ทดสอบ(4wheels) 19 Dec 2018
BENTLEY BENTAYGA DIESEL/RANGE ROVER VELAR/MASERATI LEVANTE S
4 WHEELS นำครอสส์โอเวอร์เอสยูวี จาก 3 ค่ายหรู ทั้งรุ่นใหญ่อย่าง เบนท์ลีย์ เบนเทย์กา 4.0 ดีเซล (BENTLEY BENTAYGA 4.0 DIESEL) หรูล้ำอย่าง เรนจ์โรเวอร์ เวลาร์ (RANGE ROVER VELAR) จากค่ายแลนด์ โรเวอร์ และสปอร์ทยกสูงอย่าง มาเซราตี เลวันเต เอส (MASERATI LEVANTE S)
EXTERIOR ภายนอก
เบนเทย์กา เป็นครอสส์โอเวอร์เอสยูวี รุ่นแรกของค่ายรถระดับสุดหรู สัญชาติอังกฤษ เบนท์ลีย์ ที่สร้างชื่อมาจากรถสปอร์ท และซีดานหรู จนกลายเป็นตำนาน ซึ่งนำเอาลักษณะเด่นของ เบนท์ลีย์ มาใส่ไว้ใน เบนเทย์กา ตั้งแต่ไฟหน้าทรงกลม 4 ดวง กระจังหน้าทรง 4 เหลี่ยมขนาดใหญ่ลายตะแกรงรังผึ้งพร้อมตัวอักษร B ติดปีก สันเหลี่ยมฝากระโปรงหน้าและซุ้มล้อคู่หลังขนาดใหญ่ แบบเดียวกับ คอนทิเนนทัล จีที รวมถึงไฟท้าย แอลอีดี ทรงโค้งมน มาอยู่ในร่างของเอสยูวี ที่มีแนวหลังคาลาดเทเล็กน้อย
เบนเทย์กา อยู่ในกลุ่ม ครอสส์โอเวอร์เอสยูวี ขนาดใหญ่ ด้วยความยาวตัวรถ 5,140 มม. ในรุ่น 4.0 ดีเซล ที่นำมาทดสอบครั้งนี้ มาพร้อมล้อแมกขนาด 21 นิ้ว และยางขนาด 265/45R21
เรนจ์ โรเวอร์ เวลาร์ (RANGE ROVER VELAR) น้องใหม่ในตระกูล แลนด์ โรเวอร์ มีขนาดตัวรถอยู่ตรงกลางระหว่าง เรนจ์ โรเวอร์ อีโวค (RANGE ROVER EVOQUE) และพี่ใหญ่ เรนจ์ โรเวอร์ สปอร์ท (RANGE ROVER SPORT) แม้ว่าจะไม่มีเครื่องยนต์ขนาด วี 8 ซูเพอร์ชาร์จ เหมือนพี่ใหญ่ หรือความสามารถในการขับขี่ทางลุย แต่ก็เป็นตัวกลางที่จะช่วยดึงดูดใจลูกค้า ให้ไม่หนีไปหา เมร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลซี รถของค่ายคู่แข่งได้ดีทีเดียว
ภายนอกกับหลอดไฟหน้า MATRIX LED ที่บางเฉียบ เน้นความโฉบเฉี่ยว บานพับที่จับประตูเรียบหรูกลมกลืนไปกับตัวรถ เสริมความสง่างามด้วยสีทองแดงมันวาว ซึ่งเป็นโทนสีสำหรับรถยนต์ที่มาแรงในอนาคต ขณะที่ระยะฐานล้อออกแบบมาให้กว้างใหญ่ เพื่อช่วยเสริมตัวรถให้มีความสง่างาม และเพิ่มความกว้างขวางภายในห้องโดยสารให้มากขึ้น เป็นการดีไซจ์นที่ให้ความสมดุลสวยงามในทุกสัดส่วน ทรงพลังแต่ปราดเปรียวในทุกมุมมองจากด้านหน้าจรดท้าย
มาเซราตี ค่ายรถสัญชาติอิตาเลียนที่มีประวัติมายาวนานกับรถสปอร์ท และสปอร์ทซีดาน ตามกระแสรถยนต์ประเภทครอสส์โอเวอร์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการพัฒนาและผลิต เลวันเต ครอสส์โอเวอร์เอสยูวี รุ่นแรกในประวัติศาสตร์
เช่นเดียวค่ายรถอื่นๆ เส้นสายของ เลวันเต สะท้อนเอกลักษณ์ของ มาเซราตี ได้อย่างครบถ้วน จะเห็นได้จากกระจังหน้าทรง 4 เหลี่ยมโค้งขนาดใหญ่ ไฟหน้าทรงเรียว แบบสปอร์ทร่วมค่ายอย่าง กวัตตโรโปร์เต ด้านข้างเน้นความปราดเปรียว กระจกหน้าต่างทรงเรียวรับกับแนวหลังคาที่ลาดเทแบบรถสปอร์ท ไฟท้ายทรงเหลี่ยม คล้ายกับ กิบลี สปอร์ทซีดานที่ออกมาก่อนหน้านี้ สำหรับรุ่นที่เราทดสอบในครั้งนี้ คือ เลวันเต เอส ตัวถังตกแต่งเน้นมาดสปอร์ท ล้อแมกขนาด 21 นิ้ว ท่อไอเสียคู่ แยกซ้าย/ขวา
