ธุรกิจ
Toyota เปิดตัว Hilux โครงการ IMV
Toyota เปิดตัว Toyota Hilux ครั้งแรกของโลก รถกระบะที่อยู่เคียงข้างคนไทยมายาวนาน ภายใต้ชื่อใหม่ Toyota Hilux Travo และ Hilux Travo-e กับคอนเซพท์ "Greater Together…สู่ความยิ่งใหญ่ไปด้วยกัน”
ประเทศไทย รถกระบะสะท้อนความผูกพันอันลึกซึ้ง เสมือนเพื่อนร่วมเดินทาง ที่อยู่เคียงข้างกันมาอย่างยาวนาน จนถึงปัจจุบันเราจะเห็นรถกระบะในทุกมิติของชีวิต ไม่ว่าจะใช้ในการประกอบอาชีพ ขนส่งสินค้า เดินทางในชีวิตประจำวัน หรือเติมเต็มไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย จึงกล่าวได้ว่า สำหรับคนไทย รถกระบะไม่ใช่แค่พาหนะ แต่เป็นเหมือนเพื่อนคู่ใจ และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
จุดเริ่มต้นของก้าวสำคัญที่ Toyota และคนไทยได้ร่วมกันสร้างขึ้น คือ โครงการ IMV (Innovative International Multi-Purpose Vehicle) เมื่อปี 2547 โดย IMV คือ โครงการผลิตรถกระบะขนาด 1 ตัน ภายใต้ชื่อรถกระบะ Hilux (รุ่นที่ 7) รถยนต์อเนกประสงค์ Fortuner (และรถมีนีแวน Innova ในต่างประเทศ) รวมถึงเครื่องยนต์ และชิ้นส่วนอะไหล่ เพื่อจำหน่ายภายในประเทศ และส่งออก ด้วยมูลค่าการลงทุน ณ ขณะนั้น 30,000 ล้านบาท ภายใต้วัตถุประสงค์ที่จะผลิตรถยนต์ที่มีคุณภาพสูง สามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค โดยรถยนต์ในโครงการดังกล่าวได้ผ่านการทุ่มเท วิจัย และพัฒนา เพื่อให้ได้รถที่ตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าในทุกภูมิภาคทั่วโลก
โครงการ IMV ได้ทำให้ โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย)ฯ เปลี่ยนบทบาทจากฐานการผลิตที่เน้นตลาดภายในประเทศ สู่การเป็นศูนย์กลางการผลิต และส่งออกรถกระบะ ในปัจจุบัน Hilux ที่ผลิตในไทยได้ถูกส่งออกไปยัง 133 ประเทศทั่วโลก มียอดส่งออกสะสมกว่า 4.6 ล้านคัน มีการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศด้วยสัดส่วนสูงสุดถึง 95 % ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้แก่คนไทย ผ่านการจ้างงานกว่า 275,000 คน ทั้งพนักงานในเครือ พนักงานของผู้แทนจำหน่ายฯ 153 แห่ง และผู้ผลิตชิ้นส่วนกว่า 290 แห่งทั่วประเทศ ส่งผลให้ Hilux มีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย คิดเป็นกว่า 30 % ของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งหมด และมีส่วนช่วยสร้าง GDP ให้ประเทศไทยมากถึง 3 %/ปี สะท้อนถึงมูลค่าทางเศรษฐกิจอันมหาศาลตลอดห่วงโซ่อุปทานที่เกิดขึ้น
ทั้งหมดนี้ คือ บทพิสูจน์ว่า Hilux ไม่ได้เป็นเพียงรถกระบะ แต่คือ “รถกระบะมหาชน” ที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม และเศรษฐกิจของประเทศอย่างแท้จริง
Toyota Hilux Travo เจเนอเรชันที่ 9
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย นำเสนอรถกระบะ Hilux รุ่นใหม่ เจเนอเรชันที่ 9 ครั้งแรกของโลก (World Premiere) ภายใต้ชื่อ “Toyota Hilux Travo” ด้วยการนำทีมของวิศวกรชาวไทย Hilux Travo ได้รับการพัฒนาผ่านการรับฟังเสียงของผู้ใช้ชาวไทยอย่างใกล้ชิดในทุกมิติ พร้อมนำข้อมูลมาปรับปรุง และต่อยอดการพัฒนา เพื่อตอบโจทย์การใช้งาน และไลฟ์สไตล์ของคนไทยได้อย่างดีที่สุด
ด้วยดีไซจ์นใหม่ ทั้งการออกแบบภายนอก และภายใน ภายใต้ดีไซจ์นคอนเซพท์ “Tough & Agile” ที่ผสาน "ความแข็งแกร่ง เข้ากับ ความคล่องตัว" มาพร้อมกับการออกแบบด้านหน้าด้วยแนวคิด “Cyber Sumo” ที่เป็นท่าเตรียมพร้อมในการต่อสู้ Shikiri Pose เพื่อแสดงให้เห็นถึงความ แข็งแกร่ง (Stable) แข็งแรง (Strong) และมั่นคง (Steady) การออกแบบภายในใช้แนวคิด “Robust Simplicity” ที่เน้นความเรียบง่ายแต่ทรงพลัง ทุกฟังค์ชันใช้งานได้จริง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และทันสมัยที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีความปลอดภัย Toyota Safety Sense เวอร์ชันล่าสุด และอุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอีกมากมาย
Hilux Travo ได้ให้ความสำคัญกับการบังคับควบคุม และความนุ่มนวลในการขับขี่เป็นพิเศษ จึงได้แนะนำเทคโนโลยี "Dynamic Cloud" ในการพัฒนาองค์ประกอบต่างๆ ที่ส่งผลต่อการขับขี่ เพื่อมอบการขับขี่ที่นุ่มนวล บังคับควบคุมแม่นยำ และทรงตัวเยี่ยม
และ Hilux Travo ทุกรุ่นจะมาพร้อมกับขุมพลัง GD Super Power ขนาด 2.8 ลิตร ที่ให้กำลังสูง และมีการปรับปรุงความประหยัดน้ำมันให้ดียิ่งขึ้น โดยประหยัดน้ำมันมากกว่าเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร สูงสุดถึง 5.8 % และมากกว่าเครื่อง 2.8 ลิตร รุ่นเดิมถึง 7.5 %
นอกจากรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล Toyota นำเสนออีกหนึ่งทางเลือกตามหลักคิด Multi-Pathway กับรถกระบะไฟฟ้า “Hilux Travo-e” ซึ่งเป็นการแนะนำรถไฟฟ้าแบบ Body-on-Frame รุ่นแรกของ Toyota ที่มีการวางจำหน่ายจริง พัฒนาขึ้นโดยยึดถือหลักการ QDR (Quality-Durability-Reliability) อันเป็นหัวใจของToyota และยังคงสมรรถนะ ความทนทานตามมาตรฐานรถกระบะ Hilux และเสริมด้วยเทคโนโลยี "Diamond Guard" ช่วยปกป้องแบทเตอรี และชุดขับเคลื่อนไฟฟ้า ช่วยให้คุณใช้งาน Travo-e ได้อย่างมั่นใจในความปลอดภัย ทั้งการใช้งานส่วนบุคคล การบรรทุก และการขับขี่แบบออฟโรด
ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ตลอดระยะเวลากว่า 60 ปีที่ผ่านมา Toyota ได้มีบทบาทสำคัญยิ่งในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย ไม่เพียงแต่ในฐานะผู้ผลิต และจำหน่ายรถยนต์รายใหญ่เท่านั้น แต่ยังเป็นพันธมิตรที่ร่วมพัฒนาบุคลากรไทย ถ่ายทอดเทคโนโลยี และสนับสนุนการเติบโตของผู้ประกอบการชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นมาเป็น ฐานการผลิตรถยนต์ที่สำคัญระดับโลก
การเปิดตัว Hilux รุ่นใหม่ ในวันนี้ เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ของ Toyota ในประเทศไทย ที่สามารถออกแบบ พัฒนา และผลิตยานยนต์ที่ตอบโจทย์ทั้งความต้องการของผู้บริโภค และความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูง ปล่อยมลพิษต่ำ และรองรับเชื้อเพลิงสะอาด ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทยในการขับเคลื่อนประเทศ สู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (Next-Generation Automotive Industry)
กระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์พลังงานสะอาด (Green Mobility) และการลดการปล่อยแกสเรือนกระจกจากภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลักตามเป้าหมาย “Carbon Neutrality 2050” ของประเทศไทย การที่ Toyota เดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีในทิศทางเดียวกัน จึงเป็นการสะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชนในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้แก่ประเทศ ทั้งให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการเสริมสร้างความเข้มแข็งของ Supply Chain อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์สมัยใหม่อย่างยั่งยืน (Next-Generation Automotive Industry) ทั้งในด้านการผลิตชิ้นส่วน เทคโนโลยี ระบบลอจิสติคส์ และบุคลากรที่มีทักษะสูง การที่ Toyota ลงทุน และพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ Hybrid รถยนต์ไฟฟ้า (EV) หรือเทคโนโลยีไฮโดรเจน ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชนในการสร้างระบบนิเวศการผลิตภายในประเทศให้แข็งแกร่ง เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตที่ยั่งยืนของภูมิภาค
"ผมเชื่อมั่นว่า การเปิดตัว Toyota Hilux รุ่นใหม่ในวันนี้ จะเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของ Toyota ในการตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค ทั้งในด้านสมรรถนะ ความปลอดภัย ความคุ้มค่า และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเป็นการยืนยันถึงความเชื่อมั่นของ Toyota ที่มีต่อประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการผลิตยานยนต์แห่งภูมิภาค”
ไซมอน ฮัมฟรีส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านแบรนด์ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน ประเทศญี่ปุ่น เผยว่า Toyota มีความผูกพันอันยาวนานกับประเทศไทย มากกว่า 60 ปี ซึ่งความผูกพันนี้ไม่ใช่เพียงแค่การลงทุนทางธุรกิจ แต่คือ หุ้นส่วน ที่กลายเป็นมิตรภาพ ซึ่ง Toyota กล่าวถึงแนวคิด “Best in Town” อยู่เสมอ และประเทศไทย คือ ภาพสะท้อนที่ชัดเจนของปรัชญานี้ ในฐานะประเทศแรกในทวีปเอเชียที่ Toyota ผลิตรถยนต์ นอกประเทศญี่ปุ่น
เมล็ดพันธุ์แห่งมิตรภาพที่เราเริ่มปลูกไว้เมื่อ 2506 ได้รับการฟูมฟักโดยคนไทย นับตั้งแต่การสนับสนุนจากรัฐบาลไทย พันธมิตรทางธุรกิจ และลูกค้าของเรา ทำให้ประเทศไทยในปัจจุบัน กลายเป็นศูนย์กลางด้านการผลิต ด้านนวัตกรรม และเหนือสิ่งอื่นใด คือ การให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี นำไปสู่ความสำเร็จระดับโลก ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่า เกิดจากรากฐานความแข็งแกร่งจากประเทศไทย ซึ่งผู้คนใน 133 ประเทศทั่วโลกได้รับประโยชน์จากผลลัพธ์ของความร่วมมือครั้งนี้ จากการที่รถยนต์ Toyota กว่า 14 ล้านคันได้ถูกผลิตขึ้นที่นี่ ประเทศไทย
อากิโอะ โตโยดะ ประธานคณะกรรมการบริหารของ Toyota เล็งเห็นถึงความแข็งแกร่งของพันธมิตรทุกท่านเป็นอย่างดี จากประสบการณ์ที่เขาได้ร่วมทำงานกับทีมงาน (IMV Project) ในประเทศไทย ซึ่งมีส่วนสำคัญในการหล่อหลอมพื้นฐานความเป็นผู้นำ นั่นคือ การเคารพวัฒนธรรมท้องถิ่น และให้ความสำคัญกับการตัดสินใจร่วมกัน ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่าง มร.อากิโอะ กับประเทศไทยได้ดีที่สุด นั่นก็คือ ผลิตภัณฑ์ภายใต้โครงการ IMV เมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว
ถึงแม้ว่า เรื่องราวของ Hilux ถือกำเนิดขึ้นในปี 2511 หากแต่ในปี 2547 ภายใต้การนำของ มร.อากิโอะ ในฐานะหัวหน้าภาคพื้นเอเชีย ทำให้ Hilux กลายเป็นส่วนหนึ่งของ IMV ซีรีส์ ซึ่งเป็นพแลทฟอร์มระดับโลกอย่างแท้จริง และสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิด Best in Town และจิตวิญญาณแห่งการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ (Monozukuri) ของ Toyota เป็นที่มาของโครงการ IMV ที่นำพาให้ Hilux เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
กล่าวได้ว่าคงไม่มีรถยนต์รุ่นใดที่ดีไปกว่า Hilux ที่จะแสดงถึงความสำคัญของประเทศไทยที่มีต่อ Toyota ได้ เราภูมิใจที่ได้ยินว่าหลายคนเรียก Hilux ว่าเป็นรถกระบะมหาชนอย่างแท้จริง
ที่ Toyota เรายึดมั่นในแนวคิด “การขับเคลื่อนเพื่อทุกคน” (Mobility for All) โดยเชื่อว่า การขับเคลื่อน คือ การมอบโอกาสให้ผู้คนได้ออกสำรวจ ทำงาน ติดต่อเชื่อมโยงถึงกัน รวมทั้งส่งเสริมคุณภาพชีวิต อันเป็นปรัชญาที่ IMV ยึดถือนับตั้งแต่วันแรก นั่นคือ ความมุ่งมั่นเพื่อสร้างยานยนต์ที่มีส่วนส่งเสริมชุมชน และร่วมเสริมสร้างพลังให้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรที่ใช้ยานพาหนะเพื่อขนส่งผลผลิต หรือครอบครัวที่ใช้รถเพื่อเดินทางไกล รวมทั้ง ผู้คนที่ทำงานเพื่อร่วมสร้างการเติบโตของชุมชนที่ทุกคนอยู่อาศัยรอบตัว โดยผู้ใช้งานต่างยอมรับในชื่อเสียงของ Hilux ทั้งในด้านคุณภาพ ความทนทาน และความน่าเชื่อถือ ด้วยความเป็นรถกระบะที่แข็งแกร่ง สำหรับการใช้งานที่ไซท์ก่อสร้าง ให้ความอุ่นใจด้วยความปลอดภัย สำหรับการเดินทางของทุกครอบครัว และเป็นยานพาหนะที่ได้รับความไว้วางใจทั่วโลก”
