ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
สอท. เผยยอดผลิตเดือน มิย. เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.98
เดือนมิถุนายน 2568 ผลิตรถยนต์ 130,223 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.98 ขาย 50,079 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.07 ส่งออก 88,085 คัน ลดลงร้อยละ 1.11 ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 3,304 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 314.55 ขายรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) 9,373 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 74.87 พร้อมปรับยอดผลิตปี 2568 เหลือ 1,450,000 คัน
สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยจำนวนการผลิต ยอดขายภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ของประเทศ ในเดือนมิถุนายน 2568 ดังต่อไปนี้
การผลิต
จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนมิถุนายน 2568 มีทั้งสิ้น 130,223 คัน ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2568 ร้อยละ 6.44 แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ11.98 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน โดยเพิ่มขึ้นจากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) เพิ่มขึ้นร้อยละ 314.55 และผลิตรถกระบะเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.39 จากการผลิตรถกระบะส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.00 และผลิตเพื่อขายในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.27 จากฐานต่ำในเดือนเดียวกันปีที่แล้ว
จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม-มิถุนายน 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 724,715 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 4.80
รถยนต์นั่ง เดือนมิถุนายน 2568 ผลิตได้ 51,019 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 18.56 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง Internal Combustion Engine มีจำนวน 27,020 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 9.61
• รถยนต์นั่ง Battery Electric Vehicle มีจำนวน 3,304 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 314.55
• รถยนต์นั่ง Plug-in Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 317 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน2567 ร้อยละ 46.99
• รถยนต์นั่ง Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 20,378 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 73.52
ยอดผลิตของรถยนต์นั่ง ตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2568 มีจำนวน 264,668 คัน เท่ากับร้อยละ 36.52 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 6.55 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง Internal Combustion Engine มีจำนวน 118,730 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 33.04
• รถยนต์นั่ง Battery Electric Vehicle มีจำนวน 23,798 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 380.48
• รถยนต์นั่ง Plug-in Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 9,937 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 211.60
• รถยนต์นั่ง Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 112,203 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 14.77
รถยนต์โดยสารขนาดต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตันขึ้นไป ในเดือนมิถุนายน 2568 ไม่มีการผลิต รวมเดือนมกราคม-มิถุนายน 2568 ไม่มีการผลิต
รถยนต์บรรทุก เดือนมิถุนายน 2568 ผลิตได้ทั้งหมด 79,204 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 8.12 และตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2568 ผลิตได้ทั้งสิ้น 460,047 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 3.76
รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนมิถุนายน 2568 ผลิตได้ทั้งหมด 78,492 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 8.39 และตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2568 ผลิตได้ทั้งสิ้น 455,678 คัน เท่ากับร้อยละ 62.88 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 2.37 โดยแบ่งเป็น
• รถกระบะบรรทุก 73,057 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 6.29
• รถกระบะ Double Cab 293,028 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 5.24
• รถกระบะ Double Cab BEV 90 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 100
• รถกระบะ PPV 89,503 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 12.51 รถบรรทุกขนาดต่ำกว่า 5 ตัน-มากกว่า 10 ตัน เดือนมิถุนายน 2568 ผลิตได้ 712 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 15.14 รวมเดือนมกราคม-มิถุนายน 2568 ผลิตได้ 4,369 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 61.23
ผลิตเพื่อส่งออก
เดือนมิถุนายน 2568 ผลิตได้ 84,918 คัน เท่ากับร้อยละ 65.21 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 3.85 ส่วนเดือนมกราคม-มิถุนายน 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ 475,013 คัน เท่ากับร้อยละ 65.54 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 7.98
รถยนต์นั่ง เดือนมิถุนายน 2568 ผลิตเพื่อการส่งออก 24,454 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 3.50 และตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 97,570 คัน เท่ากับร้อยละ 36.87 ของยอดผลิตรถยนต์นั่ง ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 35.60
รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนมิถุนายน 2568 มียอดการผลิตเพื่อการส่งออก 60,464 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 4 และตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 377,443 คัน เท่ากับร้อยละ 82.83 ของยอดการผลิตรถกระบะ เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 3.50 โดยแบ่งเป็น
• รถกระบะบรรทุก 41,536 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 34.54
• รถกระบะ Double Cab 265,833 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 1.28
• รถกระบะ PPV 70,074 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 8.62
ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ
เดือนมิถุนายน 2568 ผลิตได้ 45,305 คัน เท่ากับร้อยละ 34.79 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 31.24 และเดือนมกราคม-มิถุนายน 2568 ผลิตได้ 249,702 คัน เท่ากับร้อยละ 34.46 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 1.90
รถยนต์นั่ง เดือนมิถุนายน 2568 ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 26,565 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 36.89 และตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ผลิตได้ 167,098 คัน เท่ากับร้อยละ 63.13 ของยอดการผลิตรถยนต์นั่ง โดยเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.86
รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนมิถุนายน 2568 มียอดการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 18,028 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 26.27 และตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2568 ผลิตได้ทั้งสิ้น 78,235 คัน เท่ากับร้อยละ 17.17 ของยอดการผลิตรถกระบะ และลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 23.35 ซึ่งแบ่งเป็น
• รถกระบะบรรทุก 31,611 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 33
• รถกระบะ Double Cab 27,195 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 31.74
• รถกระบะ PPV 19,429 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 29.16
รถยนต์โดยสารขนาดต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตันขึ้นไป ในเดือนมิถุนายน 2568 ไม่มีการผลิต รวมเดือนมกราคม-มิถุนายน 2568 ไม่มีการผลิต
รถบรรทุก เดือนมิถุนายน 2568 ผลิตได้ 712 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 15.14 และตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2568 ผลิตได้ทั้งสิ้น 4,369 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 61.23
รถจักรยานยนต์
