี) จำนวน 62 คัน, Honda (ฮอนดา) จำนวน 228 คัน, Harley-Davidson (ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน) จำนวน 67 คัน และ BMW Motorrad (บีเอมดับเบิลยู มอเตอร์ราด) จำนวน 102 คัน
ขณะที่ธุรกิจบริการด้านการเงิน Alpha X ที่จะมุ่งเน้นการเติบโตการให้สินเชื่อ Wealth Lending ในอัตราที่เพิ่มขึ้น คาดว่าแนวโน้มจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยสนับสนุนกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25 % จาก 2 % เหลือ 1.75 % เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบวกต่อธุรกิจที่สามารถเปิดโอกาสให้การลงทุนและสินเชื่อเอกชนกลับมาฟื้นตัว ส่งผลให้ Alpha X ได้รับปัจจัยบวกจากกรณีดังกล่าวที่จะสามารถขยายพอร์ทสินเชื่อ Wealth Lending เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้า Ultra-High Net Worth ได้เพิ่มมากขึ้น
ขณะเดียวกัน บริษัท ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด วางกลยุทธ์การเติบโตด้วยการขับเคลื่อนธุรกิจบริการด้านประกันภัยอย่างต่อเนื่อง โดยนอกจากการให้บริการประกันภัยรถยนต์ที่เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์หลัก ทางบริษัทฯ ได้มีการขยายการให้บริการครอบคลุมไปยังภาคพลังงาน และพลังงานทางเลือก (Renewable Energy) ที่สอดคล้องกับนโยบายลดมลพิษทางอากาศของประเทศ โดยในช่วงปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มุ่งเน้นให้บริการด้านการประกันภัยที่ตอบโจทย์ต่อการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) รวมถึงให้คำปรึกษาด้านการบริหารความเสี่ยงสำหรับองค์กรที่กำลังดำเนินธุรกิจตามแนวทางความยั่งยืน รวมทั้งยังได้ให้บริการด้านประกันคาร์บอนเครดิท (Carbon Credit Insurance) เพื่อสนับสนุนกลุ่มลูกค้าที่มุ่งมั่นในการลดการปล่อยแกสเรือนกระจก เพื่อต่อยอดธุรกิจให้อยู่บนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อสังคม และรักษาสิ่งแวดล้อมให้อยู่อย่างยั่งยืน
อีกทั้งในหนึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่น ได้แก่ กลุ่มประกันภัยไซเบอร์ (Cyber Insurance) ซึ่งสอดรับกับสถานการณ์ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี และภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯ ได้พัฒนาแผนความคุ้มครองที่ตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรทุกขนาด เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่ลูกค้า และสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว