ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
Motor Expo 2025 อลังการงานแสดง ยอดจองกว่า 70,000 คัน
“มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42” งานใหญ่โค้งสุดท้ายปี 2568 ยอดจองรถยนต์ไฟฟ้ามาแรงเกินครึ่ง ตามติดด้วยรถไฮบริด รถสันดาป รถพลัก-อิน ไฮบริด ส่วนจักรยานยนต์คึกคัก ผู้ชมรวมกว่า 1.5 ล้าน เงินสะพัด 7 หมื่นล้านบาท
ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42” เปิดเผยว่า “งาน Motor Expo 2025 เป็นการจัดงานที่อยู่ในช่วงเวลาที่ดีที่สุดแห่งปี ผนวกกับมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ระยะที่ 1 (EV3.0) ที่จะสิ้นสุดปีนี้ รวมถึงการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ ที่จะเริ่มปี 2569 ส่งผลให้งานประสบความสำเร็จอย่างสูง และช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ปีนี้ที่ซบเซาให้กลับมาคึกคัก พร้อมสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจไทยได้กว่า 7 หมื่นล้านบาท”
สำหรับยอดจองรถในงาน แบ่งเป็นรถยนต์ 75,246 คัน จักรยานยนต์ 5,263 คัน และจากข้อมูลผู้ร่วมกิจกรรม “ซื้อรถ...ชิงรถ” พบว่า รถยนต์ไฟฟ้ามีสัดส่วนสูงถึง 50 % ส่วนรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ (สันดาป, ไฮบริด และพลัก-อิน ไฮบริด) 50 % นอกจากนั้น ประเภทรถที่ได้รับความสนใจแบ่งเป็นประเภทต่างๆ ได้แก่ รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) 58.4 % รถเก๋ง 27.8 % รถอเนกประสงค์ (MPV) 7.6 % รถกระบะ 4.5 % และอื่นๆ 1.7 %
รถยนต์รุ่นที่ผู้ซื้อเข้าร่วมกิจกรรม “ซื้อรถ...ชิงรถ” สูงสุด 6 อันดับแรก ได้แก่ Mitsibishi Xforce (มิตซูบิชิ เอกซ์ฟอร์ศ), Honda HR-V (ฮอนดา เอชอาร์-วี), Geely EX2 (จีลี อีเอกซ์ 2), Jaecoo 5 EV (เจคู 5 อีวี), BYD Atto 3 (บีวายดี อัตโต 3) และ Toyota Yaris Cross (โตโยตา ยารีส ครอสส์)
รถจักรยานยนต์ที่ผู้ซื้อเข้าร่วมกิจกรรม “ซื้อมอเตอร์ไซค์...ชิงบิกไบค์” สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ Lambretta (ลัมบเรตตา), Yamaha (ยามาฮา), Deco (เดโค), EM (อีเอม) และ Zontes (ซอนเทส)
ราคาเฉลี่ยของรถยนต์ที่ขายได้ในงาน 1,122,347 บาท รถจักรยานยนต์เฉลี่ย 177,637 บาท เงินหมุนเวียนในงานราว 7 หมื่นล้านบาท
ปีนี้ ผู้ชมงานสามารถเดินทางด้วยรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสถานีเมืองทองธานี และยังมีแพคเกจ Motor Expo Exclusive Visitor ที่อำนวยความสะดวกระดับ VIP ส่งผลให้มีผู้เข้าชมงาน 1,521,296 คน ยอดดาวน์โหลด Motor Expo Application 45,298 คน และมีผู้ชมงานออนไลน์ 2,028,044 วิว
พบกันใหม่ในงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 43” และติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ทุกสื่อในเครือ “IMC สื่อสากล”
..........................................................................................................................