เดือนมิถุนายน 2568 ผลิตรถจักรยานยนต์ได้ทั้งสิ้น 205,565 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 12.01 แยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 176,134 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 12.48 และชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 29,431 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 9.29
ยอดการผลิตรถจักรยานยนต์ เดือนมกราคม-มิถุนายน 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,269,946 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 6.08 โดยแยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 1,041,992 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 4.77 และชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 227,954 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 12.50
ยอดขาย
ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนมิถุนายน 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 50,079 คัน ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2568 ร้อยละ 4.12 แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 5.07 เพราะฐานต่ำของปีที่แล้วจากยอดขายที่ลดลงตั้งแต่เดือนเมษายน 2566 เป็นต้นมา เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันจากการขายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และรถ PPV เพิ่มขึ้นจากการออกรุ่นใหม่ของบางบริษัท แต่รถกระบะยังคงขายลดลงร้อยละ 19.9 จากการเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินเพราะหนี้ครัวเรือนสูง และเศรษฐกิจในประเทศยังคงอ่อนแอจากการลงทุนภาคเอกชน ไตรมาส 1 ของปี 2568 ลดลงร้อยละ 0.9 จากไตรมาส 1 ของปีก่อน ส่งผลให้แรงงาน โดยภาคการผลิตลดลง 0.4 % สาขาก่อสร้างลดลง 5.1 % อำนาจซื้อของประชาชนจึงอ่อนแอ
รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 32,252 คัน เท่ากับร้อยละ 64.40 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 14.80
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE) 12,242 คัน เท่ากับร้อยละ 24.45 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 3.36
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 9,263 คัน เท่ากับร้อยละ 18.50 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 72.82
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) 557 คัน เท่ากับร้อยละ 1.11 ของยอดขายทั้งหมดเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 150.90
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) 10,190 คัน เท่ากับร้อยละ 20.35 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 3.49
รถกระบะ มีจำนวน 11,153 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 20.74 รถกระบะไฟฟ้า (BEV) มีจำนวน 110 คัน ในปีที่แล้วไม่มียอดจำหน่าย รถกระบะ REEV มีจำนวน 6 คัน ในปีที่แล้วไม่มียอดจำหน่าย รถ PPV มีจำนวน 4,032 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 55.02 เพราะมีบางบริษัทแนะนำรถ PPV รุ่นใหม่สู่ตลาด ในขณะที่ปีนี้ยังไม่มีจำหน่าย รถบรรทุก 5-10 ตัน มีจำนวน 1,353 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 11.68 และรถประเภทอื่นๆ มีจำนวน 1,173 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 13.94
ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 154,317 คัน ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 6.28 แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 2.50
ตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2568 รถยนต์มียอดขาย 302,694 คัน ลดลงจากปี 2567 ในระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 1.73 แยกเป็น
รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 193,683 คัน เท่ากับร้อยละ 63.99 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 4.99
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE) 72,512 คัน เท่ากับร้อยละ 23.96 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 12.28
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 54,084 คัน เท่ากับร้อยละ 17.87 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 61.41
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) 5,004 คันเท่ากับร้อยละ 1.77 ของยอดขายทั้งหมดเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 315.96
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) 62,083 คัน เท่ากับร้อยละ20.51 ของยอดขายรถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 7.49
รถกระบะมีจำนวน 73,620 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 17.82 รถกระบะไฟฟ้า (BEV) มีจำนวน 369 คัน ปีที่แล้วไม่มียอดจำหน่าย รถกระบะ REEV มีจำนวน 6 คัน ปีที่แล้วไม่มียอดจำหน่าย รถ PPV มีจำนวน 20,714 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 9.85รถบรรทุก 5-10 ตัน มีจำนวน 7,206 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 13.59 และรถประเภทอื่นๆ มีจำนวน 7,096 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนช่วงกันในปีที่แล้ว 4.82
ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 906,165 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 1.76
การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป
เดือนมิถุนายน 2568 ส่งออกได้ 88,085 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้วร้อยละ 8.65 แต่ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 1.11 ลดลงจากการเลิกผลิตรถยนต์นั่งเพื่อส่งออกบางรุ่นจากการเข้มงวดเรื่องอุปกรณ์ช่วยเหลือการขับเพื่อความปลอดภัย และประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงของประเทศคู่ค้า
ขอบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ประเทศไทยย้อนหล้ง "เดือนเมษายน 2568 เป็นเดือนแรกที่มีการผลิตรถกระบะไฟฟ้าในประเทศไทย เดือนพฤษภาคม 2568 เป็นเดือนแรกที่ส่งออกรถกระบะไฟฟ้าจากการผลิตในประเทศไทย”
ประเภทรถยนต์ส่งออกเดือนมิถุนายน 2568 แบ่งเป็น ดังนี้
• รถกระบะ 54,988 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 62.43 ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 0.79
• รถกระบะ BEV 49 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 0.06 ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2567 ไม่มีการส่งออก
• รถยนต์นั่ง ICE 16,979 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 19.28 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 15.64
• รถยนต์นั่ง BEV 4 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 0.01 ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2567 ไม่มีการส่งออกรถยนต์นั่ง BEV
• รถยนต์นั่ง HEV 4,511 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 5.12 ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 22.25
• รถ PPV 11,554 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 13.12 ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 8.01
มูลค่าการส่งออกรถยนต์ 57,439.52 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 8.97 แต่เครื่องยนต์ และชิ้นส่วนส่งออก เพิ่มขึ้นดังนี้
• เครื่องยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 3,328.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 5.48
• ชิ้นส่วนรถยนต์อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออก 16,412.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 4.02
• อะไหล่รถยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 2,069.38 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 0.26
รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์เดือนมิถุนายน 2568 เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ มีมูลค่า79,250.39 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 5.78
เดือนมกราคม-มิถุนายน 2568 ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 459,357 คัน ลดลงจากช่วงระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 11.50 แบ่งเป็น
• รถกระบะ 294,996 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 64.22 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 2.16
• รถกระบะ BEV 71 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 0.02 ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2567 ไม่มีการส่งออก