เลวันเต เป็นครอสส์โอเวอร์เอสยูวี ที่มีความยาว 5,003 มม. ขนาดตัวค่อนข้างใหญ่ ระยะฐานล้อ 3,000 มม. มากกว่า เบนท์ลีย์ เบนเทย์กา และมีขนาดใหญ่กว่า บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ 5 แต่มีรูปร่างปราดเปรียว และลงตัว
INTERIOR ภายใน
ภายในตกแต่งด้วยวัสดุชั้นดีสมกับเป็น เบนท์ลีย์ ทั้งบริเวณคอนโซล แผงข้างประตู และเบาะนั่งจะเป็นวัสดุหนังแบบนุ่ม ที่เก็บสัมภาระบุด้วยพรมอย่างดี ทุกส่วนประกอบอย่างประณีต ด้านหน้าผู้ขับเต็มไปด้วยปุ่มใช้งานมากมาย อาจต้องใช้ความเคยชินในระยะแรก โดยเฉพาะปุ่มปรับโหมดการขับขี่ และปุ่มใช้งานระบบรองรับ ตรงคอนโซลกลางติดตั้งจอภาพขนาดใหญ่ ระบบสัมผัส การสั่งงานของระบบปรับอากาศถูกย้ายมาไว้ในหน้าจอเช่นกัน ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์อยู่ถัดลงมาจากคันเกียร์ พวงมาลัยทรงกลม ดูไม่สปอร์ทเท่าใดนัก แป้นแพดเดิล ชิฟท์ ทรงสั้น ติดตั้งกับพวงมาลัย ต่างจากรถสปอร์ทของ เบนท์ลีย์ หลายรุ่นจะใช้แป้นแพดเดิล ชิฟท์ ขนาดใหญ่ ติดตั้งตรงคอพวงมาลัย
ความกว้างขวางมีให้อย่างเหลือเฟือ โดยเฉพาะผู้โดยสารด้านหน้า แต่จุดที่เราแปลกใจ คือ พื้นที่ของผู้โดยสารด้านหลัง แม้ตัวเบาะจะเป็นแบบทรงสปอร์ท โอบสรีระได้ดี แต่ถ้าจะเอนพนักพิงหลัง ต้องเลื่อนเบาะมาข้างหน้า ทำให้ตัวเบาะอยู่ใกล้กับเบาะคู่หน้าค่อนข้างมาก (เพราะหลังเบาะไม่มีพื้นที่ให้เอน) ทำให้เหมาะกับการเป็นรถที่เจ้าของขับเอง มากกว่าการนั่งโดยสารด้านหลัง
การเก็บเสียงภายในห้องโดยสาร ทำได้อย่างยอดเยี่ยม สมกับระดับราคา 20 ล้านบาท แม้ว่าจะใช้เครื่องยนต์ดีเซล ระดับเสียงรบกวนจากภายนอกที่ความเร็ว 80/100/120 กม./ชม. คือ 60/62/67 เดซิเบล ถือว่าน่าพอใจ
ภายในห้องโดยสารของ เรนจ์ โรเวอร์ เวลาร์ จะเห็นความเรียบหรู แต่มีรายละเอียดในการออกแบบและตกแต่งในแต่ละส่วนอย่างมีคุณภาพ รวมทั้งลดจำนวนปุ่มควบคุมต่างๆ ให้ดูกลมกลืนสายตาทุกมุมมอง
ฐานล้อ 2,874 มม. แต่ออกแบบภายในอย่างชาญฉลาดทำให้ เวลาร์ กว้างขวาง สะดวกสบายเพียงพอสำหรับผู้โดยสารทุกคน อีกทั้งมีพื้นที่จัดเก็บสัมภาระความจุถึง 673 ลิตร ระดับเสียงรบกวนจากภายนอกที่ความเร็ว 80/100/120 กม./ชม. คือ 64/66/69 เดซิเบล อยู่ในระดับที่น่าพอใจ
