บทความ
น้ำลึกสูงแค่ไหน รถถึงลุยได้?

หนึ่งในคำถามยอดฮิตของคนใช้รถ หากอยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม คือสูงเท่าไหร่ถึงจะสามารถลุยน้ำได้อย่างปลอดภัยHighlight
ระยะห่างจากพื้นดินถึงจุดต่ำสุดใต้ท้องรถ เช่น คาน แคร้งน้ำมัน หรือท่อไอเสีย ยิ่งมากรถก็จะผ่านอุปสรรคบนเส้นทางได้ง่าย เช่น ก้อนหิน หลุมดิน หรือพื้นที่น้ำท่วม แต่ไม่ได้หมายความว่า Ground Clearance สูงแล้วจะลุยน้ำได้เสมอไป เพราะยังมีอีกค่าที่สำคัญคือ Water Wading Depth
Ground Clearance → คือ ระยะจากพื้นที่ช่วยให้รถไม่ติด หรือชนสิ่งกีดขวาง
Water Wading Depth → ระดับความสูงของน้ำที่รถสามารถลุยได้โดยไม่ทำให้เครื่องยนต์ และระบบไฟฟ้าเสียหาย
รถยนต์ทั่วไปสามารถลุยน้ำท่วมได้ ไม่เกินครึ่งล้อ (ประมาณ 20-40 ซม.) หรือถึงระดับใต้ประตู แต่หากน้ำสูงกว่านี้จะเสี่ยงต่อน้ำเข้าห้องเครื่องยนต์ ทำให้เครื่องยนต์ดับ (Hydrolock) หรือสร้างความเสียหายต่อระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ควรประเมินระดับน้ำและหลีกเลี่ยงการลุยน้ำที่สูงกว่า 40-60 ซม. ขึ้นไป โดยเฉพาะรถเก๋ง หรือระดับ 80 ซม. ขึ้นไปสำหรับรถกระบะ ซึ่งถือเป็นระดับอันตรายสำหรับรถทุกประเภท
รถเก๋งทั่วไป เช่น Toyota Camry, Honda Civic, BYD Seal → ลุยได้แต่ไม่ควรลุยน้ำเกิน 200 มม. (ประมาณครึ่งล้ออาจมีโอกาสน้ำเข้าตัวรถ)
รถเอสยูวี, ครอสส์โอเวอร์ เช่น Subaru Forester, Suzuki XL7, BMW X3 → ลุยน้ำได้ราว 400-500 มม. (ระมัดระวังผลเสียต่อเครื่องยนต์ รถไฟฟ้าเสี่ยงปัญหาแบทเตอรีมีปัญหา)
รถเอสยูวียกสูง PPV เช่น Toyota Fortuner, Ford Everest, GWM Tank 500 → ลุยน้ำได้ 500-800 มม. (ปลอดภัย แต่ควรขับขี่ใช้ความเร็วต่ำ)
รถเอสยูวีขนาดใหญ่เฉพาะทาง เช่น Land Rover Defender, Jeep Wrangler, Toyota Land Cruiser, Mercedes-Benz G-Class → ลุยน้ำได้ 800-900 มม.
- อย่าลุยน้ำลึกเกินค่าที่ผู้ผลิตระบุ โดยเฉพาะรถที่ Ground Clearance จะสูงก็ตาม
- ความเร็วมีผล หากขับเร็วเกินไป น้ำจะกระแทกเข้าเครื่องยนต์ หรือห้องโดยสาร
- ตรวจสอบท่อไอดี และระบบไฟฟ้า หลังลุยน้ำควรเชคน้ำมันเครื่อง และเบรค
ขีดจำกัดที่ช่วยบอกว่า รถของคุณสามารถลุยน้ำได้แค่ไหนโดยไม่เสี่ยงเสียหาย เห็นชัดว่า รถซีดานส่วนใหญ่ลุยได้เพียงน้ำตื้น ๆ ส่วนรถเอสยูวี หรือ PPV และรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อมีข้อได้เปรียบมากกว่า