ธุรกิจ
Shell ประกาศขึ้นแท่นอันดับหนึ่งน้ำมันหล่อลื่น
Shell (เชลล์) เผยกลยุทธ์ความสำเร็จด้วยยอดขายอันดับหนึ่ง 18 ปีติดต่อกันกับน้ำมันหล่อลื่น พร้อมประกาศเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในไทย เพื่อก้าวสู่อันดับหนึ่ง ทั้งในด้านปริมาณ และมูลค่า โดยมี Shell Helix Ultra เป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์ขับเคลื่อนการเติบโตในกลุ่มน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้
แมนซี ทรีพาธี กรรมการบริหารอาวุโส ฝ่ายธุรกิจน้ำมันหล่อลื่น บริษัท เชลล์ เอเชียแปซิฟิค จำกัด ซาร่า สมิทธิ์ กรรมการบริหาร ฝ่ายการตลาด ธุรกิจน้ำมันหล่อลื่น บริษัท เชลล์ อินเตอร์เนชั่นแนล ปิโตรเลียม จำกัด
และกมลพัทธ์ พหลโยธิน กรรมการบริหาร ธุรกิจน้ำมันหล่อลื่น บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด ร่วมให้สัมภาษณ์กลยุทธ์ความสำเร็จของน้ำมันหล่อลื่น Shell ที่ประสบความสำเร็จอันดับหนึ่งของโลก 18 ปีติดต่อกัน ด้วยกลยุทธ์ความสำเร็จที่มีเป้าหมาย “มุ่งมั่นขับเคลื่อนความก้าวหน้าให้โลกในวันนี้ เพื่อวันพรุ่งนี้ที่ดียิ่งขึ้น” (Keep the World Progressing Today for Tomorrow) เราสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ผ่านการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบน้ำมันหล่อลื่น และผลิตภัณฑ์ของเหลว
ที่ตอบโจทย์การใช้งานให้แก่ผู้บริโภค เพื่อช่วยลดแรงเสียดทาน จัดการความร้อน ยืดอายุการใช้งานเครื่องจักร ทั้งการใช้งานทั่วไป และการใช้งานเฉพาะด้านของอุตสาหกรรม โดยมีการลงทุนด้านวิจัย และพัฒนา (R&D) ในระดับ Global อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์พรีเมียมที่แตกต่าง และโดดเด่นด้วยเทคโนโลยีทันสมัย และคำนึงถึงความยั่งยืนในทุกมิติ
ทั้งนี้จากข้อมูลของ Kline & Company Shell ครองตำแหน่งผู้จัดจำหน่ายน้ำมันหล่อลื่นสำเร็จรูปอันดับหนึ่งของโลกต่อเนื่องเป็นปีที่ 18 ด้วยส่วนแบ่งตลาดที่ 11.6 % โดยในปี 2566 การจำหน่ายน้ำมัน
หล่อลื่นของ Shell ทั่วโลกกระจายตัวในสัดส่วนเกือบเท่าๆ กันใน 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ น้ำมันหล่อลื่นสำหรับรถยนต์ส่วนบุคคล 36 % สำหรับภาคอุตสาหกรรม 33 % และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ 31 % พร้อมมองหาโอกาสใหม่ในผลิตภัณฑ์ของเหลวใหม่ๆ เช่น ของเหลวสำหรับการจัดการความร้อนของแบทเตอรีรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และสำหรับใช้ในศูนย์ข้อมูล (Data Centers)
ที่ผ่านมา Shell ลงทุนอย่างต่อเนื่องในผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม และการพัฒนานวัตกรรม ผนวกกับพลังของแบรนด์ Shell และความมุ่งมั่นดูแลลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ ด้วยประสบการณ์กว่า 100 ปี Shell Lubricants จึงเป็นพันธมิตรที่ลูกค้า B2B กว่า 1 ล้านรายในกว่า 175 ตลาดทั่วโลกให้ความไว้วางใจ โดยมีเครือข่ายผู้จัดจำหน่ายหลักราว 85 ราย และผู้จัดจำหน่ายอีกประมาณ 1,500 รายทั่วโลก
ผ่านแบรนด์ชั้นนำของ Shell เช่น Shell Helix, Rimula, Spirax, Tellus และ Omala ที่ช่วยปกป้องเครื่องยนต์ ให้สามารถใช้งานได้ยาวนาน มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น และลดความถี่ในการบำรุงรักษา