7 ที่สุดในงาน Motor Expo 2025
"มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42" หรือ Motor Expo 2025 ปีนี้เเต่ละค่ายได้ยกทัพรถยนต์ รถไฟฟ้า มอเตอร์ไซค์ นวัตกรรมต่างๆ และสิ่งที่น่าสนใจอีกมากมายมาไว้ในงาน เราเลยขอคัด 7 ของความเป็นที่สุด ในงาน Motor Expo ครั้งนี้ มาฝากกัน
สะดุดตาที่สุด
เริ่มต้นที่ Govy AirCab (โกวี แอร์แคบ) ยานยนต์บินได้ไร้คนขับ รุ่นแรกของโลก ที่มีการผลิตแบบ Mass Production ของ GAC Aion (จีเอซี ไอออน) ในการปฏิวัติการเดินทางสู่น่านฟ้า มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 6 แกน 12 ใบพัด และระบบความปลอดภัยสำรอง ที่ช่วยประคองตัวเครื่องลงจอดได้อย่างนุ่มนวล รองรับการบินไกล 30 กม. และชาร์จเร็วเพียง 25 นาที จนเรียกได้ว่าเป็นการเปิดมิติใหม่แห่งการเดินทาง จนทำให้ใครที่มาเดินงาน Motor Expo 2025 ก็ต้องสะดุดตากับเจ้า Govy AirCab
รถราคาแพงที่สุด
ต้องขอยกตำแหน่งนี้ให้แก่ Porsche 911 Spirit 70 (โพร์เช 911 สปิริท 70) โดยเป็นเวอร์ชันพิเศษ ตกแต่งด้วยแรงบันดาลใจจาก Porsche ในอดีตยุค 70 พร้อมกับตัวถังสีเขียวเข้ม Olive Neo ซึ่งเป็นสีพิเศษ ผลิตจำนวนจำกัด 1,500 คันทั่วโลก พร้อมขุมพลัง GTS สะท้อนถึงความหรูหรา และเอกลักษณ์ของรถสปอร์ทในยุคนั้น โดยมีค่าตัวเริ่มต้นที่ 25,500,000 บาท จัดว่าเป็นรถที่แพงที่สุดในงาน Motor Expo ปีนี้
รถ EV ราคาถูกสุด
หากคุณถามถึงรถไฟฟ้า (EV) ราคาถูกที่สุดในงาน คำตอบนี้ต้องยกให้แก่เจ้า Pocco (พอคโค) รุ่น MM (เอมเอม) รถไฟฟ้าคันจิ๋วแบบ 3 ประตู ที่มาพร้อมรูปลักษณ์ทันสมัย ขนาดเล็กกะทัดรัด ราคาน่ารัก โดยมีราคาเริ่มต้นเพียง 199,000 บาท ตัวรถเหมาะสำหรับคนคูลๆ ที่ใช้งานในเมือง และในชีวิตประจำวันของคนรุ่นใหม่ ใครสนใจลองมา Test Drive กันได้ในงาน Motor Expo 2025
รถขนาดใหญ่ที่สุด
ยักษใหญ่ในงาน ขอยกให้ Nex EV Tractor (เนกซ์ อีวี ทแรคเตอร์) รถหัวลากพลังงานไฟฟ้า โดยออกแบบมาให้มีความแข็งแรงทนทาน เพื่องานขนส่งขนาดใหญ่ และบรรทุกหนักโดยเฉพาะ พร้อมโครงสร้างตัวถังเหล็กกล้าความแข็งแรงสูง น้ำหนักรถเปล่า 11,010 กก. (ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย/อุปกรณ์เสริม) น้ำหนักลากจูงสูงสุด 50,500 กก. มิติโดยรวม (ยาวxกว้างxสูง): ประมาณ 7,400x2,550x3,600 มม. และความจุแบทเตอรี 423 กิโลวัตต์ชั่วโมง กำลังมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 410 กิโลวัตต์ ให้กำลังสูงสุด 550 แรงม้า
รถยนต์อายุมากที่สุด
