ทดสอบ
FORD RANGER DOUBLE CAB WILDTRAK 2.0L BI-TURBO 4x4 10AT
4 WHEELS ฉบับนี้ยังคงอยู่ที่เรื่องของ พิคอัพ 4 ประตู ขับเคลื่อน 4 ล้อ เอาใจขาลุย อย่าง FORD RANGER (ฟอร์ด เรนเจอร์) รุ่น WILDTRAK (ไวลด์ทแรค) เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ ขนาดความจุ 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ 210 แรงม้า มาทดสอบ และวัดสมรรถนะด้วยเครื่องมือดาทรอน เปรียบเทียบกับคู่แข่ง MAZDA BT-50 DBL 4X4 3.0 SP (มาซดา บีที-50 ดับเบิลแคบ ขับเคลื่อน 4 ล้อ 3.0 เอสพี) MITSUBISHI TRITON DOUBLE CAB 4WD GT-PREMIUM (มิตซูบิชิ ทไรทัน ดับเบิลแคบ ขับเคลื่อน 4 ล้อ จีที-พรีเมียม) NISSAN NAVARA DOUBLE CAB PRO-4X (นิสสัน นาวารา ดับเบิลแคบ พโร-4 เอกซ์) และ TOYOTA HILUX REVO DOUBLE CAB 4X4 2.8 ROCCO (โตโยตา ไฮลักซ์ รีโว ดับเบิลแคบ ขับเคลื่อน 4 ล้อ 2.8 รอคโค)
EXTERIOR ภายนอก
FORD RANGER WILDTRAK ภายนอกสะดุดตากับกระจังหน้าโฉมใหม่อันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ และไฟหน้าใหม่รูปตัว C และเป็นครั้งแรกที่มาพร้อมไฟหน้าแบบ MATRIX LED (เมทริกซ์ แอลอีดี) พร้อมระบบปรับมุมลำแสงไฟอัตโนมัติ และระบบป้องกันไฟแยงตา
ซุ้มล้อที่กว้างขึ้น โค้งรับขอบล้อ พร้อมฐานล้อที่ถูกขยายให้กว้างกว่าเดิม 50 มม. พร้อมลุย
และบันไดเหยียบข้างกระบะท้ายบริเวณด้านหลังล้อหลัง ทำให้การขึ้นกระบะท้ายสะดวกสบายยิ่งกว่าเคย และยังมี สปอร์ทบาร์ และราวหลังคา WILDTRAK สามารถบรรทุกสัมภาระได้สูงสุดถึง 350 กก. ในขณะรถจอด และ 85 กก. ในขณะรถเคลื่อนไหว
มิติตัวรถ ยาว/กว้าง/สูง 5,370/1,918/1,884 มม. ฐานล้อ 3,270 มม. มากขึ้น 50 มม. และมีระยะห่างจากพื้น 235 มม. ยาวใหญ่กว่าคู่แข่ง ทั้ง ISUZU V-CROSS (อีซูซุ วี-ครอสส์) (5,265/1,870/1,790 มม. กับ 3,125/240 มม.) MAZDA BT-50 (5,280/1,870/1,790 มม. กับ 3,125/240 มม.) MG EXTENDER (เอมจี เอกซ์เทนเดอร์) (5,365/1,900/1,850 มม. กับ 3,155/183 มม.) MITSUBISHI TRITON GT-PREMIUM (5,300/1,815/1,795 มม. กับ 3,000/220 มม.) และ NISSAN NAVARA PRO-4X (5,260/1,875/1,840 มม. กับ 3,150/225 มม.) รวมทั้ง TOYOTA HILUX REVO ROCCO (5,325/1,900/1,815 มม. กับ 3,085/217 มม.)