• รถยนต์นั่ง ICE 70,630 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 15.38 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 41.22
• รถยนต์นั่ง BEV 664 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 0.21 ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2567 ไม่มีการส่งออก
• รถยนต์นั่ง HEV 26,725 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 5.82 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 2.86
• รถ PPV 66,271 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 14.43 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 5.15
มูลค่าการส่งออกรถยนต์ 314,370.86 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 13.51 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
• เครื่องยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 18,499.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 16.11
• ชิ้นส่วนรถยนต์อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออก 95,115.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 1.44
• อะไหล่รถยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 13,198.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 4.99
รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์เดือนมกราคม-มิถุนายน 2568 เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ มีมูลค่า 441,184.40 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 9.17
รถจักรยานยนต์
เดือนมิถุนายน 2568 มีจำนวนส่งออก 65,803 คัน (รวม CBU+CKD) ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2568 ร้อยละ 1.87 แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 20.27 โดยมีมูลค่า 5,074.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 22.42
• ชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 180.85 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 13.24
• อะไหล่รถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 229.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 203
รวมมูลค่าการส่งออกรถจักรยานยนต์ เดือนมิถุนายน 2568 ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ 5,484.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 23.83
เดือนมกราคม-มิถุนายน 2568 รถจักรยานยนต์ มีจำนวนส่งออก 436,178 คัน (รวม CBU+CKD) เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 5.28 มีมูลค่า 31,727.75 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 3.06
• ชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 1,079.51 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 10.82
• อะไหล่รถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 1,294.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 61.39
รวมมูลค่าการส่งออกรถจักรยานยนต์เดือนมกราคม-มิถุนายน 2568 ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 34,101.67 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 1.84
เดือนมิถุนายน 2568 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่นๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 84,734.83 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 4.30
เดือนมกราคม-มิถุนายน 2568 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ชิ้นส่วนอื่นๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 475,286.07 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 8.68
พร้อมกันนี้ยังได้ปรับเป้าการผลิตรถยนต์ปี 2568 จาก 1,500,000 คัน ลดลงร้อยละ 3.33 เป็น 1,450,000 คัน ลดลง 50,000 คัน โดยปรับเป้าเฉพาะผลิตเพื่อส่งออกลดลงร้อยละ 5 จาก 1,000,000 คัน เป็น 950,000 คัน โดยมีปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับลดเป้าหมายการผลิตเพื่อการส่งออก ดังนี้ มาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่อาจกระทบต่อมูลค่าการค้าโลก ภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัว ส่งผลให้กำลังซื้อ และยอดจำหน่ายรถยนต์ลดลง, การเพิ่มความเข้มงวดด้านข้อกำหนดการปล่อยคาร์บอน, การยุติการผลิตรถยนต์บางรุ่นเพื่อปรับไลน์การผลิตสู่รุ่นใหม่, ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาคของโลก และการรุกตลาดของรถยนต์ในประเทศคู่ค้า ซึ่งเพิ่มการแข่งขัน และกดดันยอดขาย
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท BEV เดือนมิถุนายน 2568
เดือนมิถุนายน 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่ จำนวน 15,100 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายนปีที่แล้วร้อยละ 88.99 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 13,312 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 130.99
o รถยนต์นั่ง จำนวน 12,915 คัน
o รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน จำนวน 386 คัน
o รถยนต์บริการธุรกิจ จำนวน 1 คัน
o รถยนต์บริการทัศนาจร จำนวน 10 คัน
• รถกระบะ รถแวน มีทั้งสิ้น 178 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 673.91
• รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 1,591 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 24.02
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล จำนวน 1,591 คัน
• รถโดยสาร มีทั้งสิ้น 10 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายนปีที่แล้วร้อยละ 62.96
• รถบรรทุก มีทั้งสิ้น 6 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายนปีที่แล้วร้อยละ 89.29
เดือนมกราคม-มิถุนายน 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 69,055 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายนปีที่แล้ว ร้อยละ 3.03 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 57,027 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 52.09
o รถยนต์นั่ง จำนวน 55,831 คัน
o รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน จำนวน 1,083 คัน
o รถยนต์บริการธุรกิจ จำนวน 13 คัน
o รถยนต์บริการทัศนาจร จำนวน 145 คัน
• รถกระบะ รถแวน มีทั้งสิ้น 300 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 62.16
• รถยนต์สามล้อ มีทั้งสิ้น 11 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 85.90
o รถยนต์สามล้อส่วนบุคคล จำนวน 7 คัน
o รถยนต์รับจ้างสามล้อ จำนวน 4 คัน
• รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 11,539 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 15.98
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล จำนวน 11,538 คัน
o รถจักรยานยนต์สาธารณะ จำนวน 1 คัน
• รถโดยสาร มีทั้งสิ้น 63 คัน ลดลงเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 69.71
• รถบรรทุก มีทั้งสิ้น 115 คัน ลดลงเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 45.75
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท HEV เดือนมิถุนายน 2568
เดือนมิถุนายน 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 11,520 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายนปีที่แล้วร้อยละ 8.49 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 11,384 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 9.04
o รถยนต์นั่ง จำนวน 11,340 คัน
o รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน จำนวน 6 คัน
o รถยนต์บริการธุรกิจ จำนวน 17 คัน
o รถยนต์บริการทัศนาจร จำนวน 21 คัน
• รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 136 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2567 ร้อยละ 83.78
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล จำนวน 136 คัน
เดือนมกราคม-มิถุนายน 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 72,313 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายนปีที่แล้วร้อยละ 0.57 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 71,736 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 0.13
o รถยนต์นั่ง จำนวน 71,507 คัน
o รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน จำนวน 23 คัน
o รถยนต์บริการธุรกิจ จำนวน 119 คัน
o รถยนต์บริการทัศนาจร จำนวน 85 คัน
o รถยนต์บริการให้เช่า จำนวน 2 คัน
• รถจักรยานยนต์มีทั้งสิ้น 577 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 ร้อยละ 117.74
