ข่าวจากสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ปัจจุบันแทบไม่มีใครพูดถึงดรัมเบรค (เบรคดุม) จนแทบจะหายไปจากวงการรถยนต์ โดยระบบเบรคจานที่ล้อหน้าถูกนำเข้ามาใช้แทนระบบเบรคดุมของรถสมรรถนะสูงยุค 1960 และกลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในยุค 1970 ระบบเบรคดุมที่ล้อหน้าหายไปจากรถยนต์นั่งส่วนใหญ่ช่วงกลางยุค 1980 แต่ก็ยังเห็นระบบเบรคดุมที่ล้อหลังของรถรุ่นพื้นฐาน, รถน้ำหนักเบา และรถที่มีกำลังไม่มากนัก จนกระทั่งปัจจุบันมีผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่าระบบเบรคดุมกำลังจะกลับมา
ข้อบังคับด้านมลพิษเปลี่ยนไป
ข้อกำหนดยูโร 7 ที่จะมีผลบังคับใช้ในเดือนพฤศจิกายน 2569 แม้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ประสบความสำเร็จในการ “ลอบบี” ให้ลดความเข้มงวดเกี่ยวกับมลพิษจากไอเสียลง แต่ในข้อกำหนดดังกล่าวได้เปลี่ยนไปให้ความสำคัญกับมลพิษที่มาจากแหล่งอื่น ได้แก่ มลพิษจากยาง และระบบเบรค
บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ และบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วน พยายามใช้วิธีการต่างๆ ในการลดมลพิษจากระบบเบรค ซึ่งส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่าจะใช้จานเบรค และผ้าเบรคแบบใหม่ ทั้งมีแนวคิดการเคลือบผิวจานเบรค หรือใช้ผ้าเบรคแบบสึกช้าร่วมกับจานวัสดุคาร์บอน เหมือนกับที่ใช้ในซูเพอร์คาร์ ซึ่งแม้ราคาต้นทุนสูง แต่สามารถลดมลพิษได้ถึง 81 %
"ดรัมเบรค" คือ พระเอก
นอกจากนั้นยังมีแนวคิดนำดรัมเบรคกลับมา เพราะการทำงานของระบบนี้ใช้ลูกสูบดันก้ามเบรค และผ้าเบรคให้เสียดสีกับผิวด้านในของดุมโลหะ แรงต้านที่เกิดขึ้นภายในดุมเบรค โดยฝุ่นผงที่เกิดจากการเสียดสีของผ้าเบรคจะถูกเก็บไว้ในดุมไม่ปลิวฟุ้งสู่ด้านนอก
ดรัมเบรคมีข้อดีเรื่องไม่มีฝุ่นจากผ้าเบรคเกาะบนล้ออัลลอยราคาแพง ต้นทุนการผลิตต่ำ และมีน้ำหนักเบา ทั้งไม่มีแรงเสียดทานที่ล้อ ขณะไม่ได้ใช้งานระบบเบรค
โอกาสกลับมาสูงมาก
บริษัท Tenneco ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นผู้ผลิตผ้าเบรคชนิดปราศจากทองแดง กล่าวว่า ดรัมเบรคสามารถลดมลพิษจากฝุ่นผงขนาด PM10 ได้ถึง 60 % ในขณะนี้แนวโน้ม “ความไม่ต้องการใช้ดรัมเบรค” ลดลงไม่มากเท่าเมื่อก่อน และอาจจะพลิกกลับเป็น “ความต้องการใช้ระบบเบรคดุม” มากขึ้นในอีกไม่นาน
ปกติรถไฟฟ้า และรถไฮบริดลดความเร็วรถด้วยแรงต้านจากระบบ Regenerative ซึ่งช่วยลดภาระการทำงานระบบเบรคแรงเสียดทานน้อยลง นับเป็นโอกาสดีที่จะใช้ดรัมเบรคที่ล้อหลังของรถสองประเภทนี้ ปัจจุบันดรัมเบรคถูกใช้อยู่ใน Volkswagen ID.3 และ ID.4 (รวมรุ่น GTX) และต่อจากนี้เราคงจะเห็นบริษัทผู้ผลิตอีกหลายรายที่จะนำเทคโนโลยีย้อนยุคนี้กลับมาใช้กัน