ห้องโดยสารยังคงเน้นความเรียบง่าย พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน พร้อมโลโกตรีศูลตรงกลาง มาตรวัดแบบแอนาลอกดั้งเดิม จำนวน 2 วง แยกซ้าย/ขวา ตรงกลางเป็นจอดิจิทอลแสดงผลการทำงานต่างๆ ในรุ่น เอส ใช้วัสดุลายคาร์บอนไฟเบอร์ เพิ่มอารมณ์สปอร์ท เร้าใจด้วยการตกแต่งภายในห้องโดยสารแนวรถสปอร์ท รวมถึงเบาะนั่ง ด้วยหนังแท้ชั้นดี สีแดงสด แต่ยังคงความคลาสสิคด้วยการติดตั้งนาฬิกาแบบเข็มบนคอนโซลหน้า คันเกียร์ทรงโค้ง รูปทรงกระชับสั้น การเปลี่ยนโหมดเกียร์ใช้การโยกขึ้น/ลง แทนที่การเลื่อนลงมาเป็นขั้นแบบระบบเกียร์ทั่วไป
บรรดาปุ่มใช้งานต่างๆ จะติดตั้งทางฝั่งขวาของคันเกียร์ เพื่อความสะดวกต่อการใช้งาน ราวกับเป็นรถที่เน้นการขับขี่ด้วยตนเอง อีกจุดหนึ่งที่บ่งบอกความสปอร์ทของรถรุ่นนี้ คือ แพดเดิล ชิฟท์ ขนาดใหญ่ ติดตั้งกับคอพวงมาลัย ใช้วัสดุอลูมิเนียมยามใช้งานให้ความรู้สึกหนักแน่นดีมาก
เบาะนั่งสบายแม้เป็นตัวแรง รหัส เอส สามารถขับใช้งานในชีวิตประจำวันได้ เช่นเดียวกับด้านหลังนั่งสบายมีระยะเหนือศีรษะเหลือเฟือ แม้หลังคาจะค่อนข้างลาดเทก็ตาม แต่การรองรับผู้โดยสารด้านหลังแค่ 2 คน เนื่องจากมีซุ้มอุโมงค์เกียร์ขนาดใหญ่ อุปกรณ์ใช้สอย มีให้ครบ ทั้งระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พนักพิงหลังปรับเอนได้พอสมควร คุณภาพการประกอบแทบไม่มีที่ติ สมกับการเป็นค่ายรถหรู
ENGINE เครื่องยนต์
เบนเทย์กา 4.0 ดีเซล ใช้เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ ขนาด 4.0 ลิตร วี 8 สูบ กำลังสูงสุด 435 แรงม้า ที่ 3,750-5,000 รตน. (เป็นดีเซลรอบจัดพอสมควร) ให้แรงบิดสูงสุดถึง 91.8 กก.-ม. ตั้งแต่รอบต่ำที่ 1,000-3,250 รตน. ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา
อัตราเร่งของเอสยูวี ระดับหรู เครื่องยนต์ดีเซลบลอคใหญ่ ออกมาตามนี้ คือ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 6.2 วินาที อัตราเร่ง 0-1,000 ม. ใน 25.7 วินาที (ที่ความเร็ว 211.1 กม./ชม.) จัดเป็นเอสยูวี ที่มีอัตราเร่งจัดจ้านมากๆ ไม่น้อยหน้าบรรดาเอสยูวีตัวแรงเครื่องยนต์เบนซิน การตอบสนองคันเร่งแบบคิคดาวน์มีช่วงรอรอบเล็กน้อย แต่เมื่อเครื่องยนต์เริ่มตื่นตัว อัตราเร่งก็ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างรวดเร็ว จนแทบลืมไปเลยว่านี่คือเครื่องยนต์ดีเซล ส่วนอัตราเร่งยืดหยุ่น ที่ความเร็ว 60-100/80-120 กม./ชม. ออกมาตามนี้ คือ 3.2 และ 3.6 วินาที แรงบิดที่ถูกส่งออกมาตั้งแต่รอบเครื่องยนต์ต่ำ ทำให้การตอบสนองการเร่งแซงทำได้ยอดเยี่ยมเช่นกัน
สมรรถนะระดับดังกล่าว ถือว่าทำได้ใกล้เคียงกับเอสยูวี หรู ขุมพลังไฮบริดจากค่ายรถสปอร์ท นั่นคือ โพร์เช คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด (รุ่นก่อนหน้านี้) พละกำลังสูงสุดระดับ 400 แรงม้าขึ้นไป มีตัวเลขอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 6.4 วินาที อัตราเร่ง 0-1,000 ม. ใน 26.4 วินาที (ที่ความเร็ว 197.7 กม./ชม.) ขณะที่อัตราเร่งยืดหยุ่น ความเร็ว 60-100/80-120 กม./ชม. ออกมาตามนี้ คือ 3.1 และ 5.3 วินาที เรียกได้ว่ากิน เบนเทย์กา ขุมพลังดีเซลแทบไม่ลง แสดงให้เห็นว่าเครื่องยนต์ดีเซลบลอคใหญ่ มีความฉับไวไม่แพ้เครื่องยนต์ไฮบริด สมรรถนะสูงเลยทีเดียว