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล จำนวน 577 คัน
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท PHEV เดือนมิถุนายน 2568
เดือนมิถุนายน 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (PHEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 1,524 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายนปีที่แล้วร้อยละ 80.78 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น1,524 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายนปีที่แล้วร้อยละ 80.78
o รถยนต์นั่งจำนวน 1,519 คัน
o รถยนต์บริการทัศนาจร 5 คัน
เดือนมกราคม-มิถุนายน 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (PHEV) จดทะเบียนใหม่สะสม มีจำนวน 11,346 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายนปีที่แล้วร้อยละ 131.74 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 11,346 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-มิถุนายนปีที่แล้วร้อยละ 131.74
o รถยนต์นั่ง จำนวน 11,318 คัน
o รถยนต์บริการธุรกิจ จำนวน 20 คัน
o รถยนต์บริการทัศนาจร จำนวน 8 คัน
ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV มีจำนวนทั้งสิ้น 296,784 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 61.98 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 217,093 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 70.89
o รถยนต์นั่ง มีจำนวน 212,313 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 69.77
o รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน มีจำนวน 3,568 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 133.81
o รถยนต์บริการธุรกิจ มีจำนวน 220 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 228.36
o รถยนต์บริการทัศนาจร มีจำนวน 203 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567ร้อยละ 82.88
o รถยนต์บริการให้เช่า มีจำนวน 3 คัน ซึ่งในช่วงเดียวกันไม่มีการจดทะเบียน
o รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอีเลคทรอนิค มีจำนวน 786 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 192.19
• รถกระบะ และรถแวน มีจำนวน 1,181 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 151.81
• รถยนต์สามล้อ มีจำนวนทั้งสิ้น 1,030 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 6.30
o รถยนต์สามล้อส่วนบุคคล มีจำนวน 119 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 23.96
o รถยนต์รับจ้างสามล้อ มีจำนวน 911 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 4.35
• รถจักรยานยนต์ มีจำนวนทั้งสิ้น 73,617 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 42.72
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล มีจำนวน 73,512 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 42.83
o รถจักรยานยนต์สาธารณะ มีจำนวน 105 คัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 21.64
• อื่นๆ
o รถโดยสาร มีจำนวนทั้งสิ้น 2,848 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 8.37
o รถบรรทุก มีจำนวนทั้งสิ้น 1,015 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 95.95
ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV มีจำนวนทั้งสิ้น 542,371 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 30.73 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 532,580 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 31.29
o รถยนต์นั่ง มีจำนวน 531,171 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 31.24
o รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารฯ มีจำนวน 512 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี2567 ร้อยละ 4.49
o รถยนต์บริการธุรกิจ มีจำนวน 193 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 191.42
o รถยนต์บริการทัศนาจร มีจำนวน 305 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 62.23
o รถยนต์บริการให้เช่า มีจำนวน 7 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 40
o รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอีเลคทรอนิค มีจำนวน 392 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 139.02
• รถกระบะ และรถแวน มีจำนวน 1 คัน เท่ากับช่วงเวลาเดียวกันปี 2567
• รถจักรยานยนต์ มีจำนวนทั้งสิ้น 9,788 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 5.94
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล มีจำนวน 9,788คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 5.94
• อื่นๆ
o รถโดยสาร มีจำนวนทั้งสิ้น 2 คัน ซึ่งเท่ากับช่วงเวลาเดียวกันปี 2567
ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท PHEV ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท PHEV มีจำนวนทั้งสิ้น74,557 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 26.85 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้
• รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 74,557 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 26.85
o รถยนต์นั่งมีจำนวน 74,458 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 26.85
o รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7คน มีจำนวน 1 คัน ในปี 2567 ยังไม่มีการจดทะเบียน
o รถยนต์บริการธุรกิจ มีจำนวน 60 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 46.34
o รถยนต์บริการทัศนาจร มีจำนวน 27 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 3.85
o รถยนต์บริการให้เช่า มีจำนวน 5 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 66.67
o รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอีเลคทรอนิค มีจำนวน 6 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 20
.......................................................................................................................
Volvo EX30 Cross Country ยกระดับ ปรับมุมมอง คนเดินทาง
ครอสส์โอเวอร์ เอสยูวีไฟฟ้าปรุงรสใหม่ เข้มข้น
Volvo (โวลโว) ต่อยอดจากความสำเร็จของรุ่นมาตรฐานอย่าง EX30 (อีเอกซ์ 30) ครอสส์โอเวอร์ เอสยูวีไฟฟ้าขนาดเล็ก ด้วยรุ่นยกสูง Cross Country (ครอสส์คันทรี) หรือเรียกเต็มๆ ว่า EX30 Ultra Twin Performance Cross Country
โดย EX30 รุ่นนี้ จะมีให้เลือกเพียง 2 สี คือ สีเทา กับสีขาว
กระจังหน้าสีดำด้านที่แต่งเติมลวดลายกราฟิคความสูงของเทือกเขาทางตอนเหนือของสวีเดน พร้อมใส่ Latitude Longitude
ออกแบบกันชนหน้า และขยายซุ้มล้อสีดำด้าน
แผ่นกันกระแทกหน้า และหลังสีเทา (Vapour Grey) แบบด้าน แผงด้านหลังตกแต่งด้วยผิวสีดำด้าน
โลโก CROSS COUNTRY ที่กันชนล่างด้านหลัง และบริเวณเสา C
EX30 รุ่น Cross Country มีความสูงจากพื้นถนนมากกว่า EX30 เดิมๆ เกือบ 2 ซม (19 มม. มาจากแชสซีส์ 12 มม. และจากล้อ 7 มม.)
Volvo ใช้ล้อดีไซจ์นใหม่สำหรับรุ่น Cross Country ขนาด 19 นิ้ว แบบ 5 ก้าน สีเทากราไฟท์ด้าน และดำด้าน มาพร้อมยาง Summer Tires ขนาดใหญ่ 720 มม. (235/50/19)
ภายในกว้างขวางกว่าเดิม...สีใหม่
ภายในห้องโดยสาร EX30 รุ่น Cross Country นี้มาพร้อมเบาะนั่งบุผ้า 2 สี สีโทนน้ำเงินเข้ม Indigo และสีใหม่ เขียว Pine
เบาะด้านคนขับมาพร้อมโหมด Relax ปรับเอนนอน ปิดกระจก
เบาะบุผ้าสีเขียว Pine มีเฉพาะตัวรถสีเทา
Volvo ยังเพิ่มฟีเจอร์ระบบทำความร้อน ที่เบาะนั่งคู่หน้า และพวงมาลัย
ย้ายลำโพงจากบริเวณแผงประตูมาติดตั้งรวมไว้บนซาวน์ดบาร์บริเวณคอนโซลหน้า เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของขนาดใหญ่ตรงประตูให้สามารถใส่สัมภาระชิ้นใหญ่ได้มากขึ้น
ที่วางแก้วน้ำ 2 ชุดแบบพับเก็บได้ และสวิทช์ควบคุมกระจกไฟฟ้ามาอยู่ในตำแหน่งที่วางแขนกลาง และชุดควบคุมลอค และเปิดลอคประตู ชุดเดียวสามารถควบคุมได้ทั้งคนขับ และผู้โดยสารด้านหน้า
สวิทช์ควบคุมกระจกไฟฟ้าซ้าย-ขวาอยู่ด้านหลังที่เท้าแขน ชุดเดียวสำหรับผู้โดยสารทั้งฝั่งซ้าย และขวา ไม่มีที่วางแก้วน้ำ
ห้องเก็บสัมภาระขนาดใหญ่
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 3.7 วินาที
EX30 Cross Country มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และมอเตอร์คู่เหมือนรุ่น EX30 Twin Motor Performance ตัวหน้า 115 กิโลวัตต์/156 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 200 นิวทันเมตร/20.4 กก.ม. กับหลัง 272 แรงม้า ได้กำลังรวม 315 กิโลวัตต์/428 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 543 นิวทันเมตร/55.4 กก.ม.
