ควันหลงจากงานเสวนาวิชาการ "อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย กับความท้าทายในครึ่งปีหลัง 2559" ที่จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย ที่จัดเสวนาหัวข้อสำคัญๆ และอัดแน่นด้วยสาระต่างๆ มากมาย มีทั้งเรื่องประมาณการตัวเลขยอดจำหน่ายในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ ที่ "กูรู" หลายสำนักฟันธงเหมือนกันว่า ยอดจำหน่ายรถจะดีขึ้นตามลำดับ"บท บก." ฉบับนี้ ผมจะขอนำเสนอตัวเลขยอดการผลิตรถยนต์ ใน 5 ประเทศแถบภูมิภาคอาเซียน ซึ่งประกอบด้วย ประเทศไทย, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, เวียดนาม และฟิลิปปินส์ (ไม่รวมบรูไน และสิงคโปร์ ที่ไม่มีอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์) เพื่อเป็นแนวทางให้คุณผู้อ่านรับทราบกันก่อนว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ในเมืองไทย มีภาพรวมเป็นอย่างไร ? ตลอดจนจะคุยถึงแผนพัฒนาอุตสาหกรรมที่รัฐบาลมองในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร ? ในปี 2016 นี้ ประเทศไทยมีกำลังการผลิตรถยนต์ 993,380 คัน คิดเป็น 49 % มากเป็นอันดับ 1 ของภูมิภาคอาเซียน ส่วนอันดับ 2 เป็นอินโดนีเซีย 601,461 คัน คิดเป็น 30 % อันดับ 3 มาเลเซีย 262,963 คัน คิดเป็น 13 % อันดับ 4 เวียดนาม 108,288 คัน คิดเป็น 5 % และอันดับ 5 ฟิลิปปินส์ 55,078 คัน คิดเป็น 3 % เมื่อรวมตัวเลขการผลิตทั้งหมดจะอยู่ที่ 2,021,170 คัน และเมื่อเทียบกับตัวเลขการผลิตในปี 2015 จะพบว่า อันดับ 1 ยังคงเป็นประเทศไทย ด้วยกำลังการผลิต 935,251 คัน คิดเป็น 48% อันดับสอง อินโดนีเซีย 579,343 คัน คิดเป็น 29 % อันดับ 3 มาเลเซีย 327,664 คัน คิดเป็น 17 % อันดับ 4 เวียดนาม 78,596 คัน และอันดับ 5 ฟิลิปปินส์ 45,662 คัน คิดเป็น 2 % รวมกำลังการผลิตในปี 2015 เท่ากับ 1,966,516 คัน เมื่อดูตัวเลขการผลิต จะพบว่า ในปี 2016 ทั้ง 5 ประเทศมีกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นจาก 1,966,516 คัน เป็น 2,021,170 คัน เพิ่มขึ้น 3 % และเมื่อเทียบกำลังการผลิตทั่วโลก จะพบว่า ประเทศไทยของเรา ติดอันดับ 10 ของโลก ! นั่นเป็นภาพรวมของการผลิตรถยนต์ในอาเซียน คราวนี้มาดูแผนพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในอนาคตกันต่อครับ ข้อมูลจากงานเสวนาฯ ของสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย วิทยากรหลายท่านบอกเป็นทิศทางเดียวกันว่า ภาครัฐมีไอเดียที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ โดยใช้แผนแม่แบบ THAILAND 4.0: NEXT AUTOMOTIVE GENERATION FOR NEW S-CURVE โดยเน้นหนักใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักๆ ซึ่งประกอบด้วยอุตสาหกรรมยานยนต์, สมาร์ท อีเลคทรอนิคส์, อุตสาหกรรมยาและการท่องเที่ยว, อุตสาหกรรมไบโอเทคโนโลยี และอุตสาหกรรมอาหาร หัวใจหลักของแผนนี้ คือ การเชื่อมโยงอุตสาหกรรมที่ถึงกันหมด เรารับรู้กันมาว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ในบ้านเรา ในระยะแรก เราส่งเสริมอุตสาหกรรมด้วยการเป็นฐานการผลิตรถกระบะ ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา และเมื่อไม่กี่ปีมานี้ เราเพิ่มความแข็งแกร่งด้วยการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงาน หรืออีโคคาร์ จนกลายมาเป็นขาที่ 2 ของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย และกลายเป็นฐานการผลิตเพื่อจำหน่ายและส่งออกไปทั่วโลก แต่เมื่อทิศทางของรถยนต์ในอนาคต เริ่มเปลี่ยนไป จากรถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน มาสู่รถที่มีวิวัฒนาการใช้พลังงานไฟฟ้า หรือพลังงานที่สะอาดมากกว่าน้ำมัน ทำให้ทิศทางการส่งเสริมเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง วิทยากรหลายท่านบอกว่า เทคโนโลยียานยนต์ในอนาคต จะถูกพัฒนาอย่างเป็นระบบ เริ่มจากเครื่องยนต์ไฮบริด สู่โหมด EV หรือรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า และรถที่ใช้พลังงานสะอาด ประเภทรถ FUEL CELL...คีย์เวิร์ดของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ คือ จากน้ำมัน ปรับเปลี่ยนสู่แบทเตอรีลิเธียม สู่มอเตอร์ดไรฟ และคอนทโรล ยูนิท ซึ่งแน่นอนครับว่า ถ้าเรามองบวก อุตสาหกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย มลภาวะที่เป็นพิษจะทยอยหมดลง แต่ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมผู้ผลิตชิ้นส่วนรายย่อยภายในประเทศ ที่ผลิตให้กับรถยนต์แบบเดิมที่ใช้เครื่องยนต์ ก็จะเริ่มล้มหายตายจากเช่นกัน ภาครัฐต้องมองให้ลึกถึงปัญหานี้ แน่นอนว่า เรายังต้องแข่งขันกับอินโดนีเซียและมาเลเซียเช่นเดิม ทั้ง 2 ประเทศนี้ เริ่มคิดและเตรียมแผนรถไฟฟ้ามานานแล้ว เราจะรับมือกันอย่างไร กับค่ายรถยนต์ที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทย และผู้ผลิตชิ้นส่วนที่ต้องเรียนรู้และปรับตัวตามให้ทันกับแผนอุตสาหกรรมฉบับนี้ ฝากไว้เป็นข้อคิดด้วยครับ เผื่อจะหาทางออกที่ลงตัวที่สุดสำหรับทุกฝ่าย...