มิติกระบะ ยาว/กว้าง/สูง 1,564/1,584/540 มม. ใหญ่กว่า FORD RANGER รุ่นเดิม (1,549/1,560/511 มม.) และใหญ่กว่า MAZDA BT-50 (1,495/1,530/490 มม.) MITSUBISHI TRITON GT-PREMIUM (1,520/1,470/475 มม.) MG EXTENDER (1,485/1,510/530 มม.) NISSAN NAVARA PRO-4X (1,470/1,495/520 มม.) และ TOYOTA HILUX REVO ROCCO (1,555/1,540/ 480 มม.) ความกว้างที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีพื้นที่ระหว่างซุ้มล้อมากขึ้น กระบะท้ายจึงบรรทุกสัมภาระได้มากกว่าเดิม สามารถบรรทุกพาเลตได้ โดยไม่ติดซุ้มล้อ พร้อมการออกแบบที่ช่วยให้ผู้ขับขี่จัดเก็บสิ่งของให้เป็นระเบียบได้หลากหลายรูปแบบ และหลายขนาด
มีแคลมป์หนีบยึดท้ายกระบะสองชิ้น ที่จะช่วยยึดจับแผ่นไม้หรือแผ่นวัสดุอื่นๆ และยังสามารถพับซ่อนเมื่อไม่ได้ใช้
มีช่องว่างด้านข้าง สำหรับใส่แผ่นไม้เพื่อกั้นกระบะท้ายให้เป็นสัดส่วน ช่วยจัดระเบียบสัมภาระ ปรับพื้นที่การจัดเก็บตอบโจทย์ทุกการใช้งาน
ช่องว่างระหว่างลอนของพื้นปูกระบะท้ายเพิ่มขึ้น มีพื้นผิวยึดเกาะได้ดีขึ้น
มีจุดติดตั้งอุปกรณ์เสริมซ่อนไว้ใต้พื้นปูขอบกระบะ ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและลดความเสียหาย จากการติดตั้งอุปกรณ์เสริม เช่น หลังคาครอบท้ายกระบะ หรือ เต๊นท์
และยังมีช่องจ่ายไฟในกระบะท้ายที่มาพร้อมช่องต่อไฟแบบ AC รองรับกำลังไฟถึง 400 วัตต์ ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าอย่าง หม้อหุงข้าว หรือเตาอบขนาดเล็กได้ง่ายๆ เพียงเสียบปลั๊กกับตัวรถ
บันไดเหยียบที่ติดเข้ากับโครงรถใกล้ๆ กันชน ช่วยให้ขึ้นลงท้ายกระบะได้ง่าย
INTERIOR ภายใน
ห้องโดยสารกว้างขวาง หรูหรา เทคโนโลยีครบครัน และไม่ลืมที่ใส่ที่วางแก้วน้ำบนคอนโซลหน้าใต้ช่องแอร์ทั้งซ้าย/ขวา
คอนโซล และหน้าจอกลมกลืนกัน พร้อมหน้าจอแสดงผล MULTI-TOUCH ขนาด 12 นิ้ว รองรับ APPLE CAR PLAY และ ANDROID AUTO พร้อม BLUETOOTH ระบบนำทาง และระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 4A ซึ่งเป็นระบบความบันเทิงรุ่นล่าสุดของ FORD สั่งงานด้วยเสียงภาษาไทย ระบบ KEYLESS ENTRY มีปุ่มสตาร์ท PUSH START
เบาะนั่งคนขับ และผู้โดยสาร ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง และสามารถปรับเอนนอนได้ คู่หลังสามารถปรับพับราบได้เพื่อเพิ่มพื้นที่การใช้งานห้องโดยสาร เพิ่มความสะดวกสบายสำหรับครอบครัว
และยังมีกล้องมองรอบคัน 360 องศา ช่วยให้ผู้ขับมองเห็นได้รอบคัน ไม่ว่าจะเป็น 360 องศา รอบคันจากมุมสูง หรือ 180 องศา จากหน้าจรดท้ายรถ มาพร้อมโหมดหน้าจอแสดงผลการขับขี่ออฟโรด เพื่อช่วยให้มั่นใจขณะเดินทาง และขณะเข้าจอดรถ
ส่วนระดับเสียงในห้องโดยสาร จากความเร็วคงที่ 60/80/100/120 กม./ชม. วัดได้ 44/48/53/59 เดซิเบล เงียบกว่าคู่แข่งทั้ง MAZDA BT-50 (52/56/59/63 เดซิเบล) MG EXTENDER (55/60/64/66 เดซิเบล) NISSAN NAVARA PRO-4X (55/60/65/68 เดซิเบล) TOYOTA HILUX REVO ROCCO (58/62/65/68 เดซิเบล) และ MITSUBISHI TRITON GT-PREMIUM (59/62/63/66 เดซิเบล)
ENGINE เครื่องยนต์
รุ่น 2.0L BI-TURBO 4x4 10AT ใช้เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบคู่ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ความจุ 2.0 ลิตร 210 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 51.0 กก.-ม. เกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ มีบวก/ลบ
และนำเอาโหมดการขับขี่จาก FORD RANGER RAPTOR ซึ่งมีให้เลือกถึง 6 โหมด ได้แก่ โหมดปกติ โหมดประหยัด โหมดลากจูง และบรรทุก โหมดถนนลื่น โหมดโคลน และโหมดทราย มาใส่ในรุ่นนี้ด้วย