พร้อมกันนี้ Shell มุ่งสร้างคุณค่าให้แก่ธุรกิจ และตลาด ด้วยการแสวงหาแนวทางที่ดีที่สุด เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยอาศัยความเชี่ยวชาญรอบด้านที่ได้รับการสนับสนุนจากนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ระดับโลก กระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน และเครือข่ายการจัดส่งที่เชื่อถือได้ พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์ชั้นนำอย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดแข็งจากการเป็นผู้นำตลาดในปัจจุบัน นำไปสู่การออกแบบน้ำมันหล่อลื่น และของเหลวแห่งอนาคตที่มีประสิทธิภาพ และคุณภาพเหนือความคาดหมาย
สำหรับประเทศไทย Shell เปิดตัว Shell Helix Ultra สูตรใหม่ล่าสุด หนึ่งในน้ำมันเครื่องกลุ่มแรกของอุตสาหกรรมที่ผ่านมาตรฐาน API SQ ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโลกสูงสุดจากสถาบัน American Petroleum Institute (API) พร้อมผ่านการรับรองมาตรฐาน ACEA C6 และล่าสุดกับ ILSAC GF-7
ผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ถูกออกแบบมาเพื่อคงสมรรถนะสูงสุดของเครื่องยนต์ไว้ได้ 100 % ยาวนานขึ้น แม้จะขับขี่เต็มกำลังอย่างต่อเนื่อง พร้อมปกป้องเครื่องยนต์จากปัญหาที่พบได้บ่อย เช่น ปัญหาการจุดระเบิด
ก่อนเวลาในรอบต่ำ (Low-Speed Pre-Ignition: LSPI) และสภาวะแรงกดดัน และอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในเครื่องยนต์สมรรถนะสูงที่ใช้ระบบเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จแบบฉีดตรงในกระบอกสูบ (Turbocharged Gasoline Direct Injection: TGDI) ด้วย Shell Helix Ultra ผู้ขับขี่จะสัมผัสได้ถึงพลังการขับขี่ที่เหนือกว่า แม้ต้องเผชิญสภาวะการขับขี่ที่ท้าทายต่างๆ
นวัตกรรมนี้เกิดจากเทคโนโลยี PurePlus เอกสิทธิ์เฉพาะ Shell ซึ่งเป็นการกลั่นน้ำมันจากแกสธรรมชาติ ได้เป็นน้ำมันที่มีความบริสุทธิ์ถึง 99.5 % จึงมอบสมรรถนะ และการปกป้องสูงสุดให้แก่เครื่องยนต์
Shell Helix Ultra สูตรใหม่ ยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รองรับข้อกำหนดการปล่อยมลพิษที่เข้มงวด ลดการปล่อยแกสเรือนกระจก และมลพิษทางอากาศ ซึ่งบรรจุภัณฑ์ Shell Helix Ultra ในประเทศไทยยังคงผลิตจากพลาสติครีไซเคิล 100 % (Post-Consumer Recycled: PCR) เป็นรายแรกในประเทศอีกด้วย
โดยการเปิดตัว Shell Helix Ultra สูตรใหม่ที่มาพร้อมกับโฉมใหม่ครั้งนี้ สะท้อนความมุ่งมั่นของ Shell ในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี และความยั่งยืน พร้อมส่งมอบประสิทธิภาพสูงสุด และตอบโจทย์ความต้องการของผู้ขับขี่ในทุกมิติ
"ผลิตภัณฑ์ Shell Helix Ultra เกิดจากความร่วมมือกับทีมมอเตอร์สปอร์ทระดับโลก Shell ใช้สนามแข่งอันท้าทายเป็นเวทีทดสอบสมรรถนะ และนวัตกรรม ก่อนถ่ายทอดเทคโนโลยีขั้นสูงสู่ท้องถนนผ่าน Shell Helix Ultra เพื่อมอบประสิทธิภาพ และการปกป้องเครื่องยนต์ที่เหนือกว่าแก่ผู้ขับขี่ทั่วโลก ตลอดเวลากว่า 75 ปีของการร่วมพัฒนานวัตกรรมกับ Scuderia Ferrari HP (สกูเดรีอา แฟร์รารี เอชพี) ซึ่งนับเป็นหนึ่งในพันธมิตรที่ยาวนาน และประสบความสำเร็จที่สุดในวงการมอเตอร์สปอร์ท น้ำมันหล่อลื่น และน้ำยาหล่อเย็นของ Shell มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ Ferrari AF Corse คว้าชัยชนะติดต่อกันในรายการ 24 Hours of Le Mans ต่อเนื่องในปี 2023 และ 2024 โดย Shell Helix Ultra ได้รับเลือกให้ใช้ทั้งในสนามแข่ง และบนท้องถนน ตั้งแต่ปี 1950 จนถึงปัจจุบัน Shell ยังคงเป็นพันธมิตรระดับพรีเมียมของ Scuderia Ferrari โดยทีมนักวิทยาศาสตร์จากทั้งสองฝ่ายทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อวิจัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์สมรรถนะสูงสุดในการปกป้องเครื่องยนต์ และเพิ่มพลังขับเคลื่อน"