ใช้แบทเตอรีชนิด Lithium-ion Nickel Rich (NMC) ความจุ 69.0 กิโลวัตต์ชั่วโมง ขับได้ไกลสูงสุดถึง 490 กม. (Eco-Sticker) มาพร้อมระบบการชาร์จเร็ว DC ขนาด 175 กิโลวัตต์ จาก 10-80 % ใช้เวลาเพียง 28 นาที
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. จาก 3.6 วินาที ในตัวมาตรฐาน เพิ่มเป็น 3.7 วินาที
มีโหมดการใช้งานให้เลือก 3 โหมด ได้แก่ Rear ขับเคลื่อนล้อหลัง Normal เพิ่มกำลังขับเคลื่อนล้อหน้าอัตโนมัติ และ Performance ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา
ปรับแต่งระบบช่วงล่างเพิ่มความนุ่มนวล และความสบาย พร้อมประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน ในทุกรูปแบบการขับขี่
แม้ว่ารอบนี้ จะเป็นการทดลองขับในช่วงสั้นๆ แต่ก็ได้ลองสมรรถนะในรูปแบบที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในเส้นทางปกติ เส้นทางที่เป็นทางดิน ทางฝุ่น ในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้สมกับชื่อ Cross Country
พละกำลัง 315 กิโลวัตต์ ของ EX30 Twin Motor ที่มีมาให้อย่างเหลือเฟือถูกปรับใช้อย่างเหมาะสมในโหมดที่เป็น Normal แล้วมาอย่างเต็มที่ในช่วงที่ใช้แบบ Performance มอเตอร์คู่ที่แบ่งจ่ายกำลังชุดหน้า และหลัง สามารถทำอัตราเร่งได้ใกล้เคียงกับบนถนนดำ
ในโหมดขับเคลื่อนล้อหลัง Rear ระบบควบคุมการทรงตัว และป้องกันการลื่นไถลช่วยกำลังลง และช่วยให้กำหนดทิศทางได้ง่ายขึ้น
ใช้แบทเตอรีชนิด Lithium-ion Nickel Rich (NMC) ความจุ 69.0 กิโลวัตต์ชั่วโมง ขับได้ไกลสูงสุดถึง 490 กม. (Eco-Sticker) มาพร้อมระบบการชาร์จเร็ว DC ขนาด 175 กิโลวัตต์ จาก 10-80 % ใช้เวลาเพียง 28 นาที
Volvo EX30 Ultra Twin Motor Performance Cross Country ในมาดลุย คุ้มค่ามากกว่าในราคา 1,890,000 บาท เท่ากับ EX30 Ultra Twin Motor Performance แบบเดิม น่าจะถูกใจสำหรับคนที่กำลังมองรถสีขาว และสีเทา
.......................................................................................................................
GWM เปิดตัว Tank 500 Diesel
GWM Thailand ยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ด้วยแนวคิด "ครอบคลุมทุกการใช้งาน (All Scenarios) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน (All Powertrains) สู่การตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง (All User)" เปิดตัว New GWM Tank 500 Diesel (กเรท วอลล์ มอเตอร์ แทงค์ 500 ดีเซล) ใหม่ อย่างเป็นทางการในประเทศไทย
เครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจเนอเรชันใหม่ล่าสุด พร้อมขับเคลื่อนส่วนผสมที่ลงตัวทั้ง "ความพรีเมียม และความสมาร์ท" แบบเต็มขั้นในยนตรกรรมพรีเมียม PPV 7 ที่นั่ง ตอบสนองไลฟ์สไตล์ทุกด้านของผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เพื่อรับประสบการณ์การขับขี่ที่ครอบคลุมทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ 1. ความพรีเมียมตั้งแต่ภายนอกสู่ภายใน 2. ความสบายเหนือระดับด้วยฟังค์ชันอำนวยความสะดวกมากมาย 3. เทคโนโลยีอัจฉริยะอันล้ำสมัย และ 4. ความปลอดภัยที่อัดแน่น สร้างความมั่นใจให้ในทุกเส้นทาง
มีราคาแนะนำช่วงเปิดตัวเริ่มต้นที่ 1,399,000-1,599,000 บาท สำหรับลูกค้าที่ออกรถ 500 ท่านแรก พร้อมข้อเสนอพิเศษสู่การเดินทางที่เหนือระดับ และยังสร้างความแตกต่างอย่างมีสไตล์ สะท้อนความต้องการบาลานศ์ระหว่าง "งาน ชีวิต ไลฟ์สไตล์" ของผู้ใช้งานชาวไทย ผ่าน "ป้อง ณวัฒน์ พรีเซนเตอร์ มุ่งตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การเดินทาง ทั้งเพื่อธุรกิจ การเดินทางกับครอบครัว และทริพผจญภัย สู่มาตรฐานใหม่ของรถ PPV 7 ที่นั่ง ระดับโลกอย่างแท้จริง
New GWM Tank 500 Diesel พร้อมวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการใน 3 รุ่นย่อย ทั้งขับเคลื่อน 2 ล้อ และขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมสีภายนอก 2 สี ได้แก่ สีขาว สีเทา และรุ่นตกแต่งพิเศษ Black Warior (เฉพาะรุ่น 2.4T Ultra และ 2.4T Ultra 4WD
ส่วนภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยสีดำสุดพรีเมียม ในราคาแนะนำช่วงการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
New GWM Tank 500 Diesel 2.4T Pro ราคา 1,399,000 บาท
New GWM Tank 500 Diesel 2.4T Ultra* 1,499,000 บาท
New GWM Tank 500 Diesel 2.4T Ultra 4WD* 1,599,000 บาท
(*ทั้ง Ultra และ Ultra 4WD มาพร้อมสีพิเศษ Black Warior ซึ่งจะมีราคาเพิ่มจากรุ่นปกติ 30,000 บาท)
โดยราคาแนะนำในช่วงเปิดตัวสุดพิเศษนี้ สำหรับลูกค้าที่จอง และออกรถ New GWM Tank 500 Diesel 500 คันแรกเท่านั้น
พิเศษยิ่งขึ้น รับฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปีเต็ม ฟรี บริการระบบตรวจสอบ และสั่งรถผ่านอินเตอร์เนท" (Telematic Service) พร้อมแพคเกจอินเตอร์เนทภายในรถ (Internet in Vehicle) ระยะเวลา 3 ปี ฟรี ค่าแรงบำรุงรักษาตามระยะทางภายในระยะเวลา 5 ปี หรือระยะทาง 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน และไม่รวมอะไหล่สิ้นเปลือง) ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน (Roadside Assistance) ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 5 ปี พร้อมการรับประกันคุณภาพรถใหม่ครอบคลุมระยะเวลา 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร** (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) และการรับประกันเครื่องยนต์ดีเซล 1,000,000 กิโลเมตร หรือ 8 ปี (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
*เงื่อนไขการให้บริการเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
