ชีวิตอิสระ
คาราวาน มาซดา บีที-50 พโร เส้นทาง อูลันบาตาร์-เอเรนฮอท
บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เชิญ 4 WHEELS ร่วมเปิดประสบการณ์ต่างแดน ขับพิคอัพ มาซดา บีที-50 พโร โฉมใหม่ล่าสุด จากประเทศมองโกเลีย มุ่งหน้าสู่ประเทศจีน ด้วยระยะทางกว่า 1,400 กม. ผ่านทุ่งหญ้า ทะเลทราย กรวดลอย ท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเย็น และแสงแดดที่จัดจ้า
ทริพนี้เราจัดอยู่ในกรุพบี เพื่อรับไม้ต่อจากกรุพเอที่เดินทางจากกรุงปักกิ่ง มุ่งหน้าสู่อูลันบาตาร์ ในทางกลับกัน กรุพบีต้องขับ มาซดา บีที-50 พโร ใหม่ เดินทางจากอูลันบาตาร์สู่เอเรนฮอท เมืองท่าหน้าด่านของประเทศจีน หรือที่เรามักจะเรียกกันว่า INNER MONGGOLIA หรือ มองโกเลียใน
วันแรก
ซึมซาบวัฒนธรรมอูลันบาตาร์
คาราวานกรุพบีทุกชีวิต ต้องนั่งเครื่องบินข้ามแดนถึง 2 แดน จากไทยสู่จีน (ปักกิ่ง) และจากจีนสู่มองโกเลีย (อูลันบาตาร์) เมืองหลวงใหม่ของประเทศมองโกเลีย ก่อนเครื่องบินแตะพื้น เรามองทัศนียภาพโดยรอบ ซึ่งสร้างความตื่นตาตื่นใจได้ไม่น้อย เพราะด้านล่างเต็มไปด้วยผืนแผ่นดินว่างเปล่า และเต็มไปด้วยเม็ดทราย มองหาต้นไม้ใหญ่ๆ ที่เป็นร่มเงา หรือภูเขาสูงที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองไม่เจอ เมื่อผ่านด่านตรวจต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ทริพนี้ต้องวุ่นวายกับสัมภาระพอสมควร โดยเฉพาะกระเป๋า 3 ใบที่หายไป เล่นเอาใจหาย เพราะทั้งเสื้อผ้า ยารักษาโรค กล้องถ่ายภาพและวีดีโอ ต้องสูญหายไปด้วย แต่หลังจากเราตรวจสอบกันไม่นานก็ทราบว่า กระเป๋าทั้ง 3 ใบ ถูกลอคไว้ที่สนามบินปักกิ่ง เนื่องจากตรวจพบแบทเตอรีสำรอง ที่ใช้สำหรับการถ่ายภาพ และกระเป๋าจะส่งตามมาในเที่ยวบินถัดไป เมื่อทราบเหตุผลทำให้บรรยากาศการเดินทางของเรากลับมาคึกคักกันอีกครั้ง
จากสนามบินสู่เมืองหลวง โดยรถบัสขนาดเล็ก ทำให้พี่น้องสื่อมวลชน นั่งใกล้ชิดกันอย่างอบอุ่น เรียกเสียงหัวเราะตลอดการเดินทาง ภัตตาคารหรูในเมืองพร้อมเสิร์ฟอาหารมื้อแรก ซึ่งเรารออย่างใจจดจ่อที่จะได้สัมผัส น่าจะบ่งบอกถึงสไตล์และรสชาติของอาหารในประเทศนี้ได้เป็นอย่างดี จากที่เราฟังบรีฟ และได้ข้อมูลมา จึงทำให้วิตกกับรสชาติอาหารพอสมควร อาหารจานแรกน่องไก่อบ รวมถึงสลัดผักจัดวางสวยงาม เราลิ้มรสอย่างรวดเร็ว อาหารที่นี่ ทานง่ายไม่ยุ่งยาก สีสันและรสชาติการทำอาหารเหมือนกับอาหารฝรั่ง ใส่ชีส เนย และขนมปัง เป็นเครื่องเคียงตลอดรายการ ช่วยให้เราผ่อนคลายการใช้ชีวิต 4 วัน ในเส้นทางฝุ่นลงได้
หลังจากท้องอิ่มและเก็บสัมภาระเรียบร้อย ทุกคนออกสำรวจแหล่งท่องเที่ยวในเมืองหลวงใหม่ อูลันบาตาร์ ทันที