Hilux ใหม่ ที่เราประกาศในวันนี้ คือ เจเนอเรชันที่ 9 ของรถระดับตำนาน ซึ่งในแต่ละเจเนอเรชัน Hilux ได้รับการพัฒนาให้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ผ่านการพัฒนาจากการใช้งานจริงบนท้องถนน ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญของเหล่าวิศวกร และที่สำคัญที่สุด คือ การรับฟังเสียงของลูกค้าทั่วโลก โดย Hilux เป็นรถกระบะที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทที่หมุนเปลี่ยนไปของโลก และสังคมเช่นเดียวกัน
Toyota รับฟังเสียงตั้งแต่คนงานในเหมืองที่ต้องการความทรหด ครอบครัวที่ต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น เจ้าของธุรกิจที่ใส่ใจเรื่องความประหยัดน้ำมัน ไปจนถึงนักผจญภัยรุ่นใหม่ที่ต้องการดีไซจ์น และเทคโนโลยีที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ ไปสู่ยานพาหนะที่อุ่นใจ และไว้วางใจได้ พร้อมเชื่อมโยงผู้คนเข้ากับโอกาสต่างๆ ด้วยยนตรกรรมที่แข็งแกร่ง เรียบง่าย และทนทาน
เมื่อมองไปข้างหน้า Toyota กำลังมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ที่ไม่จำกัดเพียงหนทางใดหนใดหนึ่ง หากแต่มุ่งนำเสนอทางเลือกอันหลากหลาย (Multi-Pathway) เพราะความจริง คือ ไม่มีภูมิภาคใด หรือลูกค้าคนใด ที่เหมือนกัน ความหลากหลายนี้ครอบคลุมถึงระบบขับเคลื่อน รูปแบบตัวรถ และความสามารถในการปรับแต่ง…ทั้งหมดเพื่อไม่ให้ใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง โดยที่ Toyota ได้พัฒนา Hilux แต่ละรุ่นให้ดียิ่งขึ้น ภายใต้คำมั่นสัญญาที่ยังคงเดิม นั่นคือ Hilux คือ เพื่อนคู่ใจ และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
ไซมอน กล่าวถึง อากิโอะ โตโยดะ ที่เชื่อว่ารถยนต์ และการผลิตรถยนต์ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของสังคม และความเจริญทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต และวัฒนธรรมอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยยังเป็นเสมือน “บ้านหลังที่ 2” ทั้งในระดับอาชีพ และระดับส่วนตัว จากสายสัมพันธ์ดังกล่าวได้เติบโตเป็นมิตรภาพที่งดงาม ดังนั้น โตโยดะ มักกล่าวเสมอถึงความตั้งใจในการ “ตอบแทนประเทศไทย” ตลอดระยะที่ผ่านมา และความสัมพันธ์กับประเทศไทยได้เติบโต เกินกว่าเป็นการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ ไปสู่การแลกเปลี่ยนทางวิถีชีวิต และวัฒนธรรม
ปัจจุบัน โตโยดะ ในฐานะประธานสหพันธ์ซูโมสากล ได้เล็งเห็นถึงโอกาสในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างไทย และญี่ปุ่น เริ่มจากกีฬาซูโมสากล และได้เชิญ ฮาคุโฮ โช อดีต Yokozuna นักซูโมชื่อดังตลอดกาล ด้วยสถิติสูงสุด คว้าแชมพ์ถึง 45 รายการ และยังได้รับการบันทึกใน Guinness Book จากชัยชนะรวม 1,187 ครั้ง ทั้งหมดนี้ทำให้เขา…เป็นหนึ่งในนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด…ตลอดกาล มาเยือนกรุงเทพฯ และร่วมงานแถลงข่าว
ฮาคุโฮ โช เจ้าของแชมพ์กีฬาซูโมระดับ Yokozuna ชื่อดัง ลำดับที่ 69 จากประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสมาเยือนประเทศไทย เพื่อเผยแพร่กีฬาซูโมสู่เวทีโลก ในการกลับมาประเทศไทยครั้งนี้ ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อ อากิโอะ ชวนผมมาร่วมงานนี้ ผมก็ไม่ลังเลที่จะตอบทันที ซึ่งต้องขอขอบคุณอีกครั้งที่เชิญผมมาร่วมงานเปิดตัวรถระดับโลก ทั้งยังตั้งใจที่เผยแพร่ซูโมสู่เวทีโลกเช่นกัน ทั้งนี้ กีฬาซูโม คือ ความบริสุทธิ์ เป็นการฝึกฝนไม่เพียงแต่ร่างกาย แต่รวมถึงจิตใจด้วย ผมเชื่อว่าการส่งเสริมซูโมจะช่วยสร้างความหวังในการขจัดการเลือกปฏิบัติ และอคติทั่วโลก ผมเป็นชาวมองโกเลียโดยกำเนิด และในฐานะชาวมองโกเลียที่เป็นตัวแทนของญี่ปุ่นบนเวทีโลก ผมรู้สึกใกล้ชิดกับชาวไทยที่เป็นตัวแทนของญี่ปุ่นบนเวทีโลกผ่าน Toyota
“ในฐานะชาวอังกฤษที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งกับสิ่งที่คุณพูด ! ทั้งในมุมประวัติศาสตร์ และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม…ตอนนี้เราจะก้าวไปสู่อีกขั้น กับการยกระดับของ Hilux รุ่นใหม่ ที่เป็นผลงานที่ผมมีความภูมิใจที่ได้ร่วมงานในฐานะหัวหน้าฝ่ายออกแบบ”