ปาร์คเกอร์ ฉี ประธาน GWM ตลาดต่างประเทศ กล่าวว่า วันนี้นับเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของ GWM ในการสานต่อกลยุทธ์ระดับโลก AIl scenario, AII powertrain, All users ด้วยการเปิดตัว New GWM Tank 500 Diesel อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เรามั่นใจว่า New GWM Tank 500 Diesel จะได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากผู้บริโภคชาวไทย และจะเป็นอีกหนึ่งก้าวย่างสำคัญที่ร่วมยกระดับอุตสาหกรรรมยานยนต์ไทยสู่เวทึโลกไปพร้อมกับเรา
ปีนี้ GWM เฉลิมฉลองครบรอบ 35 ปี ด้วยเครือข่ายที่ครอบคลุมกว่า 170 ประเทศทั่วโลก และในช่วงต้นปีนี้ GWM ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้งานทั่วโลกมากกว่า 15 ล้านคน สำหรับปีที่ผ่านมา ยอดขายในตลาดต่างประเทศทะลุ 450,000 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 44.61 % นี่เป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั่วโลกที่มีต่อแบรนด์ GWM ความสำเร็จนี้เกิดจากยุทธศาสตร์ 4 เสาหลักของโลกาภิวัตน์ คือ ผลิตในพื้นที่ ดำเนินการในพื้นที่ เติบโตในระดับโลก และบูรณาการห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งขับเคลื่อนด้วยแนวคิด "In Local, For Local" ที่ให้ความสำคัญกับผู้บริโภคในแต่ละประเทศเป็นศูนย์กลางของทุกการพัฒนา ไม่เพียงเพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ที่สุด แต่ยังส่งเสริมการจ้างงาน และยกระดับคุณภาพชีวิตในชุมชนท้องถิ่น ภายในปี 2030 เราตั้งเป้ายอดขายในต่างประเทศกว่า 1 ล้านคัน/ปี โดยมากกว่า 30 % จะเป็นรถยนต์พรีเมียม และประเทศไทย คือ หนึ่งในตลาดยุทธศาสตร์สำคัญในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ในฐานะศูนย์กลางการผลิตรถยนต์พวงมาลัยขวา เพื่อรองรับตลาดระดับภูมิภาค และระดับโลก
.......................................................................................................................
เมโทร กรุ๊ปฯ เปิด Zeekr Metro Flagship
เมโทร กรุ๊ปฯ ต่อยอดธุรกิจรุกตลาดยานยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียม เป็นตัวแทนจำหน่าย Zeekr (ซีเคอร์) เปิดโชว์รูม และศูนย์บริการ สาขาบางนา ปักหมุดเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงไลฟ์สไตล์ลูกค้า ตั้งเป้ายอดขาย 60 คัน/เดือน
บดินทร์ บุญวิสุทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมโทร กรุ๊ป จำกัด เผยว่า ภายใต้หลักการ Win Win Win ความซื่อสัตย์ และจริงใจกับคู่ค้าทางธุรกิจ และลูกค้าที่ส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่น ส่งผลให้ เมโทร กรุ๊ปฯ ประสบความสำเร็จ สร้างความมั่นคงทางธุรกิจยานยนต์มากว่า 70 ปี สามารถสร้างเป็นเครือข่ายยานยนต์ที่แข็งแกร่ง ด้วยฐานลูกค้ามากกว่า 200,000 ราย
“นวัตกรรมพลังงานสะอาดของรถยนต์ไฟฟ้า เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ความสนใจด้านสิ่งแวดล้อมของเรา และเป็นแรงบันดาลใจให้เลือก Zeekr รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนมาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ด้วยเหตุผลที่ว่า Zeekr เป็นบริษัทในเครือ Geely Automobile (จีลี ออโทโมบิล) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่จากประเทศจีน ที่มีความมั่นคง มีความหลากหลายของยานยนต์ที่อยู่ในความดูแล และ Zeekr มีความโดดเด่นเรื่องการออกแบบ และเทคโนโลยีต่างๆ ในลักษณะของการผสานกันระหว่างยานยนต์ตะวันออก และตะวันตก (East Meet West) และการจับมือกับ Zeekr ในครั้งนี้ ส่งให้ เมโทร กรุ๊ปฯ ก้าวสู่การเป็นกลุ่มธุรกิจยานยนต์ครบวงจร ประเดิมเปิด Zeekr Metro Flagship โชว์รูม และศูนย์บริการ ที่บางนา กม.5 โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ 60 คัน/เดือน”
“Zeekr Metro Flagship” มีเป้าหมายสำคัญ คือ การยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าในทุกกระบวนการของการซื้อ และบริการหลังการขาย ภายใต้แนวคิด “Customer-first Experience” เชื่อมต่อนวัตกรรมล้ำสมัย ความพรีเมียม และไลฟ์สไตล์ ไว้ในที่เดียวกัน ผ่าน 3 หลักการ คือ Hardware มีโชว์รูมที่กว้างขวาง สวยงาม สะดวกสบาย ด้วยพื้นที่จัดแสดงรถขนาดหน้ากว้าง 92 เมตร พร้อมบริการ และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ คาเฟ่เต็มรูปแบบ และ Share Working Space ที่สามารถรองรับกิจกรรมต่างๆ ที่หลากหลาย
หลักการที่ 2 Software ระบบการทำงาน และการจัดเก็บข้อมูลลูกค้า ที่จะเป็นผู้ช่วยที่ดีให้กแก่ลูกค้าในการมารับบริการ และหลักการสุดท้าย Peopleware เราให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรในด้านต่างๆ ในทุกภาคส่วน โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งมอบการบริการ และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้ลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด อาทิ โปรแกรม “Metro Lux” ที่ให้ลูกค้าที่เป็นสมาชิกสามารถสะสมคะแนน และรับสิทธิพิเศษมากมาย”
นอกจากนี้ เรามีบริการ “ใกล้ไกล เรา ใกล้คุณ” เป็นการบริการส่งรถทดลองขับถึงบ้านลูกค้า โดยไม่มีค่าใช้จ่าย บริการรับ-ส่งรถเมื่อถึงกำหนดเข้ารับบริการ โดยการนัดหมายล่วงหน้า บริการรถสำรองให้ลูกค้า บริการรถสไลด์ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นต้น
เมื่อผนวกแนวคิดการทำงานแบบ “มาด้วยกัน ไปได้ไกล-Together We Can” ของ เมโทร กรุ๊ปฯ เข้ากับวิสัยทัศน์อันก้าวไกลของ Zeekr แล้ว เรามั่นใจว่าลูกค้าจะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดอย่างแน่นอน”
.......................................................................................................................