จุดแรก คือ จัตุรัสซัคห์บาตาร์ มีขนาดใหญ่กว่าสนามฟุตบอล 5 เท่า ภายในอาคารเป็นที่ตั้งของทำเนียบรัฐบาลมองโกเลีย ซึ่งมีรูปปั้น เจงกิสข่าน นั่งบัลลังก์ขนาดใหญ่เป็นสัญลักษณ์ ส่วนตรงกลางจัตุรัสมีอนุสาวรีย์ของ ดามดิน ซัคห์บาตาร์ วีรบุรุษคนสำคัญยุคใหม่ของมองโกเลีย ที่ร่วมกับกองทัพแดงรัสเซียปลดปล่อยประเทศจากการยึดครองของจีน ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิงกว่า 200 ปี เราเดินต่อไปไม่ไกลนักก็ถึงวัดกานดาน พระอารามพุทธมหายานทิเบต สร้างขึ้นในปี 2378 เพื่อเป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธ-นิกายลามะ ในมองโกเลีย และเมื่อ 100 ปีผ่านไป คอมมิวนิสต์เข้าครอบครองมองโกเลีย ได้ทำลายวัดทั่วประเทศ กำจัดลามะ 15,000 รูป ในมองโกเลีย พระอารามกานดานจึงถูกปิดลงในปี 2481 ปัจจุบันพระอารามได้ถูกฟื้นฟูเปิดให้ผู้คนทั่วไปเข้ามาประกอบพิธีกรรม และสักการะองค์พระโพธิสัตว์อวโรกิเตศวร องค์ใหญ่สูง 26 ม. รายล้อมด้วยกงล้อมนตรา ให้หมุนภาวนา "โอม มณี ปัทเม ฮุม" ในแบบฉบับของวัดนิกายลามะ
ปิดฉากค่ำคืนนี้ด้วยบรรยากาศงานเลี้ยงต้อนรับ คาราวานสื่อมวลชนกรุพเอ ที่เพิ่งเดินทางมาถึง พร้อมกับเป็นการส่งไม้ต่อ (กุญแจ) ให้กับกรุพบี ที่ได้มาสัมผัสเมืองอูลันบาตาร์ ในวันแรกเช่นกัน
วันที่ 2
สัมผัสแรก บีที-50 พโร ใหม่
จากเมืองหลวงใหม่/เก่า 400 กม.
เป็นครั้งแรกที่เราได้ขับ มาซดา บีที-50 โพร ใหม่ ลุยในสภาพเส้นทางทุรกันดารกันแบบจัดเต็ม ต้องบอกเลยว่า หลังจากปรับโฉมใหม่ โดยเฉพาะในรุ่น ดับเบิลแคบ 4 ประตู ขับเคลื่อน 2 ล้อ ไฮ-เรเซอร์ สีน้ำตาล หน้าตาดูโดดเด่นมากขึ้น ไฟหน้าและไฟท้ายรมดำ ดูสปอร์ท ดุดัน กระจังหน้าออกแบบให้ดูสปอร์ท เข้มขึ้น รวมถึงล้อแมกลายใหม่ ทันสมัย ช่วยปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์เดิมในแนวหวาน กลายเป็นพิคอัพมาดดุดัน ในทันที
400 กม. จาก อูลันบาตาร์-คาราโครัม เริ่มต้น 9.00 น. หรือ 7.00 น. ของประเทศไทย ล้อหมุนจากโรงแรม KIMPIMSKI อูลันบาตาร์
ขับรถออกจากตัวเมืองไม่นาน ถึงแยกที่เราจะต้องเบี่ยงซ้าย แต่ถ้าเราขับตรงไป สามารถเดินทางไปยังชายแดนรัสเซีย ด้วยระยะทางประมาณ 450 กม. ช่วงเช้ายังเป็นการวิ่งบนทางลาดยาง หรือทางดำ บรรยากาศสองข้างทาง สภาพภูมิประเทศโดยรวม วิวทิวทัศน์ปรับเปลี่ยนเป็นเส้นทางธรรมชาติ รายล้อมด้วยทุ่งหญ้าสเตพพ์ มีภูเขาขนาดย่อมๆ สลับไปมา และยิ่งห่างตัวเมืองไปเรื่อยๆ ภูเขาขนาดย่อมก็ยิ่งดูห่างไกลออกไป เหลือเพียงทุ่งโล่งกว้างกับอากาศที่สดชื่น ยังดีที่ทุ่งหญ้าสเตพพ์เกาะกลุ่มกันหนาแน่น แลดูเขียวขจีตลอดเส้นทาง
เที่ยงเศษๆ กินข้าวกลางวันมื้อแรกที่ร้านอาหารริมทางของชาวบ้านละแวกนั้น และสามารถเช่าปรุงอาหาร หรือสั่งอาหารเป็นชุดจากทางร้านได้ เราได้ทีมงานมืออาชีพจาก ทรานส์เอเชีย รูท ซึ่งนอกจากเป็นผู้นำทางในทริพนี้แล้ว ยังโชว์ฝีมือการปรุงอาหารสำเร็จรูป และอาหารท้องถิ่น เพิ่มรสชาติของอาหารได้มากยิ่งขึ้น ทั้งแกงกะหรี่ หรือผัดกะเพรา และแป้งเคบับ ถูกผสมผสานในอาหารมื้อนี้ เดินทางต่อในช่วงบ่าย เราใช้เวลาไม่นานก็ต้องเข้าสู่เส้นทางทุรกันดารที่รายล้อมด้วยธรรมชาติจนสุดสายตา
เครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 2.2 ลิตร คอมมอนเรล ไดเรคท์อินเจคชัน 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมเทอร์โบแปรผัน อินเตอร์คูเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,700 รตน. แรงบิดสูงสุด 38.2 กก.-ม. ที่ 1,500-2,500 รตน. ส่งผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ขับเคลื่อนด้วยล้อหลัง ที่มีลิมิเทด สลิพมาให้ใน บีที-50 พโร ใหม่ ช่วยให้เรามั่นใจ แรงม้า และแรงบิด เพียงพอตะกุยทางฝุ่นและทางหญ้าได้อย่างเต็มสมรรถนะ ในช่วงกรวดลอย และสภาพเส้นทางชื้นแฉะ ลิมิเทด สลิพช่วยให้การควบคุมรถทำได้ง่ายมากขึ้น แม้ในเส้นทางฝุ่นเรายังทำความเร็วได้ถึง 80-120 กม./ชม. ช่วงบ่ายแก่ๆ คาราวาน มาซดา บีที-50 พโร เดินทางถึงจุดหมายแรก ทะเลสาบโอกิ ซึ่งเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ รายล้อมด้วยภูเขาสูง ทุกคนแวะถ่ายรูปเก็บภาพประทับใจ จิบเครื่องดื่มร้อนๆ เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น เมื่อเจอสภาพภูมิอากาศหนาวเย็นและลมแรงที่พัดมาปะทะอยู่ตลอดเวลา ฝนเริ่มตั้งเค้าทำให้ต้องรีบออกเดินทาง โดยทำความเร็วสูงขึ้น ช่วงนี้เหลือทางธรรมชาติอีกไม่มากก็จะกลับเข้าสู่เส้นทางลาดยาง สามารถทำความเร็ว 120-140 กม./ชม. ในบางช่วง ทำให้คาราวาน บีที-50 พโร เข้าสู่เมืองหลวงเก่าคาราโครัม ได้ทันเวลา
คาราโครัม เมืองหลวงเก่าของมองโกเลีย ในยุคที่เจงกิสข่านปกครอง จุดหมายแรก คือ พิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมเรื่องราวของอดีตเมืองหลวงที่ยิ่งใหญ่เอาไว้ ปัจจุบันเมืองคาราโครัมไม่ได้ใหญ่โตเหมือนในอดีต เพราะจีนเข้ามาทำลายไปมาก ตรงจุดนี้เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่แวะมาเยี่ยมชม เพราะนอกจากจะได้เรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์เมืองเก่าแล้ว ยังสามารถเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ WI-FI ได้ และไม่ไกลจากพิพิธภัณฑ์ เราจะเห็นกำแพงสูงดูเด่นชัด นั่นก็คือ วัดเอร์เด่เน่ ซู มีสถูปแบบทิเบต รอบกำแพงวัด 108 สถูป ซึ่งจำนวน 108 ถือเป็นเลขศักดิ์สิทธิ์ในความเชื่อของพุทธศาสนา นิกายวัชรยาน ในอดีต ปี 1939 คอร์ลูกิน ซอยบาซาน ผู้นำคอมมิวนิสต์ของมองโกเลียในขณะนั้น สั่งให้ทำลายวัดทั่วมองโกเลีย และฆ่าพระไปกว่า 10,000 รูป จนกระทั่งปี 1944 โจเซฟ สตาลิน ผู้นำโซเวียต ซึ่งเป็นพี่ใหญ่ของมองโกเลีย ได้สั่งให้ ซอยบาซาน บูรณะปฏิสังขรณ์วัดเหล่านี้กลับมาใหม่อีกครั้ง
ก่อนถึงที่พัก ลมพัดแรงๆ ได้หอบเอาฝนห่าใหญ่ ตกลงมาต้อนรับเรา คืนนี้เราเข้าพักกันที่ MONKH TENGER CAMP ที่พักแบบเกอร์ หรือ กระโจม วันแรก เรียกว่าซึมซาบวัฒนธรรมของชาวมองโกลกันเต็มที่ ภายในเกอร์นอนสบาย มีเตียงเดี่ยวอยู่ 3 เตียง เรียงล้อมเตาผิงไฟ ปกติตามวัฒนธรรมแล้ว ประตูกระโจมจะอยู่ทิศใต้เสมอ ชาวมองโกเลียส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ นิกายลามะ ดังนั้นเขาจะนอนหันศีรษะไปทิศเดียวกับแท่นบูชาซึ่งตั้งไว้ตรงทิศเหนือของกระโจม ส่วนผู้หญิงจะนอนอยู่ข้างปล่องไฟ คือ ฝั่งขวามือของกระโจม เพื่อที่จะลุกขึ้นมาเติมฟืนได้สะดวกระหว่างกลางคืน ประมาณทุกๆ 3 ชั่วโมง