ตำแหน่งนี้ตกเป็นของ Mercedes-Benz 170 SV (เมร์เซเดส-เบนซ์ 170 เอสวี) รหัสตัวถัง W136 ที่จัดแสดงภายในบูธรถโบราณ ถูกผลิตขึ้นตั้งแต่ปี 1954 เป็นพแลทฟอร์มที่ยืนยงที่สุดรุ่นหนึ่งของ Mercedes-Benz โดยออกมาในระยะฟื้นฟูเศษฐกิจยุคหลังสงคราม ที่ตอนนั้นคนส่วนใหญ่ต้องการรถราคาประหยัด ทนทาน บำรุงรักษาง่าย อีกทั้งยังเป็นซีดานรุ่นสำคัญช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดีไซจ์นสมัยใหม่ เเม้จะเป็นรถยนต์อายุมากที่สุดในงาน แต่ก็ยังคงความสวยงามทรงเสน่ห์เหนือกาลเวลาจริงๆ
มอเตอร์ไซค์ราคาแพงที่สุด
เอาใจสายไบเคอร์กันบ้าง กับมอเตอร์ไซค์ที่ราคาแพงที่สุดในงาน ซึ่งต้องยกให้พี่ใหญ่อย่าง Harley-Davidson Road Glide (ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน โรด กไลด์) ปี 2025 รถ Grand American Touring อันเป็นเอกลักษณ์ของ Harley-Davidson ผสานเข้ากับสมรรถนะอันเหนือชั้น ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ Milwaukee-Eight 117 พร้อมด้วยดีไซจ์นแฟริงหน้าแบบ Sharknose อันเป็นเอกลักษณ์สุดเท่ ที่มาในราคา 1,728,000 บาท
มอเตอร์ไซค์แรงม้าเยอะที่สุด
มอเตอร์ไซค์เเรงม้าเยอะที่สุดในงานต้องยกให้แก่ Ducati Panigale V4 S (ดูกาตี ปานิกาเล วี 4 เอส) ที่เป็นสุดยอดยนตรกรรมแห่งความเร็ว ผสานเทคโนโลยีล้ำสมัย ทั้งแอโรไดนามิค หลักสรีรศาสตร์ โดยมีขุมพลังแรงม้าถึง 216 แรงม้า 1,103 ซีซี รวมถึงระบบอีเลคทรอนิคส์อัจฉริยะ ดีไซจ์นงดงาม และประณีต ในแบบฉบับ Ducati
...............................................................................................................................................
6 ไฟฟ้าแรงเกินตัว ค่าตัวไม่เกิน 2 ล้านบาท !
ต้องบอกว่า “เดือดแบบไม่มีพัก” ผู้ผลิตจากจีน-ยุโรปต่างดันโมเดลสมรรถนะสูงเข้าไลน์อัพกันแบบรัวๆ หลายรุ่นแรงระดับซูเพอร์คาร์ แต่ราคาไม่ถึง 2 ล้านบาท
Autoinfo เราคัด 6 รุ่นไฟฟ้าสุดจี๊ด เอาใจคนเท้าหนัก ที่ให้พลังเกินตัว อัตราเร่งสะใจ เทคโนโลยีล้ำ ในราคาที่จับต้องได้แบบคุ้มโคตร มาดูกันว่าจะมีรุ่นไหนน่าสนใจบ้าง
Avatr 07 Ultra
เอสยูวีไฟฟ้าน้องใหม่ แต่ฉุดหลังติดเบาะ คาแรคเตอร์รถล้ำ พร้อมเทคโนโลยีขั้นสุด รุ่น 07 Ultra มาพร้อมมอเตอร์คู่ พลังเหลือเฟือ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 3.9 วินาที แรงในระดับรถสปอร์ท มาพร้อมช่วงล่างสมาร์ท, ระบบ HarmonyOS ที่ตอบสนองไว และดีไซจ์นสไตล์พรีเมียมยิ่งกว่าในกลุ่มราคาเดียวกัน ถือเป็น “ของแรงที่มาพร้อมความผู้ดีแบบครบเครื่อง” ราคา 1,659,000- 1,859,000 บาท
BYD Seal