Yamaha แนะนำ Grand Filano Hybrid 3 สีใหม่
บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด สร้างปรากฏการณ์ใหม่อีกครั้งในวงการมอเตอร์ไซค์ Automatic เมืองไทย ตอกย้ำความเป็นผู้นำอย่างแท้จริง กับการเปิดตัว New Yamaha Grand Filano Hybrid (ยามาฮา กแรนด์ ฟีลาโน ไฮบริด) 2025 ใหม่ ภายใต้แนวคิด “ชีวิตที่มีคลาสส์สำหรับทุกคน” เปิดตัว 3 สีใหม่ ได้แก่ Retro Red สีแดงสุดหรูสะกดทุกสายตากับความฉ่ำวาวชวนหลงใหล ในรุ่น ABS Version มาพร้อมกับ 2 สีสันสุดโดนใจในรุ่น Standard Version กับสีฟ้า Retro Blue สุดแกรมสัมผัสถึงเม็ดสีที่มีคุณภาพ ประกายสีที่สว่างดู Grand ทุกมิติ และสียอดนิยมอย่างสีดำ Massy Black ความเกรงขามนิยามแห่งเคร่งขรึม น่าสัมผัสทุกองศา พร้อมการันตีรางวัลคุณภาพ Mini Bike Best Performance Bike of The Year 2025 ตอบโจทย์ทั้งดีไซจ์น พรีเมียม สมรรถนะที่เหนือกว่า และความคุ้มค่า กับการรับประกัน 5 ปี หรือ 50,000 กม.
New Yamaha Grand Filano Hybrid 2025-Classy with Premium Design
ดีไซจ์นโดดเด่นสะท้อนความหรูหราทุกมุมมองด้วยไฟ Full LED รอบคัน ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า, Daylight, ไฟเลี้ยว และไฟท้าย ให้แสงสว่างชัดเจน ทนทาน มาพร้อมกับเรือนไมล์ดิจิทอล LCD & TFT สีสันสดใส บอกสถานะการทำงานของระบบไฮบริดอย่างครบถ้วน เสริมลุคให้ดูสมาร์ท ล้ำสมัย อย่างมีสไตล์
New Yamaha Grand Filano Hybrid 2025-Classy with Premium Performance
มาพร้อมสมรรถนะไฮบริดที่เร้าใจ และประหยัดน้ำมัน ด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ Blue Core Hybrid ขนาด 125 ซีซี พร้อมเทคโนโลยีเสื้อสูบแบบ DiASiL ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน และประหยัดน้ำมันสูงสุดถึง 62.5 กม./ลิตร* ระบบสตาร์ทการทำงานของเครื่องยนต์ และออกตัวได้อย่างนุ่มนวล เสียงเงียบด้วย Smart Motor Generator เติมเต็มด้วยระบบ Stop & Start System ประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น และยังให้ความมั่นใจในการหยุดด้วย UBS Brake System (รุ่น Standard) และ ABS (รุ่น ABS) เพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ทุกเส้นทาง
*รายงานการทดสอบในห้องปฏิบัติการตามกำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์เฉพาะด้านความปลอดภัยสารมลพิษจากเครื่องยนต์ ระดับ 7 (มอก.2915-2561) วันที่ทดสอบ 21-22 เมษายน 2566
New Yamaha Grand Filano Hybrid 2025-Classy with Premium Features
ฟังค์ชันครบจบในคันเดียว เพิ่มความสะดวกสบายด้วย Smart Key System (เฉพาะรุ่น ABS) สตาร์ทง่าย ปลดลอคสะดวก, ช่องชาร์จ USB Type A, ที่เก็บของใต้เบาะขนาดใหญ่ 27 ลิตร, พร้อม Smart & Easy Refuel ช่องเติมน้ำมันด้านหน้า ไม่ต้องลงจากรถ เติมง่ายด้วยปุ่มเดียว
New Yamaha Grand Filano Hybrid 2025-Classy with Premium Technology
ล้ำสมัยกับ Y-Connect Application รองรับการเชื่อมต่อผ่านสมาร์ทโฟน ที่ช่วยตรวจสอบข้อมูลของรถจักรยานยนต์แบบเรียลไทม์ เหมือนมีผู้ช่วยส่วนตัวดูแลรถตลอดเวลา
New Yamaha Grand Filano Hybrid 2025 มาพร้อมกับ 10 สีสุดพรีเมียม มีให้เลือก 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น ABS Version 4 สีสุดพรีเมียม ได้แก่ สีแดง Retro Red, สีเทา Titanium Gray, สีน้ำเงิน Casual Navy และสีเขียว Matte Cyan ในราคาแนะนำเริ่มต้นที่ 69,200 บาท และรุ่น Standard Version มาพร้อมกับ 6 สีสดใส ได้แก่ สีฟ้า Retro Blue, สีดำ Massy Black, สีเทา Solid Gray, สีชมพู Terracotta Pink, สีขาว White Travel และสีเขียว Nomad Green ในราคาแนะนำเริ่มต้นเพียง 64,700 บาท พร้อมการรับประกันคุณภาพทั้งคัน 5 ปี หรือ 50,000 กม. *การรับประกัน 5 ปี : รับประกันคุณภาพชิ้นส่วนใน 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มเครื่องยนต์ กลุ่มโครงรถ และกลุ่มระบบไฟฟ้า ไม่รวมอะไหล่สึกหรอตามอายุการใช้งาน โดย บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จากัด เป็นเวลา 5 ปี หรือ 50,000 กม. แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน ทั้งนี้ ต้องนำรถเข้าตรวจเชคตามระยะที่บริษัทฯ กำหนด จนกว่าจะครบระยะรับประกัน
...................................................................................................