แต่จริงๆ แล้ว เราได้นอนเกอร์ละ 2 ท่าน เป็นชายล้วน จึงไม่มีใครสนใจที่จะจุดฟืนก่อไฟ เมื่อยามค่ำคืนมาถึง ลมพัดแรง อากาศหนาวเย็น ทำให้เราค่อนข้างวิตกกับการนอนในเกอร์คืนแรก บรรยากาศห้องน้ำรวม ทำให้เราหวนนึกถึงอดีต สมัยเรียนนักศึกษาวิชาทหาร ดีที่ยังมีม่านกั้น รวมถึงเครื่องทำน้ำอุ่นช่วยให้เราอาบน้ำได้สะดวกขึ้น ช่วงดึกอากาศหนาวมากขึ้นอุณหภูมิลดต่ำ เราแจ้งแก่เจ้าหน้าที่ให้ช่วยก่อไฟในกระโจม ไม่นานสาวมองโกลก็ช่วยติดไฟ เพื่อเพิ่มความอบอุ่น ดีใจอยู่ได้ไม่นาน แสงไฟในเกอร์ก็ดับลง เนื่องจากความชื้นที่มีมากขึ้น ไม่สามารถทำให้เชื้อไฟไปติดกับฟืนได้ สุดท้ายก็ต้องนอนหนาวเหน็บ ตกดึกอุณหภูมิภายนอกลดต่ำลงถึง 7 องศาเซลเซียส ในกระโจมวัดจากนาฬิกาได้ประมาณ 12 อาศาเซลเซียส อุ่นกว่าภายนอก แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความหนาวเย็นที่เข้าถึงกระดูกหายไป แต่ยังดีที่เกอร์ช่วยกันกระแสลมแรงๆ จากภายนอกได้ คืนนี้เรานอนใต้ผ้าห่ม 2 ผืน ฤทธิ์จากวอดกาช่วงอาหารมื้อค่ำ พอสร้างความอบอุ่นได้บ้าง
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ประเทศมองโกเลีย (MONGOLIA) เป็นประเทศในทวีปเอเชียที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก รองจากประเทศคาซัคสถาน มีพรมแดนทางเหนือติดกับประเทศรัสเซีย และทางใต้ติดกับประเทศจีน มีพื้นที่ที่สามารถใช้สำหรับการเกษตรได้น้อยกว่าร้อยละ 1 มีประชากรประมาณ 3 ล้านคน แต่มีพื้นที่ใหญ่กว่าประเทศไทยถึงกว่า 3 เท่า ซึ่งทำให้ประเทศมองโกเลียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีประชากรน้อยที่สุดในโลก ประชากรส่วนมากนับถือศาสนาพุทธนิกายวัชรยานแบบทิเบต และประชากรร้อยละ 38 อาศัยอยู่ในเมืองหลวง อูลันบาตาร์
ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 19 มองโกเลียเคยเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิมองโกลในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 ซึ่งต่อมาได้ยึดอำนาจเข้าปกครองจีนในนามของราชวงศ์หยวน แต่ก็ต้องมาเสียอำนาจเมื่อราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงเข้ามามีอำนาจ ซึ่งทางมองโกเลียเองต้องอยู่ใต้อำนาจของราชวงศ์ดังกล่าวอีกด้วย มองโกเลียได้รับเอกราชจากจีนเมื่อปี 2464 (คศ. 1921) จากการช่วยเหลือของสหภาพโซเวียต แต่ต้องสถาปนาการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ตามแบบประเทศเพื่อนบ้าน ลัทธิคอมมิวนิสต์สิ้นสุดลงจากมองโกเลียเมื่อปี 2533 (คศ. 1990) ปีเดียวกันกับการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ซึ่งต่อมามองโกเลียได้นำระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภามาใช้
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วันที่ 3
วิวสวย เส้นทางธรรมชาติ 350 กม.