นอกจากนี้ ในปีนี้ Shell ยังได้ต่ออายุความร่วมมือระยะยาวกับ BMW M Motorsport (บีเอมดับเบิลยู เอม มอเตอร์สปอร์ท) ครอบคลุมการแข่งขันหลักหลายรายการ รวมถึง Macau Grand Prix โดยเน้นความร่วมมือทางเทคนิคในด้านพลังงาน นวัตกรรม และเทคโนโลยีระดับพรีเมียม
สำหรับการเปิดตัว Shell Helix Ultra สูตรใหม่ ครั้งแรกในประเทศไทย เนื่องจากเป็นตลาดรถยนต์ที่มีการแข่งขันสูง และมีฐานลูกค้าที่ชื่นชอบ และผูกพันกับแบรนด์ Shell อย่างยาวนาน ซึ่งพิสูจน์ได้จากความสำเร็จในการเปิดตัวน้ำมันหล่อลื่นเกรดพรีเมียมในอดีต อีกทั้งน้ำมันหล่อลื่นของ Shell ในประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตระดับภูมิภาค ส่งออกน้ำมันหล่อลื่น และผลิตภัณฑ์จาระบีไปยังกว่า 40 ประเทศทั่วเอเชีย และโอเชียเนีย ด้วยกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น ควบคู่กับการพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง Shell ยังคงครองความเป็นผู้นำด้านการจัดหาน้ำมันหล่อลื่นระดับโลก พร้อมตอบสนองความต้องการของตลาดในประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
อีกทั้งการดำเนินธุรกิจภายในประเทศ Shell มีความร่วมมือกับผู้ผลิตรถยนต์ (OEMs) มากมาย และล่าสุดได้เปิดตัว Shell Lubricant Services-โซลูชันครบวงจรในการให้คำปรึกษาด้านน้ำมันหล่อลื่นทางเทคนิค ที่พร้อมให้บริการทั่วประเทศ
Shell ตั้งเป้าก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดน้ำมันเครื่องสำหรับรถยนต์นั่ง (Passenger Car Motor Oil: PCMO) ทั้งในด้านปริมาณ และมูลค่า โดยมี Shell Helix Ultra เป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์ขับเคลื่อนการเติบโตในกลุ่มน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ ผ่านจุดแข็งของแบรนด์ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่ และแคมเปญเฉพาะกลุ่มในช่องทางการค้า อู่ซ่อมรถ และพแลทฟอร์มดิจิทอล พร้อมเดินหน้าสื่อสารการตลาดเพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สมรรถนะสูงมากขึ้น และขยายฐานไปยังลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง
กลยุทธ์รุกตลาดน้ำมันเครื่องพรีเมียมในประเทศไทย
ทั้งนี้ ตลาดน้ำมันหล่อลื่นไทยปี 2566 มีมูลค่าประมาณ 3.0 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 101,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 6.3 % (หรือ 3.9 % เมื่อคำนวณเป็นเงินบาท) ในช่วงปี 2566-2571
ทั้งนี้ น้ำมันหล่อลื่นยานยนต์โดยเฉพาะชนิดสังเคราะห์ และกึ่งสังเคราะห์ จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อการเติบโตของมูลค่าตลาด (อ้างอิง: Kline & Company, Inc. Published July 2024 Base Year 2023)
การเปิดตัวครั้งนี้ยังเป็นการวางรากฐานเพื่อพัฒนากลยุทธ์ต้นแบบจากประเทศไทย นำไปปรับใช้ และต่อยอดสู่การขยายตลาดในประเทศสำคัญอื่นๆ ในอนาคต จากรายงานของ Kline & Company ปัจจุบัน Shell Helix มีบทบาทสำคัญในฐานะผู้นำตลาดน้ำมันเครื่องสำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลในประเทศไทย และการเปิดตัว Shell Helix Ultra สูตรใหม่ล่าสุด ควบคู่กับผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Helix ทั้งหมด จะทำให้ Shell เดินหน้าเสริมความแข็งแกร่ง และขยายการเติบโตในตลาดรถยนต์นั่งอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2025 ตามเป้าหมายที่วางไว้