ส่วนอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย ทางผู้ผลิตระบุเอาไว้ที่ 12.5 กม./ลิตร นับว่าดีเกินคาด เมื่อเทียบกับขนาดตัวรถที่ใหญ่โต มีน้ำหนักถึง 2 ตันครึ่ง เป็นผลดีจากการใช้ขุมพลังดีเซล ทำให้ได้ประโยชน์ในแง่ของการประหยัดเชื้อเพลิงที่ทำได้ดีกว่าเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ บลอคใหญ่ ดับเบิลยู 12
เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร 180 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 43.8 กก.-ม. หรือ 430 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ติดตั้งระบบ CONFIGURABLE DYNAMICS ปรับคันเร่ง เกียร์อัตโนมัติ พวงมาลัย ตามความต้องการ หรือเลือกใช้ระบบ ADAPTIVE DYNAMICS ก็สะดวก ตัวเลขอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 10.8 วินาที อัตราเร่ง 0-1,000 ม. ใน 32.4 วินาที (ที่ความเร็ว 159.7 กม./ชม.) ขณะที่อัตราเร่งยืดหยุ่น ความเร็ว 60-100/80-120 กม./ชม. ในเวลา 5.9 และ 7.9 วินาที? เป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับ? แจกวาร์ เอฟ-เพศ 20 ดี ที่ใช้เครื่องยนต์?และเกียร์ชุดเดียวกัน? นอกจากนี้ยังใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ AWD เสริมด้วยระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ASR (ADAPTIVE SURFACE RESPONSE) มีระบบ IDD (INTELLIGENT DRIVELINE DYNAMICS) ถ่ายเทกำลังไปยังล้อได้อย่างนุ่มนวล ใช้ระบบควบคุม ASPC (ALL-SURFACE PROGRESS CONTROL) อาศัยแรงยึดเกาะที่มีอยู่มาใช้ควบคุมคันเร่งและเบรคแบบอัตโนมัติ เพื่อให้ตัวรถเคลื่อนไปอย่างนุ่มนวล ตั้งแต่ 3.6-30 กม./ชม. และเลือกความเร็วที่ต้องการโดยใช้สวิทช์ครูสคอนทโรล ทำงานได้ทั้งโหมดขับเคลื่อนล้อหลังและขับเคลื่อน 4 ล้อ และยังสามารถเลือกใช้ฟังค์ชันควบคุมคันเร่ง LFL (LOW -FRICTION LAUNCH)
เลวันเต เอส ใช้เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ วี 6 สูบ ขนาด 3.0 ลิตร กำลังสูงสุด 430 แรงม้า ที่ 5,750 รตน. แรงบิดสูงสุด 59.1 กก.-ม. ที่ 1,750-5,000 รตน. เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา สามารถแปรผันการส่งกำลังได้ตามสภาวะการขับขี่ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 6.4 วินาที อัตราเร่ง 0-1,000 ม. ที่ 25.8 วินาที (ที่ความเร็ว 209.3 กม./ชม.) อัตราเร่งยืดหยุ่น ช่วง 60-100 กม./ชม. คือ 3.0 วินาที และช่วง 80-120 กม./ชม. อยู่ที่ 3.5 วินาที ถือว่าจัดจ้านไม่เบา