อัญญารัตน์ สุทธิเบญจกุล หัวหน้าวิศวกรระดับภูมิภาค บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย จำกัด กล่าวถึงแนวคิดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ว่า วันนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเริ่มประวัติศาสตร์บทใหม่สำหรับ Hilux และยังนับเป็นบทใหม่สำหรับการวิจัย พัฒนา และการผลิตของเราในประเทศไทย สำหรับดิฉันแล้ว นี่คือผลลัพธ์จากความทุ่มเทตลอดหลายปี จากบุคลากรผู้มีความสามารถ และความเชี่ยวชาญจากกลุ่มประเทศในเอเชีย และกลุ่มประเทศโลกใต้ ภายใต้การทำงานใกล้ชิดกับสำนักงานใหญ่ของ Toyota ที่ประเทศญี่ปุ่น ควบคู่ไปกับการรับฟังคำแนะนำจากเสียงของลูกค้า ทั้งจากประเทศไทย และจากทั่วโลก
Hilux ได้รับการยอมรับจากผู้ใช้งานจริงจาก 7 ใน 8 ภูมิภาคทั่วโลก สำหรับ Hilux รุ่นใหม่นี้ พวกเราได้เดินทางไปทั่วทุกภูมิภาค ตั้งแต่ทะเลทรายในตะวันออกกลาง ที่ราบสูงในอเมริกาใต้ ทุ่งหญ้าในแอฟริกา ไปจนถึงพื้นที่ห่างไกลของออสเตรเลีย และพื้นที่หนาวจัดของยุโรป
แต่ละตลาดต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เราได้เรียนรู้จากสภาพท้องถนน ภูมิอากาศ และไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่แตกต่างกัน แล้วนำข้อมูลเชิงลึกเหล่านั้นมาพัฒนาเป็นแม่แบบในการพัฒนา (Blueprint)
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราตั้งใจพัฒนาจากในระดับภูมิภาค เพื่อออกแบบรถให้สอดคล้องกับสภาพที่แตกต่างกันของแต่ละพื้นที่ ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษามาตรฐานระดับโลกของ Toyota เอาไว้ ทั้งในด้านความปลอดภัย และสมรรถนะ ผลลัพธ์ก็คือ รถยนต์ที่กลายเป็น “เพื่อนคู่ใจ และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต” อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ Hilux รุ่นใหม่กำลังพัฒนาไปพร้อมกับยานยนต์ไฟฟ้า (Electrification) เทคโนโลยีการเชื่อมต่อ (Connected Technologies) และบริการดิจิทอล (Digital Services) โดยที่เรายังคงยึดมั่นในรากฐานเดิม ทุกองค์ประกอบตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการทดสอบ ล้วนถูกขับเคลื่อนด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างยานยนต์ที่น่าเชื่อถือ ยืดหยุ่น และพร้อมสำหรับอนาคต ความหลงใหลนี้ผลักดันให้เราสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ในขณะที่ยังคงยึดมั่นในคุณค่าของ QDR (คุณภาพ ความทนทาน และความน่าเชื่อถือ) ที่ลูกค้าคาดหวังจาก Toyota
ประการแรก ความน่าเชื่อถือ คือ สิ่งสำคัญอันดับแรกที่ลูกค้าของเราต้องการมากที่สุด จากเส้นทางภูเขาที่สมบุกสมบัน สู่ถนนในเมืองที่พลุกพล่าน Hilux รุ่นใหม่ได้รับการพัฒนาให้พร้อมรับมือได้กับทุกสภาพถนน เพื่อให้สามารถเดินทางไปทุกหนทุกแห่ง
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ Hilux ใหม่ มีการเสริมความแข็งแกร่งของตัวถัง ปรับแต่งประสิทธิภาพช่วงล่างให้เหมาะสม และนำระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า (EPS) มาใช้ เพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ และควบคุมได้ง่ายยิ่งขึ้น ผลลัพธ์ คือ ยานยนต์ที่ไม่เพียงแค่ทนทานต่อสภาวะที่ยากลำบาก แต่ยังอยู่รอดได้ดีในสภาวะการ์ณเหล่านั้น เป็นการมอบความแข็งแกร่ง และความทนทานที่ลูกค้าคาดหวังจาก Toyota