จากคาราโครัม สู่บากา กัซริน ชูลู
08.30 น. ล้อหมุนจากคาราโครัมอย่างท้าทาย สภาพถนนในช่วงแรกยังเป็นทางลาดยาง แต่ขับไปได้ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นเส้นทางธรรมชาติ ค่อยๆ สวยงาม ความชุ่มชื้นจากน้ำฝน และอากาศที่หนาวเย็น ทำให้วิวทิวทัศน์สดใส วันนี้ฟ้าค่อนข้างเปิด ฟ้าเป็นสีฟ้า คาราวาน บีที-50 พโร ใหม่ เส้นทางบางช่วงยังต้องลุยฝุ่นและทางโคลนสลับไป/มา จากการปรับซ่อมแซมพื้นถนนลาดยาง คาราวานผ่านเนินเขาน้อยใหญ่และสูงชันสลับกันตลอดการเดินทาง ไม่นานไฮไลท์ของวันนี้ก็มาถึง เมื่อเราได้พบกับแซนด์ ดูน ผืนทรายขนาดใหญ่ที่ถูกพายุทะเลทรายพัดหอบมา จัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยสุดยอดระหว่างการเดินทาง เราแวะจอดข้างทาง เจอเจ้าถิ่นพานักท่องเที่ยวขี่อูฐ เสนอราคาครั้งละ 5,000 ตูริก (1,000 ตูริก เท่ากับ 25 บาท) ถูกกว่าขี่อูฐที่บ้านเรา แถมยังขี่บนทะเลทรายจริงๆ ส่วนคาราวาน มาซดา บีที-50 พโร นำรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ขับลุยเข้าไปในทะเลทราย เพื่อลองสมรรถนะ ซึ่งทำได้ดี และได้อารมณ์ไปอีกแบบ
เสร็จจากการเก็บภาพบรรยากาศ เราออกเดินทาง ท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวขจี สองข้างทางแปลกตาขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งฝูงม้าวิ่ง ฝูงแกะ แพะ กำลังกินหญ้าบนภูเขาเขียวๆ ชาวบ้านแถวนี้ นิยมทำอาชีพปศุสัตว์ เลี้ยงม้า วัว แพะ แกะ เพื่อส่งออก เนื้อม้าจะส่งออกไปญี่ปุ่น เนื้อวัวส่งขายรัสเซีย เนื้อแพะ เนื้อแกะ ไปตะวันออกกลาง ใน 1 ปี หรือ 365 วัน เป็นฤดูหนาว 8 เดือน มี 4 เดือน เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายนถึงปลายเดือนกันยายน จะเป็นฤดูท่องเที่ยว อากาศค่อนข้างเย็นสบาย ขับไปได้พักใหญ่ คาราวาน บีที-50 พโร ใหม่ ก็แวะพักเพื่อหาเครื่องดื่มร้อนๆ โชคดีทริพนี้ผู้ร่วมเดินทางส่วนใหญ่เป็นชายเกือบทั้งหมด มีผู้หญิงเพียงคนเดียว ที่ร่วมทริพไปกับเราด้วย ห้องน้ำจึงต้องทำกันแบบง่ายๆ อาศัยสองข้างทางวิวพาโนรามาสุดขอบฟ้า "ยิงกระต่าย" ซึ่งเราจะเรียกกันในทริพว่า ห้องน้ำ 100 ไร่
คาราวานเดินทางต่อเพื่อไปยังเมืองเล็กๆ ซึ่งเป็นจุดแวะพักรับประทานอาหารกลางวัน และเติมน้ำมันกันเต็มถังอีกครั้ง ก่อนลุยในช่วงบ่าย อาหารแบบง่ายๆ มีซุพน้ำใสอุ่นๆ ทานง่าย พร้อมอาหารชุด สไตล์ข้าวหมูเกาหลี ไข่ดาว ตกแต่งด้วยเมล็ดงา สวยงามน่ารับประทาน รสชาติจะอ่อนเค็ม อ่อนแซ่บ กว่าบ้านเราเล็กน้อย แต่ถ้าใครมีซอสปรุงรส และพริกป่นติดไป รสชาติก็แทบไม่ต่างกัน อิ่มท้อง ล้อก็หมุนอีกครั้ง
เรากลับเข้าสู่เส้นทางธรรมชาติในช่วงบ่าย สภาพเส้นทางเปลี่ยนไป จากทุ่งหญ้าเขียวขจีสลับกับเนินและภูเขาสูง กลายเป็นขับกลางทุ่งโล่งกว้าง พื้นกรวดลอยเม็ดใหญ่มากขึ้น แสงแดดจ้า อากาศเริ่มร้อน ทำให้เราหาตัวช่วยเรื่องบันเทิงเริมรมย์ บรรดาอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ทั้งเชื่อมต่อและฟังเพลง ที่ทำได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการเสียบ USB หรือแม้แต่เชื่อมต่อบลูทูธ ระบบเครื่องเสียง มาซดา บีที-50 พโร ใหม่ สามารถเล่นวิทยุ/CD/MP3 พร้อมช่องต่อ AUX และ USB จอแสดงฟังค์ชันอเนกประสงค์ MULTI-FUNCTION DISPLAY ขนาด 3.5 นิ้ว ฟังเพลง รวมถึงชาร์จไฟเข้าโทรศัพท์ได้ตลอด นอกจากนี้ยังมีช่องเสียบไฟ 12 โวลท์ หน้า/หลัง อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ร่วมเดินทางทุกคน
ไม่นานนักเราก็แวะพักกันอีกครั้ง ใกล้กับเกอร์ของชาวบ้านที่มีอาชีพปศุสัตว์แถวนั้น ซึ่งเข้ามาต้อนรับพร้อมเสิร์ฟเครื่องดื่ม เหล้านมม้า คล้ายโยเกิร์ท รสชาติแปลก อมเปรี้ยวผสมแอลกอฮอล ดื่มง่ายในตอนแรก แต่นานไปหากดื่มเยอะ ก็จะยิ่งเมา ในทริพนี้บางท่านถึงกับคายของเก่าออกมา เปลี่ยนจากคนที่ครึกครื้นกลายเป็นเงียบซึม เรียกว่าต้องรอฟื้นฟูกำลังกันใหม่
บ่ายแก่ๆ คาราวานเดินทางผ่านฝูงม้า แพะ แกะ และที่พิเศษสุด เราได้พบเจอกับฝูงกวางป่านับ 100 ตัว แม้จะอยู่ไกลจากระยะของกล้องถ่ายภาพ รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นขณะขับรถผ่าน เหมือนขับรถเที่ยวทุ่งซาฟารี ดีๆ นี่เอง เส้นทางจากนี้เป็นทางหลุมบ่อ หินแหลมคม โหดขึ้นเรื่อยๆ ขับไป ลุยไป ด้วยความเร็วสูง จนรถสะท้านสะเทือนกันไปทั้งคัน เครื่องยนต์ที่ทรงพลัง แรงม้า แรงบิดที่มาต่อเนื่อง รวมถึงช่วงล่างที่แข็งแกร่ง สามารถทำความเร็วก่อนถึงที่พักอยู่ที่ประมาณ 100 กม./ชม. บนสภาพทางที่เป็นหลุมบ่อกรวดลอย บู๊กันพักใหญ่ เรียกว่าวิ่งกันมาแบบพายุ ฝุ่นตลบกันทั่วท้องทุ่ง บางช่วงต้องขับผ่านลำน้ำที่แห้งขอด สภาพเส้นทางเป็นทรายนุ่ม จนรถที่อยู่หัวแถวในขบวนต้องตะกุยทรายจนรถติด เพราะเป็นรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ อีกทั้งยังไม่ได้ลงไปประเมินความนุ่มลึกของพื้นทรายตรงนั้น แต่หลังจากผ่านไปได้ คันอื่นๆ ก็ต้องใช้รอบความเร็วที่สูงขึ้น พร้อมกับส่ายพวงมาลัยช่วย เพื่อให้ผ่านไปได้ พักใหญ่ๆ ก็เจอกับ บากา กัซริน ชูลู เมืองเล็กๆ กลางทุ่ง เราขับผ่านเมืองไปประมาณ 10 กม. ก็ถึง ERDENE UKHAA CAMP ที่พักแบบเกอร์สำหรับคืนนี้ อากาศเริ่มเย็นลง ลมพัดแรง วันนี้ส่วนใหญ่ พักเอาแรง จากอาการเหนื่อยล้า และอ่อนเพลีย ราคาที่พักแต่ละที่นั้น ต้องบอกว่าพอๆ กับโรงแรมระดับ 4-5 ดาวบ้านเราเลย ตกอยู่ที่คืนละประมาณ 150-200 เหรียญสหรัฐ ฯ
ไกด์ให้ข้อมูลการเดินทางในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ว่า นอกจากการใช้จีพีเอสนำทางแล้ว ยังต้องอาศัยดูจากเส้นทางของชาวบ้าน ทั้งทางม้าเดิน ทางรถผ่าน แนวเสาไฟฟ้าที่พาดผ่านระหว่างเมือง รวมถึงแนวเทือกเขาและยอดเขาต่างๆ ที่ช่วยนำทางไปยังเมืองต่างๆ
วันที่ 4
ฟ้ากว้าง ทางไกล 400 กม.
บากา กัซริน ชูลู ถึงเอเนอร์จี พเลศ
08.30 น. ล้อหมุนจาก ERDENE UKHAA CAMP มุ่งหน้าสู่ เอเนอร์จี พเลศ วันนี้สภาพเส้นทางเริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆ บรรยากาศคล้ายทะเลทราย แห้งแล้ง หินแหลมคมบนเส้นทางและหินกรวดลอยขนาดใหญ่มากขึ้น สองข้างทางมีกอหญ้าเป็นพุ่มสลับน้อยใหญ่ ในบางช่วงใช้ความเร็วสูงแต่เราก็ต้องระมัดระวังในการขับ เพราะกรุพเอแจ้งว่าสภาพเส้นทางแถบนี้ทำให้รถยางแตกไป 3 เส้น พอมองออกไปนอกทแรค มันก็น่ากลัวอย่างที่ได้รับฟังมาจริงๆ เพราะเต็มไปด้วยหินแหลมคมขนาดใหญ่
ครึ่งวันเช้าต้องใช้ทั้งทักษะ และฝีมือในการขับผ่านทุ่งหญ้าในมองโกเลียตลอด ทางเริ่มเป็นทะเลทราย มีหินแหลมคมบางช่วง ขับสลับถนนลาดยาง สองข้างทางกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงเรียบร้อย คาราวาน บีที-50 พโร ใหม่ ออกเดินทางต่อ บรรยากาศช่วงบ่าย เหมือนเราออกจากป่ามุ่งหน้าหาความศิวิไลซ์ เมื่อขับบนทางดำถนนลาดยางจุดนี้แล้ว เราก็ทราบข้อมูลมาว่า เส้นทางนี้เป็นเส้นทางใหม่เพิ่งสร้างเสร็จประมาณ 2 ปี หรือเส้นทางสายทรานส์ไซบีเรีย สามารถขับจากชายแดนจีน INNER MONGOLIA มุ่งหน้าสู่เมืองหลวงใหม่ อูลันบาตาร์ ระยะทางเพียง 660 กม. เป็นทางเรียบ แบบถนน 2 เลน วิ่งสวนกัน เรามุ่งหน้าเข้าใกล้ชายแดนจีนมากขึ้นทุกขณะ ความเจริญก็มีให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นเสาคลื่นสัญญาณโทรศัพท์ รถที่วิ่งผ่านไป/มาบนท้องถนน เส้นทางนี้คาราวาน บีที-50 พโร เริ่มทำความเร็วได้มากขึ้นถึง 140-160 กม./ชม. ช่วยให้เราหายง่วงนอนไปได้ ชั่วโมงเศษ เราจอดแวะพักกันริมทาง หาเครื่องดื่มร้อนเย็นมาดับกระหาย บังเอิญชาวบ้านขับพิคอัพ มาซดา ไฟเตอร์ บี 2200 เครื่องยนต์เบนซิน เข้ามาทักทายกับฝูง มาซดา บีที-50 พโร ใหม่ ของเรา เรียกเสียงฮือฮา และขอเก็บภาพที่ระลึกไว้ เพราะรถรุ่นนี้ที่รักษาสภาพได้ใหม่ขนาดนี้ ในบ้านเราแทบไม่มีให้เห็นแล้ว
บ่ายแก่ๆ เราออกเดินทางมุ่งหน้าเข้าสู่เมือง เอเนอร์จี พเลศ ตอนแรกเห็นสภาพเมืองที่ค่อนข้างใหญ่ ผู้คนเดินกันขวักไขว่ โรงแรมที่มีป้าย FREE WI-FI ทุกคนในขบวนเริ่มตื่นตาตื่นใจกันอีกครั้ง ทักทายแซวกันผ่านวิทยุในรถอย่างสนุกสนาน แต่อย่างไรก็ตาม ทริพนี้เพื่อซึมซาบวัฒนธรรมมองโกเลีย มาซดา จึงพาเราเดินทางออกนอกเมืองไปสูดอากาศ ดื่มด่ำธรรมชาติ ริมทะเลทรายโกบี พักในเกอร์ GOBI SUNRISE CAMP ที่ดูทันสมัย และเป็นเกอร์แบบผสมผสานมากที่สุด เพราะบางเกอร์ทำด้วยปูนซีเมนท์ มีความสะดวกสบายมากขึ้น มีห้องน้ำในตัว ขาดเพียง INTERNET WI-FI ที่ยังไม่มีให้ใช้เท่านั้น
วันที่ 5
250 กม. เติมพลังชีวิต ลัดเลาะโกบี
จากเอเนอร์จี พเลศ สู่เอเรนฮอท
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะต้องขับ มาซดา บีที-50 พโร ใหม่ ออกจากเมือง เอเนอร์จี พเลศ บรรยากาศช่วงเช้า คาราวานพาเรามายังสถานที่รับพลัง เอเนอร์จี พเลศ สถานที่เติมพลังชีวิต หรือรับพลังจากฟ้า (ซับบารา) ให้กับชาวมองโกเลียมากว่า 150 ปี มีผู้คนจากหลากหลายถิ่นฐานเข้ามานอนรับพลัง เพราะใกล้กับวันที่เขาจะมีการจัดงานทำพิธีรับพลังพอดี เรามีโอกาสนอนแหงนหน้าขึ้นฟ้า เอาร่างกายนอนแนบกับผืนแผ่นดิน มีหินเล็กๆ สีแดงวางอยู่รายรอบ ท่ามกลางแสงแดดที่แผดเผา ความรู้สึกหนึ่งที่สัมผัสได้ คือ พื้นดินและก้อนหินที่ร่างเรานอนทับให้ความเย็นออกมาจนเรารู้สึกได้ ส่วนด้านบนของร่างกายส่วนที่แหงนขึ้นไปเป็นแนวระนาบกับท้องฟ้า จะสัมผัสกับแดดและความร้อน ดูแล้วก็คล้ายกับ หยิน-หยาง แต่จริงๆ เราเองไม่รู้ว่าพลังที่ได้รับมีนัยแฝงอะไรมากกว่านี้หรือไม่ ถัดขึ้นไปจากที่นอนรับพลัง มีเจดีย์ให้เราเดินวนรอบ พร้อมกับสวดมนต์ขอพร
วิวทิวทัศน์แม้ว่าจะไม่มีต้นไม้เลย แต่ก็ดูกว้างใหญ่ และทรงพลัง โดยรอบอยู่ใกล้กับขอบทะเลทรายโกบี ที่กว้างใหญ่และเวิ้งว้าง หลังจากรับพลังชีวิตกันทุกคนแล้ว เดินทางต่อไปที่วัดลามะ ซึ่งสร้างขึ้นสำหรับเป็นที่สักการะบูชาของผู้คนย่านนี้ อยู่ไม่ไกลจากจุดรับพลัง แวะถ่ายรูปที่ระลึกไม่นาน คาราวานล้อหมุนออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ชายแดนจีน
เส้นทางช่วงแรกต้องลัดเลาะตัดผ่านทะเลทรายโกบีล้วนๆ ประมาณ 30 กม. สถาพเส้นทางเหมือนกับทะเลทรายทั่วไป เป็นพื้นทรายกว้างใหญ่ มีหญ้าขึ้นแบบกอใหญ่ๆ เหมือนในประเทศเมกซิโก ไม่นานเราก็ออกสู่ถนนดำเส้นทางหลักอีกครั้ง วันนี้เสียงเฮฮาในขบวนแซวกันอย่างสนุกสนาน เพราะทุกคนรู้ว่าเราใกล้จะได้กลับบ้าน กลับเข้าสู่ความศิวิไลซ์ คืนธรรมชาติที่สวยงามและเงียบสงบไว้ข้างหลัง อาชีพสื่อมวลชนอย่างเราคงต้องเสพติดกับการสื่อสาร และโลกโซเชียลกันต่อ แค่ขอให้รู้จักใช้มันเท่านั้นเอง ประมาณ 3 ชม. คาราวานเดินทางถึงชายแดน KHAMAR MONASTARY เพื่อข้ามแดนไปยังเมือง เอเรนฮอท อาหารมื้ออร่อยถูกจัดเตรียมไว้ที่โรงแรมเล็กๆ ใกล้ด่านผ่านแดน ทุกคนจัดแจงเรื่องหนังสือเดินทาง และเอกสารผ่านแดน รวมถึงเชคสัมภาระกันอีกครั้ง
จุดนี้เรียกว่าเป็นจุดสุดท้ายที่เราได้ขับ มาซดา บีที-50 พโร ใหม่ ที่ประเทศมองโกเลีย ผ่านบทพิสูจน์สมรรถนะเส้นทางลุยได้เต็มรูปแบบ ทั้งสภาพถนนที่หลากหลาย ทางชันยาว ทางทแรคกรวดลอย ทางในทะเลทราย และทุ่งหญ้า ท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวเย็น ต้องยอมรับถึงคุณภาพและสมรรถนะของรถรุ่นนี้ ที่เป็นพาหนะให้เราเกือบ 30 ชีวิต ขับได้อย่างปลอดภัย ที่สำคัญทริพนี้ คาราวาน มาซดา บีที-50 พโร ไม่ใช่เดินทางแค่มองโกเลีย-จีน แต่ทีม ทรานส์เอเชีย รูท เป็นผู้ขับมาจากประเทศไทย เพื่อส่งต่อให้แก่สื่อมวลชนกรุพเอ ขับจากปักกิ่งไปอูลันบาตาร์ ส่วนกรุพบี มีหน้าที่ขับกลับ จากอูลันบาตาร์ไปชายแดนจีนเอเรนฮอท แล้วที่เหลือต้องยกให้มืออาชีพอย่าง ทรานส์เอเชีย รูท เป็นผู้ขับกลับสู่ไทย
เรียกว่าทริพนี้ ไป/กลับระยะทางจริงกว่า 15,000 กม. จัดเป็นทริพที่ยาวไกล พิสูจน์สมรรถนะ ยืนยันความแกร่งของ มาซดา บีที-50 พโร ใหม่ จริงๆ ขอขอบคุณ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด สำหรับกิจกรรมมันๆ กับความทรงจำดีๆ ในครั้งนี้
ABOUT THE AUTHOR
ณ
ณัฐเวช ยอดแสง
ภาพโดย : บริษัทผู้ผลิต นิตยสาร 417 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2558
คอลัมน์ Online : ชีวิตอิสระ(4wheels)