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เปลี่ยนจาก 2 ล้อ หรือ 2H ขับเคลื่อน 4 ล้อ ได้ทั้ง 4H และ 4L ผ่านสวิทช์หมุน พร้อมฟังค์ชัน SHIFT-ON-THE-FLY และระบบลอคเฟืองท้ายแบบไฟฟ้า
อัตราเร่งช่วงต้น 0-100 กม./ชม. และ 0-400 ม. อยู่ที่ 10.1/17.3 วินาที ดีกว่ารุ่นเดิม และ FX4 ที่ใช้เวลา 10.2/17.4 วินาที และอัตราเร่งตีนปลาย 0-1,000 ม. ขยับมาที่ 31.8 วินาที ดีกว่า FX4 ที่ใช้เวลา 32.1 วินาที ขึ้นอันดับ 1 แทน MAZDA BT-50 (10.7/17.6/32.3 วินาที) TOYOTA HILUX REVO ROCCO (11.2/17.9/32.5 วินาที) MITSUBISHI TRITON GT-PREMIUM (11.2/17.9/32.9 วินาที) และ NISSAN NAVARA PRO-4X (12.1/18.4/33.9 วินาที) MG EXTENDER (12.9/18.7/34.6 วินาที)
ขณะที่อัตราเร่งยืดหยุ่นช่วง 60-100/80-120 กม./ชม. ทําเวลาได้ 5.3/7.0 วินาที ดีกว่ารุ่นที่แล้ว และ FX4 ที่ทำได้ 5.7/7.4 วินาที เร็วกว่า MITSUBISHI TRITON GT-PREMIUM (5.8/7.5 วินาที) MAZDA BT-50 (6.0/7.6 วินาที) NISSAN NAVARA PRO-4X (6.4/8.7 วินาที) MG EXTENDER (7.1/9.4 วินาที) แต่ช้ากว่า TOYOTA HILUX REVO ROCCO (5.5/6.8 วินาที)
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ที่ความเร็ว 60/80/100/120 กม./ชม. อยู่ที่ 23.0/20.5/14.6/11.3 กม./ลิตร ดีกว่ารุ่นเดิมที่ทำเอาไว้ 20.0/16.4/13.8/10.8 กม./ลิตร ประหยัดกว่าคู่แข่ง MAZDA BT-50 (21.9/18.9/14.4/11.0 กม./ลิตร) MITSUBISHI TRITON GT-PREMIUM (21.0/18.7/14.1/10.7 กม./ลิตร) และ TOYOTA HILUX REVO ROCCO (20.8/17.2/12.4/10.5 กม./ลิตร) ทุกช่วงความเร็ว
SUSPENSION ระบบรองรับ
ระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบอิสระ ปีกนก 2 ชั้น คอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบแหนบซ้อน พร้อมชอคอับแบบโมโนทูบ ด้านหน้า และหลัง ช่วยดูดซับแรงกระแทก และยังรับน้ำหนักในการบรรทุก และลากจูง
ล้ออัลลอย 18 นิ้ว ยาง 255/65 R18 เบรคแบบจานหน้า และหลัง พร้อมครีบระบายความร้อน
ประสิทธิภาพของระบบเบรค ที่ความเร็ว 60/80/100 กม./ชม. ใช้ระยะ 17.8/31.1/49.6 ม. สั้นกว่า FX4 ซึ่งใช้ระยะ 18.2/32.7/50.9 ม. แต่ยังเป็นรอง NISSAN NAVARA PRO-4X (16.6/28.2/43.8 ม.) MAZDA BT-50 (16.5/28.5/45.0 ม.) MG EXTENDER (16.5/28.1/44.8 ม.) MITSUBISHI TRITON GT-PREMIUM (16.2/28.6/45.0 ม.) และใช้ระยะมากกว่า TOYOTA HILUX REVO ROCCO (15.6/27.8/42.4 ม.) 2 ถึง 7 ม.
เทคโนโลยีความปลอดภัย ถุงลมนิรภัย 2 จุด สัญญาณเตือนระยะจอด ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา ควบคู่ไปกับระบบความปลอดภัยพื้นฐาน เช่น ABS, EBD, BA และ TCS
ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ พร้อมระบบ STOP & GO และระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง ระบบเปิด/ปิดไฟสูงอัจฉริยะ ระบบช่วยเบรคอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน ระบบเตือนการชนด้านหน้า ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง ระบบตรวจจับรถในจุดบอด และระบบตรวจจับขณะออกจากช่องจอด กล้องมองรอบคัน 360 องศา ระบบป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง และระบบช่วยการหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ
FORD RANGER เจเนอเรชันใหม่ ทุกรุ่นมาพร้อมโมเดมที่ติดตั้งจากโรงงาน เพื่อให้เชื่อมต่อกับรถได้ผ่านแอพพลิเคชัน FORD PASS สามารถระบุตำแหน่งของรถ สตาร์ทรถ หรือลอค และปลดลอครถจากทุกที่
FORD RANGER เจเนอเรชันใหม่ รุ่น WILDTRAK มาพร้อมตัวเลือกภายนอก 6 สี ได้แก่ เงิน, เทา, ดำ, ขาว, เหลือง และส้ม ในราคาเริ่มต้นที่ 999,000 บาท ส่วนรุ่นทอพ 2.0L BI-TURBO 4X4 10AT ที่นำมาทดสอบในครั้งนี้ ราคา 1,299,000 บาท