เป้าหมายของ Toyota คือ ไม่เพียงสร้างรถที่แข็งแกร่งขึ้น แต่ยังฉลาดขึ้นด้วย Hilux ใหม่ออกแบบให้มีความสดใหม่ทั้งรูปลักษณ์ทั้งภายนอก และภายใน พร้อมรองรับการตกแต่งเพิ่มเติมเองได้ตามความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละคน เรายังเพิ่มเทคโนโลยีความปลอดภัย และระบบอีเลคทรอนิคส์ขั้นสูง เช่น Toyota Safety Sense 3 (TSS 3), Panoramic View Monitor (PVM) และ Multi-Terrain Monitor (MTM) นวัตกรรมเหล่านี้ช่วยเพิ่มการปกป้องผู้ขับขี่ให้ดียิ่งข้นในสถานการณ์จราจรที่หลากหลาย นอกจากนี้ ระบบ PVM และ MTM ให้ภาพแบบเรียลไทม์ของพื้นที่รอบตัว และใต้ท้องรถ เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถผ่านเส้นทางที่ท้าทายได้อย่างมั่นใจ และปลอดภัย-ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ใดก็ตาม
ในขณะที่โลกกำลังก้าวไปสู่สังคมแห่งความเป็นกลางทางคาร์บอน Toyota มีเป้าหมายชัดเจน “จะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” Toyotaเชื่อว่าไม่มีทางออกเดียวที่ตอบโจทย์ลูกค้าทั้งหมดได้ แต่เราต้องมี “ทางเลือกที่หลากหลาย” เพื่อให้เหมาะกับการใช้งาน และวิถีชีวิตของแต่ละคน Hilux ใหม่พร้อมแล้วสำหรับความจริงนี้ ด้วยการพัฒนาให้ก้าวข้ามเครื่องยนต์สันดาปแบบเดิม เพิ่มทางเลือกใหม่ของระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (BEV-Battery Electric Vehicle) เพื่อให้ตอบโจทย์ทุกตลาด ทุกลูกค้า และทุกความต้องการ แนวทาง Multi-Pathway นี้ คือ การสร้างโซลูชันการเดินทางที่ครอบคลุม ปฏิบัติได้จริง และยั่งยืนสำหรับทุกคน
Hilux BEV รุ่นใหม่ได้รับการออกแบบให้ช่วยลดมลพิษทางอากาศ ขณะเดียวกันยังคงสมรรถนะของรถแบบ Body-on-Frame ไว้อย่างครบถ้วน-ทั้งความสามารถในการลุยออฟโรด การลุยน้ำลึก และการบรรทุก หรือการลากจูง เป้าหมายของเรา คือ ทำให้ Hilux เป็นรถที่ตอบโจทย์ทุกกลุ่ม ตั้งแต่ผู้ใช้ในเมือง นักผจญภัย ไปจนถึงผู้คนที่ทำงานในอาชีพต่างๆ ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต และสถานการณ์พลังงานของแต่ละประเทศ ทั้งหมดนี้เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนของโลก
นวัตกรรมทั้งหมดนี้ตอกย้ำบทบาทของ Hilux ในฐานะ “เพื่อนคู่ใจ และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต” พร้อมเติบโตไปด้วยกันกับเจ้าของรถ และคงคุณค่าไปตลอดอายุการใช้งาน ความหลากหลาย และความยืดหยุ่นนี้ทำให้ Hilux ยังคงตอบโจทย์ทั้งความต้องการของวันนี้ และความท้าทายในวันพรุ่งนี้
นิค โฮจิออส ผู้จัดการอาวุโส Toyota Design ประเทศออสเตรเลีย กล่าวถึงแนวคิดในการออกแบบ Hilux Travo ว่า ผมเชื่อมั่นว่าลูกค้าทั่วโลกที่มีความต้องการในใช้งานที่หลากหลาย จะชอบ Hilux รุ่นใหม่อย่างแน่นอน เพราะเป็นรถที่โดดเด่น และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยดีไซน์ใหม่ของ Hilux มีความโดดเด่น และทรงพลัง พร้อมกล่าวถึงการร่วมมือระหว่างทีมออกแบบจากออสเตรเลีย และทีมวิศวกรจากประเทศไทยว่าเป็นความร่วมมือระดับนานาชาติที่ยอดเยี่ยม ใช้เวลากว่า 10 ปีในการสร้างให้สำเร็จขึ้นมา
รถคันนี้พัฒนาขึ้นจากผู้ที่เข้าใจว่า ผู้ใช้ Hilux ทั่วโลกมีความต้องการอย่างไร เพื่อร่วมกันเพื่อสร้าง Hilux รุ่นใหม่ ที่จะนำมาซึ่งความภูมิใจในการครอบครองให้แก่ลูกค้าทุกคน ทั้งนี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราได้ร่วมพัฒนา Hilux ให้ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ และยังสร้างรุ่นยอดนิยมอย่าง Hilux GR-S และ Rocco อีกด้วย และตอนนี้ เราได้นำประสบการณ์ทั้งหมดมารวมกัน เพื่อสร้าง Hilux รุ่นที่ 9 อันเป็นการเปิดตำนานใหม่ให้แก่ Hilux ซึ่งในช่วงเริ่มต้นของโครงการ เรามีตัวแทนจากหลายประเทศมาร่วมวางแนวทางของผลิตภัณฑ์ให้ชัดเจน เพื่อกำหนดทิศทางของรถรุ่นใหม่นี้ภายใต้เป้าหมายเดียวกัน
“ตัวตนที่แท้จริงของ Hilux” ประกอบด้วย โครงสร้างที่แข็งแกร่งห่อหุ้มด้วยดีไซจ์นที่ทันสมัยแ ละทรงพลัง เราตั้งใจสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้รถตอบรับกับทุกความต้องการของผู้ใช้งาน ตัวอย่างเช่น กระจังหน้าแบบเรียวแต่ดูดุดัน และดีไซจ์นด้านหน้าแบบ 2 ชั้น ทำให้ Hilux ใหม่ดูโดดเด่น รวมถึงการใส่ตัวอักษร “T O Y O T A” ทั้งด้านหน้า และด้านหลังในทุกรุ่นย่อย ซึ่งมิใช่แค่เพียงการสื่อถึงชื่อแบรนด์เท่านั้น แต่ยังเป็น “สัญลักษณ์แห่งความไว้วางใจ” เป็นดั่งคำสัญญาว่ารถคันนี้จะตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้ใช้งานได้ และเป็น “รถแห่งโอกาสไร้ขีดจำกัด” อย่างแท้จริง