ถ้าพูดถึง EV แรงแบบไม่เกิน 2 ล้านบาท ชื่อแรกที่ต้องโผล่มา คือรุ่น Seal Performance มอเตอร์คู่ 530 แรงม้า แรงบิด 670 นิวทันเมตร ช่วงล่างปรับปรุงใหม่ เน้นสปอร์ทขึ้น เร้าใจ พร้อมเทคโนโลยี Blade Battery ที่ทั้งทน และปลอดภัย พร้อมฟีเจอร์จัดหนักเกินราคาแบบแทบไม่ต้องแต่งเพิ่ม ราคา 799,900-999,000 บาท
MG IM6
รถพลังไฟฟ้าที่ใส่ DNA สปอร์ทมาเต็ม ท้ายรถทรงลาด ไม่ว่าจะเป็นกำลังขับที่มหาศาลถึง 778 แรงม้า ฟีลพวงมาลัยคม คล่องตัว ชาร์จ DC สูงสุด 396 กิโลวัตต์ เหมาะกับสายสนุกที่ต้องการรถจบๆ ไม่เกิน 2 ล้านบาท แต่ได้สมรรถนะที่เล่นกับรถยุโรปได้แบบไม่อายใคร อารมณ์แรงระดับซูเพอร์คาร์ แต่มาดรถเอสยูวี ราคา 1,299,900-1,699,900 บาท
MG4 XPOWER
หนึ่งในรถไฟฟ้าที่ขึ้นชื่อว่า “ขับหลังที่มันที่สุด” เอาใจสายดิบ แรงแบบจับต้องได้ที่สุด บนพแลทฟอร์มแฮทช์แบค น้ำหนักเบา แรงม้าทะลุ 400+ ช่วงล่างเข้ม เอาใจสายซิ่งที่ชอบฟีลขับแบบยุโรป แถมราคายังยั่วใจแบบสุดๆ สำหรับคนอยากได้รถแรง สเปคจัดเต็ม กับราคาพิเศษเพียง 849,000 บาท
Volvo EX30 Twin Motor
เล็กแต่จี๊ด แรงแบบหลังติดเบาะ กับ EX30 Twin Motor คือ จรวดไฟฟ้าที่แรงเกินตัวที่สุดรุ่นหนึ่งของตลาด อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ต่ำกว่า 4 วินาที พร้อมฟีลิงการขับที่นิ่งแน่นตามสไตล์ Volvo ช่วงล่างหนึบ มั่นใจ และงานดีไซจ์นมีนีมอลแบบพรีเมียมสวีเดน เน้นวัสดุเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม บวกสมรรถนะระดับเทียบรถสปอร์ทคันละหลายล้าน แต่ตามสไตล์รถรักษ์โลกกับราคาเพียง 1,890,000 บาท
Zeekr 7X Performance
เอสยูวีไฟฟ้าหน้าใหม่ที่แรงแบบไม่เกรงใจใคร จัดแรงม้าในรุ่น Performance ให้อัตราเร่ง 637 แรงม้า รู้สึกถึงแรงกดแบบ Warp พร้อมช่วงล่างที่เซทมาทางสปอร์ท ควบคุมดีเกินราคา และมีดีไซจ์นสไตล์ยุโรปผสมความล้ำแบบรถจีนยุคใหม่อย่างลงตัว เหมาะกับคนที่ต้องการรถเอสยูวีขับดี เทคโนโลยีใหม่ และยังอยากได้ความพรีเมียมแบบซีดานตัวทอพ ราคา 1,399,000-1,799,000 บาท
ปีนี้ คือ ปีทองของสาย Performance EV ตัวแรง เพราะแต่ละแบรนด์จัดเต็มจนตลาดสะเทือนจริงๆ มีครบทั้งพรีเมียมล้ำสไตล์เทค เน้นเท่ยุโรป บอกได้เลยว่า งบไม่ถึง 2 ล้านบาท แต่ยืนหนึ่งเรื่องแรง มีให้เลือกครบทุกสไตล์ ถ้าคุณชอบแรงแบบ “เหยียบแล้วมีเรื่อง” แต่ไม่อยากจ่ายเกิน 2 ล้านบาท มาเยี่ยมชมได้ที่งาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42” (The 42nd Thailand International Motor Expo 2025) ตั้งแต่วันนี้-10 ธันวาคม 2568 ณ IMPACT ชาลเลนเจอร์ เมืองทองธานี
..........................................................................................................................