เทียบกับ เลวันเต ดีเซล เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ แบบ วี 6 สูบ ขนาด 3.0 ลิตร กำลังสูงสุด 275 แรงม้า ที่ 4,000 รตน. แรงบิดสุงสุด 61.2 กก.-ม. ที่ 2,000-2,600 รตน. เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะชุดเดียวกันกับรุ่น เอส
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 8.2 วินาที อัตราเร่ง 0-1,000 ม. ที่ 29.1 วินาที (ที่ความเร็ว 182.5 กม./ชม.) อัตราเร่งยืดหยุ่น ช่วง 60-100 กม./ชม. คือ 4.2 วินาที และช่วง 80-120 กม./ชม. อยู่ที่ 5.6 วินาที
ตัวเลขของอัตราเร่ง เลวันเต ทั้งรุ่น เอส (เครื่องยนต์เบนซิน) และรุ่นดีเซล ทำให้เรามีความรู้สึกว่า รุ่นตัวแรงเครื่องยนต์เบนซินมีความเร้าใจมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ด้วยเสียงคำรามของเครื่องยนต์เมื่อกดคันเร่งคล้ายกับรถสปอร์ทระดับซูเพอร์คาร์ เนื่องจากเครื่องยนต์บลอคนี้ถูกพัฒนา และผลิตจากโรงงานเดียวกับค่ายรถม้าลำพอง แฟร์รารี
SUSPENSION ระบบรองรับ
ระบบรองรับของ เบนเทย์กา เครื่องยนต์ดีเซล ถูกปรับแต่งให้ตอบสนองได้อย่างหลากหลาย ในโหมดการขับขี่ปกติ ตัวรถจะถูกปรับให้มีความสูงในระดับที่เหมาะสม (ภายใต้ระบบรองรับแบบถุงลม) การตอบสนองโดยรวม เน้นความนุ่มนวล ยังมีความมั่นคงในระดับที่น่าพอใจ ตามแบบฉบับรถยนต์ที่เน้นความหรูหรา พวงมาลัยมีน้ำหนักเบา การแล่นผ่านช่วงคอสะพาน สัมผัสได้ว่าระบบรองรับค่อนข้างนุ่มนวลเกินคาด เหมาะสำหรับการขับบนทางเรียบ ดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดี หากต้องการความหนึบแน่นมากขึ้น สามารถปรับเปลี่ยนไปที่โหมด สปอร์ท ระดับความสูงจะลดลงมา พร้อมความหนักแน่นที่มากขึ้น พวงมาลัยมีน้ำหนักมากขึ้นเล็กน้อย แต่ยังบังคับควบคุมได้ง่าย รวมถึงการตอบสนองของคันเร่งที่ฉับไวขึ้นเช่นกัน ในช่วงความเร็วสูง อาการโคลงของตัวรถยังมีให้สัมผัส แต่ยังควบคุมรถได้ดี โดยรวมแล้วเราคิดว่า เบนท์ลีย์ เบนเทย์กา (รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล) ถูกปรับแต่งให้เน้นความนุ่มนวล และดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดีมาก
ในกรณีที่ต้องการจะแล่นผ่านเส้นทางสมบุกสมบัน รถรุ่นนี้ยังมีโหมดขับเคลื่อนที่หลากหลาย ทั้งการลุยทางทราย ทางหิมะลื่น พื้นผิวเปียกลื่น ฯลฯ เรียกได้ว่าใช้แรงบิดจากเครื่องยนต์ดีเซลอย่างคุ้มค่า หากผู้เป็นเจ้าของใจถึงขนาดกล้าที่จะนำเอสยูวี ระดับ 20 ล้านบาทไปลุย
ระดับค่าตัวกว่า 20 ล้านบาท ทำให้หลายคนคิดหนัก แต่สำหรับเศรษฐี ดูว่าจะคุ้มค่าเช่นเดียวกับโซฟาทรงหลุยส์ ที่หรูหรา ภูมิฐานสมฐานะ และมองเห็นความสำคัญของพละกำลังเครื่องยนต์ดีเซล รุ่นนี้มีแรงบิดมหาศาล สามารถขับขึ้นเขา หรือทางลาดชันได้สบายด้วยรอบต่ำ