ภายในของ Hilux ใหม่ ปรับเปลี่ยนให้ล้ำสมัย และใช้งานได้จริง เปรียบเสมือน”ชุดออกรบ ที่พร้อมสำหรับทุกสถานการณ์ กับดีไซจ์นภายในที่ดูแข็งแรงแต่ทันสมัย อุปกรณ์ต่างๆ จัดวางอย่างเหมาะสม ใช้งานสะดวก และเทคโนโลยีก็พัฒนาไปอีกระดับ ทำให้ภายในของรถเป็นพื้นที่เหมาะสมกับ “ทุกการใช้งาน และใช้ชีวิตอย่างเต็มที่”
นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ที่คู่ควรกับชื่อ Hilux อย่างแท้จริง และนี่คือการตีความใหม่ของรถกระบะในตำนาน ที่ถูกสร้างขึ้นโดยทีมงานที่เข้าใจลูกค้ามากที่สุด เพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ผู้คนทั่วโลก และเรื่องราวของ Hilux ยังไม่จบแค่นี้ เพราะตราบใดที่ความต้องการของลูกค้ายังพัฒนาไปข้างหน้า Hilux ก็จะพัฒนาไปด้วยเสมอ เพื่อรับใช้ผู้คนในทุกชุมชนบนโลกจากออสเตรเลีย อเมริกาใต้ แอฟริกาใต้ ไปจนถึงยุโรป และเอเชีย-Hilux คือ รถในตำนาน เราทำงานร่วมกันเพื่อออกแบบ Hilux รุ่นใหม่ ที่จะสืบสานตำนานนี้ต่อไปในอนาคต ขอให้ทุกท่านรอติดตามผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นจากเราต่อไปครับ
ศุภกร รัตนวราหะ แถลงกลยุทธ์ทางการตลาดว่า “ชื่อของ “Travo” ได้รับแรงบันดาลใจจากการผสมผสานคำว่า “Travel” และ “Voyage” สะท้อนถึงจิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหว การสำรวจ และการผจญภัยเป็นเพื่อนร่วมทางของผู้ที่มีแรงขับเคลื่อนในชีวิต พร้อมปรับตัว และกล้าท้าทายสิ่งใหม่ๆ รวมถึงการเติบโตทั้งในชีวิตส่วนตัว และสายอาชีพ
และแน่นอนว่า ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ ระหว่างการพัฒนา Hilux Travo ทีมวิศวกรของเราได้ลงพื้นที่ศึกษาวิจัยอย่างลึกซึ้ง เพื่อทำความเข้าใจว่า "รถกระบะในอุดมคติ" สำหรับคนไทยควรเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานแบบผสมผสาน ทั้งด้านลอจิสติคส์ การเดินทาง หรือการใช้ส่วนตัวเพื่อท่องเที่ยว ทีมงานได้สำรวจตลาด รับฟังเสียงจากลูกค้า อินฟลูเอนเซอร์ และร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างใกล้ชิดกับพี่ๆ สื่อมวลชนสายยานยนต์
ตำแหน่งผลิตภัณฑ์ของ Hilux ประกอบด้วย 3 รุ่นหลัก ได้แก่ Hilux Revo/Hilux Travo และ Hilux Champ
Hilux Revo จะเน้นการใช้งานเชิงธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มลอจิสติคส์ และผู้ที่ชื่นชอบการตกแต่งรถ
Hilux Travo เน้นฟังค์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ลูกค้าหลากหลายกลุ่ม ทั้ง Offroad และ Urban Lifestyle ขณะที่ Hilux Travo-e เหมาะสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพระดับพรีเมียม และองค์กรที่มีวิสัยทัศน์
Hilux Champ จะเน้นไปที่ตลาด Conversion ตอบโจทธ์ธุรกิจ และผู้ใช้ส่วนตัวที่รักการตกแต่งรถ
Hilux ทั้ง 3 รุ่นนี้ Toyota ยังคงยึดมั่น ในการที่จะไม่ทิ้งลูกค้ากลุ่มใดไว้ข้างหลัง เริ่มจาก Hilux Travo นำโดย รุ่น Overland รถเรือธงของเราที่เน้นลูกค้าส่วนบุคคลที่มองหาคู่หูที่ไว้ใจได้ พร้อมลุยทุกเส้นทาง ด้วยดีไซจ์นที่โดดเด่น และระบบการขับขี่ "Dynamic Cloud" ที่เพิ่มประสิทธิภาพ การควบคุมการทรงตัว และสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลที่ดียิ่งขึ้น เสริมสร้างสมรรถนะในการขับขี่ และความสบายในทุกมิติ เพื่อให้ลูกค้าได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์จริง เราขอเชิญทุกท่านที่โชว์รูม Toyota ได้ตั้งแต่วันที่ 21-30 พฤศจิกายน
นอกจากนี้ สำหรับลูกค้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล สามารถสัมผัส Hilux Travo ได้ที่งาน Thailand International Motor Expo ณ IMPACT เมืองทองธานี และสำหรับผู้ที่อยากสัมผัสสมรรถนะ 4x4 อย่างเต็มรูปแบบ ขอเชิญร่วมกิจกรรมทดลองขับที่สนามทดสอบใหม่ล่าสุด ณ Toyota Alive ในเดือนธันวาคมนี้