Nissan X-Trail e-Power e-4ORCE ครอสส์โอเวอร์ เอสยูวี ขุมกำลังมอเตอร์คู่...เครื่องยนต์ปั่นไฟ
Nissan X-Trail e-Power e-4ORCE (นิสสัน เอกซ์-ทเรล อี-เพาเวอร์ อี-ฟอร์ศ) ครอสส์โอเวอร์ เอสยูวีพรีเมียมรุ่นใหม่ รหัสตัวถัง T33 มิติตัวรถยาว 4,680 มม. กว้าง 1,840 มม. สูง 1,725 มม. ระยะฐานล้อ 2,705 มม. ล้อขนาด 19 นิ้ว ยาง 235/55 R19
กระจังหน้าดีไซจ์น Double V-Motion แบบ 3D การตกแต่งใต้ตัวถังด้วยโครเมียมเพิ่มความหรู ไฟหน้า LED ทรงเรียวบาง กระจกมองข้างพับได้ด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยวในตัวช่วยเพิ่มความปลอดภัยขณะเลี้ยว หรือเปลี่ยนเลน เส้นสายตัวถังที่สื่อความปราดเปรียว ราวหลังคา และไฟท้ายทรง Boomerang ที่เป็นเอกลักษณ์
หน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบ TFT จอสี ขนาด 12.3 นิ้ว พร้อมระบบแสดงการขับขี่ Head-up Display
ระบบเครื่องเสียง Bose Premium Audio System พร้อม Nissan Connect รองรับ Wireless Apple Car Play/Android Auto หน้าจอสัมผัส 12.3 นิ้ว
หลังคากระจกพาโนรามิคเปิด-ปิดไฟฟ้า พร้อมม่านบังแดดไฟฟ้า
ประตูท้ายไฟฟ้าพร้อมเซนเซอร์เปิด-ปิดอัตโนมัติ เทคโนโลยีตัดเสียงรบกวน (Active Noise Cancellation) และระบบปรับอากาศแบบแยกอิสระ 3 โซน
เบรคมือไฟฟ้า และ Auto Brake Hold
เบาะแบบ 3 แถว 7 ที่นังของ X-Trail
เบาะนั่งคู่หน้าขนาดใหญ่โอบกระชับสรีระ รองรับแผ่นหลังได้ดี บุด้วยหนังคุณภาพสูง สามารถปรับด้วยระบบไฟฟ้าได้ 10 ทิศทาง ระบบปรับอากาศแยก 3 โซน สามารถปรับอุณหภูมิได้ตามความชอบจึงเพิ่มความสบายให้กับผู้โดยสารทุกที่นั่ง
นอกจากนี้ เบาะแถว 2 พับได้แบบ 40:20:40 ใช้งานง่าย และที่นั่งแถว 3 นั่งได้ 2 คน ท้ายรถมีพื้นที่กว้างขวางจุสัมภาระได้มากถึง 485 ลิตร สามารถจุของหลายชิ้น หรือขนาดใหญ่ได้สบายๆ
ประตูหลังเปิดกว้าง 85 องศา หนึ่งเดียวในรถประเภทเดียวกัน ช่วยเพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารในการเข้า และออกจากรถ ม่านบังแดดในแถวที่ 2 ให้ความสบาย และความเป็นส่วนตัว กระจกมองหลังแบบตัดแสงสะท้อนอัตโนมัติ ช่วยให้ขับขี่กลางคืนได้อย่างปลอดภัย และสบายมากขึ้น เพิ่มความสุนทรีย์ด้วยเครื่องเสียง Premium Bose พร้อมลำโพง 9 ตัว ให้เสียงคมชัด เติมความพรีเมียมด้วยหลังคาพาโนรามิคซันรูฟ และประตูท้ายไฟฟ้าเปิด-ปิดแบบแฮนด์ฟรี
X-Trail e-POWER มอเตอร์หน้า-หลัง
มาพร้อมกับเทคโนโลยี e-Power เจเนอเรชันที่ 2 และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ มอเตอร์ล้อคู่หน้า กำลังสูงสุด 150 กิโลวัตต์/204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 330 นิวทันเมตร/33.62 กก.ม. ส่วนมอเตอร์ล้อคู่หลัง กำลังสูงสุด 100 กิโลวัตต์/135 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 195 นิวทันเมตร/19.87 กก.ม. ซึ่งทำงานร่วมกันเป็นระบบ e-4ORCE กำลังสูงสุดทั้งระบบ 213 แรงม้า แรงบิด 525 นิวทันเมตร