Triumph เผยโฉม ผลงานคัสตอม “Art of Motorcycles”
Triumph Motorcycles (ทไรอัมฟ์ มอเตอร์ไซเคิลส์) เปิดตัว Triumph Originals 2025 การแข่งขันการคัสตอมรถจักรยานยนต์โมเดิร์นคลาสสิคระดับโลก ที่เฟ้นหาสุดยอดรถคัสตอมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยมีผู้สร้างสรรค์รถจักรยานยนต์คัสตอมจาก 8 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วมการแข่งขัน โดยแต่ละทีมจะต้องคัสตอมรถจักรยานยนต์ Triumph Bonneville (ทไรอัมฟ์ บอนเนวิลล์) รุ่นปัจจุบัน จากแนวคิด "Icons of British Originality" เพื่อสะท้อนความเป็นต้นฉบับสัญชาติอังกฤษ พร้อมทั้งเชื่อมโยง และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เหล่าผู้ขับขี่ ตลอดจนผู้ที่ชื่นชอบการคัสตอมทั่วโลกเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อเน้นย้ำถึงความสำคัญที่มีมาอย่างต่อเนื่องของวัฒนธรรมการคัสตอมภายในอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์
ปัจจุบันการแข่งขันได้เดินทางมาถึงช่วงเวลาอันเข้มข้น Zeuz Custom สำนักคัสตอมชั้นนำของไทย ซึ่งได้รับเลือกเป็นตัวแทนของประเทศไทย ได้เผยภาพ และความคืบหน้าของผลงานที่คัสตอมขึ้นจากรถจักรยานยนต์ Triumph Bonneville T100 เพื่อเตรียมส่งเข้าประกวดในเวทีระดับโลก และถือเป็นหนึ่งรุ่นยอดนิยมที่สุดของ Triumph มาอย่างยาวนาน ด้วยดีไซจ์นโมเดิร์นคลาสสิคที่เหนือกาลเวลา โครงสร้างที่ส่งเสริมต่อการคัสตอมหลากหลายรูปแบบ และพื้นฐานเครื่องยนต์สูบคู่ที่ทรงพลัง แต่ยังคงความนุ่มนวลในการควบคุม ทำให้ Bonneville T100 กลายเป็นผืนผ้าใบที่นักคัสตอมทั่วโลกต่างเลือกใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการถ่ายทอดจินตนาการ และความเป็นตัวตนลงบนสองล้อคันโปรด
วรวิทย์ เรืองจันทานุกูล ผู้ก่อตั้ง Zeus Custom สำนักแต่งรถจักรยานยนต์สไตล์คลาสสิค ตัวแทนจากประเทศไทย ผู้เข้าร่วมการแข่งขัน Triumph Originals 2025 กล่าวถึงการคัสตอมครั้งนี้ว่า สำหรับแนวคิดหลักที่นำมาใช้ในการออกแบบ และคัสตอมครั้งนี้ คือ “Art of Motorcycles” เพราะการคัสตอมเปรียบได้กับผลงานศิลปะที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลก ซึ่งผลงานคัสตอมครั้งนี้นอกจากจะถ่ายทอดความเป็นตัวตนของ Zeus Custom ไว้แล้ว ยังได้ถ่ายทอดความเป็นไทยผ่านรายละเอียดที่ปรากฏในแต่ละส่วนของรถจักรยานยนต์ สะท้อนความพิถีพิถันในทุกขั้นตอน อาทิ โลโก Zeus Custom ที่ได้วาดด้วยมือลงบนบริเวณถังน้ำมัน และสลักไว้บนวัสดุหนังคุณภาพสูง ที่ตัดเย็บ และใช้ในการคัสตอมครั้งนี้อย่างประณีต เพื่อสื่อถึงความคลาสสิค ความเท่ และสไตล์การแต่งกายที่หลายคนมักจะนึกถึงเมื่อพูดถึงเหล่าไบเคอร์ พร้อมเพิ่มมิติการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ด้วยฟังค์ชันช่องเก็บบัตรที่ถูกซ่อนไว้ภายใต้แผ่นหนัง และแม้จะถ่ายทอดความเป็นตัวตนในแบบของ Zeus ลงไป แต่ยังคงความโดดเด่นของ Bonneville และความคลาสสิคในแบบของ Triumph ที่อยู่เหนือกาลเวลาไว้ (Timeless Iconic) เพราะไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไปอย่างไร สไตล์ และจิตวิญญาณของ Triumph ก็ยังคงชัดเจน และร่วมสมัยเสมอ
นอกจากนี้ การแข่งขันครั้งนี้ยังเผชิญความท้าทายในหลายแง่มุม เพราะเป็นการคัสตอมรถจักรยานยนต์เพื่อการแข่งขันในฐานะตัวแทนประเทศเป็นครั้งแรกของตนเอง ความท้าทาย คือ การทำงานภายใต้เวลาอันจำกัด แต่ยังต้องเก็บรายละเอียด และนำเสนอในสิ่งที่ต้องการไว้ให้ได้มากที่สุด ทำให้ต้องมีการวางแผนการทำงานอย่างรอบคอบ แต่ตนเองรู้สึกชอบ เพราะทำให้ได้ใช้ความคิดในการออกแบบทุกๆ วัน ตลอดจนการออกแบบครั้งนี้ต้องคำนึงถึงการตีความ และความเข้าใจในมุมมองของกรรมการที่เป็นชาวต่างชาติ และคนทั่วโลกที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินครั้งนี้ ดังนั้น Triumph Originals 2025 จึงเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้สำนักคัสตอมจากทั่วโลกได้แสดงศักยภาพ และวัฒนธรรมท้องถิ่น ผ่านการออกแบบรถจักรยานยนต์ Triumph ในมุมมองใหม่ๆ
สำหรับการแข่งขัน Triumph Originals 2025 มีสำนักแต่งทีม Triumph 8 ทีม จาก 8 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วม ได้แก่ สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา แคนาดา เมกซิโก บราซิล ฝรั่งเศส อิตาลี และไทย โดยผลงานที่ผ่านการคัดเลือกเข้ารอบสุดท้ายจะเปิดรับการลงคะแนนแบบสาธารณะ ก่อนที่คณะกรรมการจะพิจารณาให้คะแนนเพิ่มเติมเพื่อตัดสินผู้ชนะ และประกาศผลอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนสิงหาคม 2025