สำหรับรถกระบะไฟฟ้า Travo-e ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าระดับพรีเมียม และองค์กรที่มีวิสัยทัศน์ ที่ให้ความสำคัญกับนวัตกรรม และความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) Toyota ได้เตรียมแผนการดูแลลูกค้าทุกมิติ ทั้งประกันภัยชั้น 1 พร้อมแพคเกจการดูแลรักษารถ BEV แบบครบวงจร และการช่วยลดต้นทุนผ่านโปรแกรมการเช่าใช้ Kinto โดยเราได้จัดราคาพิเศษสำหรับลูกค้าประเภทองค์กรอีกด้วย
ทั้งนี้ในส่วนของประกันภัย Toyota ได้ร่วมมือกับบริษัทประกันภัยชั้นนำ 7แห่ง จัดทำประกันภัยชั้น 1 Toyota Care PHYD เพื่อมอบความคุ้มครองที่คุ้มค่าสูงสุดให้แก่ลูกค้า และด้วยคุณภาพมาตรฐานจาก Toyota ทำให้บริษัทประกันภัยมั่นใจใน Travo-e ด้วยเบี้ยประกันที่ถูกที่สุดในตลาดรถยนต์ BEV สำหรับการต่ออายุประกันภัย ยังได้รับส่วนลดสูงสุดถึง 40 % และสามารถต่ออายุความคุ้มครองต่อเนื่องถึง 8 ปี นี่คืออีกหนึ่งความตั้งใจของเรา ที่จะทำให้การเป็นเจ้าของรถไฟฟ้าเป็นเรื่องง่าย และคุ้มค่าสำหรับลูกค้าทุกท่าน
นอกจากตัวผลิตภัณฑ์แล้ว ลูกค้า BEV ของ Toyota ยังสามารถมั่นใจได้ในบริการหลังการขายแบบครบวงจร เริ่มจากค่าใช้จ่ายการบำรุงรักษาต่ำกว่า ทีมงานที่ผ่านการฝึกอบรมมาอย่างดี เครือข่ายศูนย์บริการตัวถัง และสีที่ครอบคลุมทั่วประเทศ อะไหล่ที่พร้อมใช้งาน และมาตรฐานคุณภาพที่เชื่อถือได้ของ Toyota และนี่คือสิ่งยืนยันถึงความพร้อมที่จะส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าในทุกรูปแบบ”
สำหรับ Hilux Revo ศุภกร กล่าวขออภัยลูกค้า ที่ยังไม่ได้เปิดตัวรุ่น Z Edition ใหม่ได้ในการเปิดตัวครั้งนี้ ทั้งนี้ Hilux Revo Z Edition ได้รับการปรับปรุงโฉมไปในปี 2567 อย่างไรก็ตาม สำหรับ Hilux Revo มีการเพิ่มระบบความปลอดภัย ADAS ได้แก่ ระบบแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า และระบบช่วยเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่โดยยังคงราคาเดิม และนำเสนอชุดแต่งเวอร์ชันใหม่ของ Charismo ในชื่อ “Drift Package & Rock Package” ทั้งยังมาพร้อมแคมเปญที่น่าดึงดูดใจ โดยเน้นไปที่การเป็นเจ้าของได้ง่ายด้วยข้อเสนอผ่อนต่ำ ฟรีประกันภัยชั้น 1 พร้อมแคมเปญเฉพาะกลุ่มอย่างธุรกิจขนส่ง นอกจากนั้น ยังเข้าร่วมมาตรการค้ำประกัน “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” จากรัฐบาล และพิเศษ ลูกค้า Toyota ทุกรุ่น สามารถร่วมแคมเปญส่งท้ายปีเก่า อาริกาโตะ รับส่วนลดเมื่อซื้อรถ Toyota และลุ้นรางวัลต่อโดยมีมูลค่ารางวัลรวมกว่า 593 ล้านบาท
Hilux Champ ที่มีส่วนสำคัญอย่างมากในตลาดรถกระบะ ซึ่งจากการสำรวจ พบว่า ลูกค้า Hilux Champ มีการใช้งานเชิงพาณิชย์ สูงถึงประมาณ 80 % โดยลูกค้าที่ซื้อส่วนใหญ่เป็นเจ้าของกิจการ ตัดสินใจซื้อรถรุ่นนี้ เพราะเป็นกระบะท้ายเรียบ แบบเปิด 3 ทาง และคุ้มค่าการลงทุน ดังนั้นในไตรมาส 4 แคมเปญพิเศษ จะเน้นเจาะกลุ่มผู้ประกอบการ ในแต่ละรายอาชีพอย่างต่อเนื่อง และ 20 % ของกลุ่มลูกค้า Hilux Champ เป็นตลาด Private ส่วนใหญ่เป็นลูกค้ารายได้สูง ซื้อรถเพื่อไปตกแต่งตามความชอบ และ Lifestyle ทั้งนี้ ยังได้มีการแนะนำ Hilux Champ รุ่นช่วงล้อสั้นพิเศษ ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการตกแต่งเพิ่มเติม
นอกจากนี้ Toyota ยังได้นำรถแต่งต้นแบบจากอู่แต่งพันธมิตร TJM ภายใต้ Concept Outdoor Escape และ SSS กับ Concept Mobile Service มาจัดแสดง พร้อมแนะนำ World of Hilux ที่จัดแสดง Hilux ในรูปแบบที่หลากหลาย เพื่อให้ลูกค้าเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า Hilux ตอบสนองการใช้งานได้อย่างครอบคลุม ทั้งสำหรับไลฟ์สไตล์ และการใช้งานเชิงพาณิชย์




