เครื่องยนต์ รหัส KR15DDT เบนซิน เทอร์โบ 3 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 144 แรงม้า ที่ 4,400-5,000 รตน. แรงบิดสูงสุด 250 นิวทันเมตร/25.5 กก.ม. ที่ 2,400-4,000 รตน. ทำหน้าที่ปั่นไฟไปเก็บในแบทเตอรีขนาด 1.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลา 7.2 วินาที ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ มีให้เลือกถึง 5 โหมดด้วยกัน คือ Off-Road, Snow, Standard, Eco และ Sport
X-Trail ขับ 4 ล้อ แบบไฟฟ้า e-4ORCE
ระบบ e-4ORCE ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ แยกหน้า-หลัง ทำงานอย่างอิสระเพื่อคำนวณแรงขับเคลื่อนที่เหมาะสมกับการเลี้ยว การเร่ง และการเบรคตามการควบคุมของผู้ขับ พร้อมระบบควบคุมเบรคซ้าย-ขวาอย่างแม่นยำ เพื่อให้แรงขับเคลื่อนทั้ง 4 ล้อทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
e-4ORCE ให้การตอบสนองที่ดีกว่าระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบเดิมที่ใช้กำลังส่งเชิงกล และจำกัดการกระจายแรงไว้ที่ 50:50 โดย e-4ORCE สามารถปรับแรงขับเคลื่อนระหว่างล้อหน้า และหลังได้อย่างอิสระ ตั้งแต่ 100:0-0:100 และเมื่อผสานกับระบบควบคุมเบรค ล้อซ้าย และขวาสามารถปรับแรงได้ด้วยความเร็ว และความแม่นยำ ควบคุมง่าย ลดการโคลงตัวของรถในขณะเบรค หรือลงทางลาดชัน ซึ่งให้ทั้งความสะดวกแก่ผู้ขับ และความสบายแก่ผู้โดยสาร
Nissan X-Trail ใหม่ พร้อมเทคโนโลยี e-4ORCE มาพร้อมระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระ (Independent Front Suspension) และระบบกันสะเทือนหลังอิสระแบบมัลทิลิงก์ (Independent Multi-Link Rear Suspension) ดิสก์เบรคทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ระบบพวงมาลัยแบบ Rack and Pinion พร้อมพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า (Electric Power Steering: EPS) และคอพวงมาลัยปรับได้ ระบบทั้งหมดนี้ทำงานสอดประสานกันให้การขับขี่ที่ราบรื่น มั่นคง ควบคุมที่แม่นยำช่วยให้ผู้ขับขี่ลุยได้ทุกสภาพถนน
Nissan ใส่เต็มความปลอดภัยใน X-Trail
มาพร้อมกับเทคโนโลยีความปลอดภัยเต็มพิกัด อาทิ ถุงลมนิรภัย 6 จุด ระบบเบรคป้องกันล้อล็อค Anti-Lock Braking System (ABS) พร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูง 360˚ และเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ช่วยป้องกัน และปกป้องเมื่อเกิดอุบัติเหตุมากมาย เช่น ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัตโนมัติ Vehicle Dynamic Control (VDC) ระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน Hill Start Assist (HSA) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน Descent Control System (DCS) ระบบช่วยเตือนก่อนการชนด้านหน้าอัจฉริยะ Intelligent Forward Collision Warning (IFCW) ระบบช่วยเบรคฉุกเฉินอัจฉริยะ Intelligent Emergency Braking (IEB) ระบบเตือนเมื่อผู้ขับขี่เมื่อยล้า (Driver Attention Alert (DAA) ระบบกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง Intelligent Around View Monitor (IAVM) พร้อมระบบเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน Moving Object Detection (MOD) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ Intelligent Cruise Control (ICC) ระบบเตือนจุดอับสายตา Blind Spot Warning System (BSW) ระบบเตือนขณะถอยรถ Rear Cross Traffic Alert (RCTA) ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง Lane Departure Warning (LDW) ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ High Beam Assist (HBA) และระบบตรวจสอบแรงดันลมยางอัตโนมัติ Tyre Pressure Monitoring System (TPMS)
Nissan X-Trail ราคาตามสีตัวรถ...มีทูโทน
Nissan X-Trail e-Power e-4ORCE ราคาเริ่มต้นที่ 1,699,000 บาท
ตัวถังภายนอก 6 สี ให้เลือก ได้แก่ ดำ Diamond Black ขาว Storm White (เพิ่ม 12,000 บาท) เทา Gun Metallic
ดำ Diamond Black
ขาว Storm White
เทา Gun Metallic
และรุ่นสีทูโทนหลังคาดำ เพิ่ม 20,000 บาท ขาวหลังคาดำ Storm White with Black Roof เงินหลังคาดำ Champagne Silver with Black Roof และเทาหลังคาดำ Stealth Grey with Black Roof
ขาวหลังคาดำ Storm White with Black Roof
เงินหลังคาดำ Champagne Silver with Black Roof
เทาหลังคาดำ Stealth Grey with Black Roof
นอกจากนี้ ยังมีชุดตกแต่งแท้พิเศษเฉพาะช่วงเปิดตัว Signature Package สีดำ Piano Black สุดพรีเมียมที่ออกแบบมาเพื่อลูกค้าชาวไทยโดยเฉพาะ ได้แก่ กระจังหน้า ชุดคิ้วกระจังหน้า ชุดสเกิร์ทกันชนหน้า โลโกฝาท้าย X-Trail ชุดสเกิร์ทกันชนหลัง และชุดชายบันไดข้าง และเพิ่มความอุ่นใจ Nissan ยังมอบการรับประกันตัวรถ (5 ปี หรือ 150,000 กม.) ประกันระบบ e-Power (5 ปี หรือ 150,000 กม.) และรับประกันแบทเตอรี 10 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง (สำหรับแบทเตอรีของระบบ e-Power)
..........................................................................................................................
Jaecoo เผยยอดจดทะเบียน เดือนพฤศจิกายน 2568 คว้าอันดับ 1
Omoda & Jaecoo (โอโมดา แอนด์ เจคู) ประกาศความสำเร็จ Omoda & Jaecoo สามารถคว้าอันดับ 1 ยอดจดทะเบียนรถไฟฟ้าในประเทศไทยประจำเดือนพฤศจิกายน 2568 โดยส่วนใหญ่เป็นรุ่น Jaecoo 5 EV สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์
บิล จาง ผู้อำนวยการบริหารแบรนด์ Omoda & Jaecoo ประเทศไทย กล่าวว่า นับเป็นความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคชาวไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของแบรนด์ในการตอบโจทย์ความต้องการของตลาด เรายังคงมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืน เพื่อส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับให้แก่ลูกค้าของเรา
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่สำหรับการส่งมอบรถไฟฟ้ารุ่น Jaecoo 5 EV ซึ่งมีกำหนดเดินทางถึงท่าเรือในประเทศไทยภายในเดือนธันวาคมนี้ พร้อมส่งมอบถึงมือลูกค้าตามกำหนดการอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ
โดย Omoda & Jaecoo การันตี Jaecoo 5 EV ราคานี้ดีที่สุด (Best Price Guarantee) ก่อนปรับราคากลับสู่ราคาปกติในปี 2569


















































































