ข้อมูลที่ว่านี้ มาจาก Halfords ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์ด้านยานยนต์ชื่อดังแห่งสหราชอาณาจักร เปิดเผยผลสำรวจจากผู้ใช้รถจำนวน 1,140 ราย พบว่ารถยนต์ "สีแดง" มีโอกาสที่จะถูกนกทิ้งคราบมูลสูงสุดเป็นอันดับที่ 1 อยู่ที่ 18 % ตามด้วย "สีน้ำเงิน" เป็นอันดับที่ 2 อยู่ที่ 14 % ส่วนสีตัวถังที่มีโอกาสเสี่ยงมูลนกตกใส่น้อยที่สุดกลับกลายเป็น "สีเขียว" ซึ่งผลสำรวจระบุว่ามีเพียง 1 % เท่านั้น
แม้ว่าจะไม่มีทฤษฎีที่ชัดเจนออกมารองรับว่าทำไมนกจึงเลือกที่จะปล่อยมูลใส่รถสีใดสีหนึ่งมากเป็นพิเศษ แต่เจ้าของรถ Lexus รายหนึ่งแสดงความคิดเห็นว่า นกจะเลือกปล่อยมูลใส่รถที่เพิ่งล้างเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากพวกมันสามารถมองเห็นเงาสะท้อนบนตัวถังได้
ขณะที่เจ้าของรถ Ford รายหนึ่งระบุเพิ่มเติมว่า สีรถเฉดเข้ม เช่น สีดำ, สีแดง, สีน้ำเงิน ฯลฯ จะยิ่งเพิ่มเงาสะท้อนของพวกมันให้สามารถมองเห็นตัวเองได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น จึงทำให้มีโอกาสที่จะถูกมูลนกตกใส่ได้มากกว่า สงสัยมันคงจะตกใจตัวเองล่ะมั้ง
อย่างไรก็ดี ผู้ตอบแบบสอบถามรายหนึ่งแสดงความคิดเห็นว่า สีรถไม่ได้มีผลโดยตรงต่อการถูกมูลนกตกใส่ หากแต่เป็นตำแหน่งที่เจ้าของรถนำรถไปจอดมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณใต้ต้นไม้, ระแนงหลังคา และอื่นๆ เหตุผลข้อนี้ น่าจะเป็นไปได้สูง
นอกจากนี้ การสำรวจดังกล่าวยังครอบคลุมไปถึงการทำความสะอาดคราบมูลนกบนตัวถังรถยนต์ โดยมีเพียง 17 % ระบุว่าพวกเขารีบเช็ดคราบมูลนกออกในทันทีที่พบเห็น ขณะที่อีก 20 % ระบุว่าพวกเขาจะทำการเช็ดออกภายใน 2-3 วัน แต่ที่น่าตกใจกว่านั้น คือ ผู้ตอบแบบสำรวจจำนวนถึง 55 % ระบุว่าพวกเขาจะไม่ลงมือทำอะไรเลยทั้งสิ้นจนกว่าจะถึงคราวล้างรถในครั้งถัดไป ข้อนี้ไม่ค่อยแนะนำให้ปล่อยมูลนกไว้ รีบทำความสะอาดเลยดีกว่า ก่อนที่มูลนกจะกัดสีรถจนด่าง
นอกจากนี้ ทาง Autoglym ซึ่งเป็นแบรนด์ผู้ผลิตน้ำยาขัดสีรถชื่อดังระบุว่า สาเหตุที่สีรถจะได้รับความเสียหายจากมูลนก ไม่ได้เป็นเพราะค่ากรด หรือด่างของมูลนกแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพราะมูลนกจะทำให้แลคเคอร์ที่เคลือบสีรถเอาไว้เกิดการอ่อนตัว และขยายออก ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของแลคเคอร์ที่ถูกมูลนกตกใส่ ก่อให้เกิดเป็นรอยด้านที่ยากต่อการทำความสะอาด
ค่อยหายสงสัยหน่อย นกมันจะมีเทสเรื่องสีขนาดนั้นได้อย่างไร
บทความแนะนำ