ช่วงล่างอลูมิเนียมด้านหน้าแบบปีกนกคู่ และหลังแบบมัลทิลิงค์ พร้อมระบบ TORQUE VECTORING และระบบพวงมาลัยไฟฟ้า ตอบสนองดี ชอคอับทำงานร่วมกันกับระบบ ADEPTIVE DYNAMICS ที่ควบคุมด้วยไฟฟ้าจะวัดความเคลื่อนไหวของตัวรถ 100 ครั้ง/วินาที และวัดความเคลื่อนไหวของล้อ 500 ครั้ง/วินาที เพื่อควบคุมให้แรงหน่วงอยู่ในระดับที่เหมาะสม ติดตั้งระบบรักษาเสถียรภาพการทรงตัวดีเอสซี ระบบควบคุมการทรงตัว พร้อมอีดีซี ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์เมื่อเกิดอาการล้อหมุนฟรี และทีเอสเอ รักษาเสถียรภาพขณะลากจูง
เลวันเต เอส ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา แปรผันการส่งกำลังตามสภาวะการขับขี่ แสดงให้เห็นว่าเป็นระบบขับเคลื่อนที่เน้นทางเรียบ โดยเฉพาะการขับขี่แบบเน้นสมรรถนะที่ต้องการความมั่นคงในทางตรง และความมั่นใจได้ขณะเข้าโค้ง สมกับการเป็นรถยนต์สายเลือดสปอร์ท การตอบสนองของช่วงล่างยังคงมีความนุ่มนวลให้สัมผัส ไม่แข็งกระด้างมากเกินไป ส่วนหนึ่งจากการเป็นครอสส์โอเวอร์ขนาดใหญ่ และการใช้งานทั่วไป อย่างไรก็ตามระบบรองรับ และการตอบสนองของการหักเลี้ยว สามารถปรับแต่งได้ตามโหมดต่างๆ ตามความเร้าใจที่ต้องการ เราคิดว่า เลวันเต เอส มีความสมดุลกับสมรรถนะเป็นอย่างดี อาจไม่หนึบแน่นอย่างที่บรรดาแฟนรถสปอร์ทขนานแท้ชื่นชอบ แต่ในแง่ของการเป็นครอสส์โอเวอร์ ถือว่าทำได้ดีอย่างน่าพอใจ
นอกจากระบบรองรับ และการบังคับควบคุมสไตล์สปอร์ท เลวันเต เอส ติดตั้งระบบความปลอดภัยมาให้ครบครันตามสมัยนิยม ทั้งระบบเนวิเกเตอร์ ระบบเชื่อมต่อต่างๆ ตลอดจนระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่จำเป็น เช่น ระบบรักษาความเร็ว และระยะห่างจากรถคันหน้าอัตโนมัติ ระบบเตือนจุดอับสายตาด้านข้างเมื่อมีรถคันอื่นแล่นอยู่ กล้องมองภาพรอบทิศทาง เหมาะสำหรับรถยนต์ขนาดใหญ่เช่นนี้ จัดเป็นครอสส์โอเวอร์สมรรถนะสูง มีอุปกรณ์ใช้สอยครบครัน แต่ยังขาดอุปกรณ์บางรายการ เช่น ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ หรือระบบช่วยการขับขี่แบบกึ่งอัตโนมัติ หากติดตั้งมาด้วยจะทำให้รถรุ่นนี้มีทั้งสมรรถนะที่ดุดัน และความล้ำสมัย ลงตัวยิ่งขึ้นสมกับค่าตัวเกินก่า 10 ล้านบาทเช่นนี้
หลังจากทดสอบ เลวันเต ทั้งเครื่องยนต์เบนซิน และเครื่องยนต์ดีเซลแล้ว เครื่องยนต์เบนซินของ เลวันเต เอส สะท้อนบุคลิกเฉพาะตัวของ มาเซราตี ได้อย่างชันเจน ด้วยสมรรถนะสูง แม้ราคาของรุ่นดังกล่าวจะเกินกว่าระดับ 10 ล้านบาทไปแล้ว ขณะที่เครื่องยนต์ดีเซล มีราคาเริ่มต้นต่ำกว่า 8 ล้านบาท แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า