Shell Helix Ultra เดินหน้าขยายฐานผู้ใช้ ด้วยกลยุทธ์ที่นอกจากจะรักษากลุ่มลูกค้าพรีเมียมเดิมแล้ว ยังมุ่งเจาะตลาดใหม่ ได้แก่ (1) เจ้าของรถรุ่นใหม่ (2) ผู้ที่เริ่มใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์เต็มรูปแบบครั้งแรก และ (3) ผู้ขับขี่ในเมืองที่ให้ความสำคัญทั้งด้านสมรรถนะ และการปกป้องเครื่องยนต์ โดยใช้แคมเปญเฉพาะกลุ่ม ร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์ และโปรแกรมอบรมช่างยนต์ เพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์สมรรถนะสูงเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่เคยถูกมองข้าม
ขณะเดียวกัน พื้นที่เมืองรอง และต่างจังหวัดถูกมองว่าเป็นแหล่งเติบโตสำคัญ แม้เดิมจะเป็นตลาดของแบรนด์ท้องถิ่น หรือสินค้าราคาประหยัด แต่ Shell มองเห็นโอกาสจากความต้องการดูแลเครื่องยนต์ที่มีคุณภาพมากขึ้น และความนิยมในการยืดระยะเวลาการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ช่วยให้ Shell Helix Ultra ซึ่งได้รับการรับรองจากผู้ผลิตรถยนต์ (OEMs) และมีจุดเด่นด้านการประหยัดน้ำมัน ถูกวางตำแหน่งให้เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าในระยะยาว พร้อมกลยุทธ์ช่องทางที่ผสานการอบรมช่าง กิจกรรม ณ จุดขาย และดิจิทอลแคมเปญที่ปรับให้เหมาะกับความต้องการของแต่ละพื้นที่
Shell Helix Ultra ยังคงตอกย้ำการเป็นผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมด้วยสูตรที่เหนือกว่า โดยการรับรองจากผู้ผลิตรถยนต์ (OEM approvals) และเทคโนโลยี PurePlus เอกสิทธิ์เฉพาะของ Shell แม้จะคงราคาที่เท่ากับรุ่นก่อนหน้า แต่เน้นกลยุทธ์การขายแบบเน้นคุณค่า (value-based selling) ชูจุดเด่นด้านการปกป้องเครื่องยนต์ การประหยัดน้ำมัน และประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อม
ผลิตภัณฑ์นี้ไม่เพียงแต่ผ่านการรับรองตามมาตรฐานสากล API SQ เท่านั้น แต่ยังรวมถึง ACEA C6 และล่าสุด ILSAC GF-7 และการรับรองจากผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำทั่วโลก ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่ Shell ลงทุนกว่า 35,000 ล้านบาท/ปี โดยมีศูนย์วิจัย 5 แห่งในสหรัฐอเมริกา เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ อินเดีย และจีน พร้อมทีมนักวิทยาศาสตร์กว่า 4,500 คนทั่วโลก ที่มุ่งออกแบบ และพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างพิถีพิถัน เพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า
Shell ยังคงทำงานร่วมกับพันธมิตรระดับโลกอย่างใกล้ชิด เช่น Ferrari (แฟร์รารี), BMW (บีเอมดับเบิลยู) และ Hyundai (ฮันเด) โดยการที่ Shell Helix Ultra ผ่านการรับรองมาตรฐานสากล และได้รับการรับรองจากผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำเหล่านี้ เป็นเครื่องยืนยันถึงประสิทธิภาพที่เชื่อถือได้ ทั้งในด้านการปกป้องเครื่องยนต์ที่เหนือกว่า และความเข้ากันได้กับเครื่องยนต์รุ่นใหม่ ช่วยให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าใช้น้ำมันหล่อลื่นที่เหมาะสม และได้มาตรฐานสูงสุด
นอกจากนี้ Shell ยังได้ปรับโฉมบรรจุภัณฑ์ใหม่ โดยมี 2 วัตถุประสงค์หลัก คือ ส่งเสริมความยั่งยืน ด้วยการใช้การรีไซเคิล และลดการใช้พลาสติค ผ่านบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิลคุณภาพสูง 100 % (PCR)
และปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัย เพื่อให้โดดเด่นบนชั้นวางสินค้า พร้อมสื่อสารคุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ขับเคลื่อนอนาคตด้วยนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน