เรื่องเด่นจาก GADGET/HOW IT WORKS
อนาคตของการขับ เทคโนโลยีล้ำสมัยที่ จะเปลี่ยนแปลงโฉมหน้า วงการยานยนต์ไปตลอดกาล
ระบบเสมือนจริง
เทคโนโลยี วีอาร์ กำลังเข้ามามีบทบาทในโรงงานผลิต และโชว์รูมรถยนต์
ในอนาคต เราอาจได้เห็นโชว์รูมรถยนต์ที่แตกต่างจากปัจจุบัน จากที่เคยมีรถยนต์จอดเรียงรายให้ลูกค้าเลือกซื้อ กลับกลายเป็นห้องว่างเปล่า เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้สัมผัส รถโมเดลล่าสุด ผ่านระบบเสมือนจริง โดยลูกค้าจะได้รับอุปกรณ์ VR HEADSETS ที่มีความละเอียดสูง เช่น OCULUS RIFT หรือ HTC VIVE เพื่อแสดงภาพ 3 มิติ รวมถึงมุมมอง 360 องศา ของรถยนต์รุ่นใหม่ที่คนสนใจ
แม้จะฟังดูยังห่างไกล แต่ในปัจจุบัน บริษัท ZERO LIGHT กำลังพัฒนาระบบนี้ โดยร่วมมือกับ เอาดี เพื่อให้บริการระบบเสมือนจริงในโชว์รูม ลูกค้าจะได้ชมรถ โดยมีความรู้สึกเหมือนอยู่ในห้องโดยสารจริงๆ แถมยังสามารถปรับเปลี่ยนการออกแบบทั้งภายในและภายนอกได้ตามชอบใจ และยังได้เห็นว่า หากมีการติดตั้งอุปกรณ์เสริมเพิ่มเติมแล้ว ตัวรถจะออกมาเป็นอย่างไร หรือจะศึกษาการทำงานภายในเครื่องยนต์โดยละเอียดก็ยังได้
นอกจากนั้น ระบบเสมือนจริง ยังเปิดโอกาสให้บริษัทต่างๆ ได้แสดงรูปแบบจำลองของรถยนต์ที่ยังไม่เปิดตัว ให้ลูกค้าได้ชม โดยมีความละเอียดมากกว่าการเปิดดูในเวบไซท์
ยิ่งกว่านั้น บริษัทผู้ผลิต ยังสามารถใช้ระบบเสมือนจริงออกแบบรถยนต์ที่ดี ปลอดภัยกว่าได้อีกด้วย
เช่น ที่ห้องทดลองของ ฟอร์ด ในรัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ระบบเสมือนจริงนับเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการผลิต ด้วยการพัฒนาโมเดลเสมือนจริงที่มีรายละเอียดสูง ฟอร์ด สามารถประเมินการออกแบบและโครงสร้างของโมเดลที่ต่างกันได้ โดยไม่ต้องสร้างรถยนต์ต้นแบบขึ้นมาจริงๆ ทำให้ประหยัดเงิน และเปิดโอกาสให้วิศวกรมีความคิดอิสระในการออกแบบมากขึ้น
บางบริษัทผู้ผลิต ก็ใช้ระบบเสมือนจริงในการพัฒนาระบบความปลอดภัย โดยก่อนหน้านี้ บีเอมดับเบิลยู ถึงขนาดสร้างโมเดลต้นแบบตัวอย่างขึ้นมา เพื่อทดสอบการชนอย่างน้อย 100 ครั้ง เพื่อจำลองสถานการณ์ทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้นจริงๆ
ผู้ขับสามารถสั่งการโดยใช้ท่าทางปกติได้ ใน เมร์เซเดส-เบนซ์ เอฟ 015 คอนเซพท์
องค์ประกอบของแผงหน้าปัดรถยนต์ เอาดี รุ่นถัดไป จะถูกติดตั้งในรถโมเดลปี 2017
โวลโว จะเปิดโอกาสให้ผู้ขับไปนั่งด้านหลัง และเพลิดเพลินกับรายการโชว์สุดโปรด ในขณะที่รถยนต์ขับเคลื่อนไปด้วยตัวเอง
ระบบอินเตอร์เฟศสุดล้ำ
การพัฒนาด้านนวัตกรรม ระบบสาระบันเทิง หรือ INFOTAINMENT นั้น ส่งผลอย่างยิ่งต่อประสบการณ์การขับขี่ เพราะการจะเปลี่ยนแปลงการเดินทางที่ยาวนาน และแสนตึงเครียด ให้เป็นสถานการณ์พอทนได้ รถยนต์จำต้องเป็นศูนย์รวมความบันเทิง
แผงหน้าปัดของรถ เอาดี รุ่นถัดไป เป็นแกนหลักที่จะเปลี่ยนแปลงประสบการณ์การขับขี่ของคุณให้ดียิ่งขึ้น โดยระบบนี้จะแสดงข้อมูลสำคัญๆ เช่น แผนที่ 3 มิติ ข้อมูลการจราจร และแจ้งเตือนสิ่งอันตราย ผ่านจอแสดงผลขนาดบาง ที่มีความละเอียดสูงแบบ OLED จอแสดงผลมัลทิฟังค์ชันนี้ ประกอบด้วย จอระบบสัมผัส 2 จอที่ตรงกลางคอนโซล ซึ่งสามารถควบคุมระบบเครื่องเสียง และระบบปรับอากาศได้ หนึ่งในวัตถุประสงค์ของระบบนี้ คือ การจดจำลักษณะนิสัยของผู้ขับได้ และใช้ข้อมูลนี้เพื่อพัฒนาการเดินทางให้ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น หากการจราจรเส้นทางปกติของคุณกำลังติดขัด ระบบจะแจ้งเตือนผ่านแอพพลิเคชันที่เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนของคุณ เพื่อแนะนำให้คุณออกเดินทางเร็วขึ้น
ใน เมร์เซเดส-เบนซ์ เอฟ 015 คอนเซพท์ แผงหน้าปัดรถแบบดั้งเดิม ถูกแทนที่ด้วยจออัจฉริยะ ที่สามารถสังเกตได้ว่าตาคุณมองไปยังที่ใด รวมถึงอิริยาบถของมือคุณเป็นอย่างไร ดังนั้น คุณแค่มองไปยังสิ่งที่ต้องการจะปรับ เช่น เสียงวิทยุ อุณหภูมิเครื่องปรับอากาศ และขยับมือเป็นสัญลักษณ์เท่านั้น รถก็จะปรับเปลี่ยนทุกอย่างให้ตามใจคุณ
ส่วน โวลโว ก็เข้าร่วมงานกับ อีริคส์สัน เพื่อขับเคลื่อนระบบความบันเทิงในรถให้ก้าวไปอีกขั้น โดยโมเดลในอนาคตของ โวลโว จะสามารถรับความกว้างของคลื่นความถี่ได้สูง ทำให้ผู้ขับขี่เพลิดเพลินไปกับรายการทีวีสุดโปรด ในขณะรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเอง แถมมันยังชาญฉลาดถึงขั้น สามารถยืดระยะการเดินทางให้ยาวนานขึ้น หากรายการที่คุณดูอยู่ยังไม่จบอีกด้วย
รถยนต์อัจฉริยะ
ตั้งแต่การรวบรวมข้อมูล สู่การขับเคลื่อนด้วยตัวเอง รถยนต์ในอนาคตจะมีขั้นตอนการทำงานอย่างไร
เอาดี กำลังพัฒนาระบบ SWARM INTELLIGENT เพื่อปรับปรุงเทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยตัวเอง โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากพฤติกรรมของฝูงสัตว์ โดยเฉพาะ นก ปลา และแมลง
โดยธรรมชาติ ฝูงสัตว์จะสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างสอดคล้องราวกับเป็นหนึ่งเดียวกัน นั่นคือ ทฤษฎีหลักที่ เอาดี อยากถ่ายทอดไปสู่รถยนต์ เพื่อลดปริมาณการจราจร โดยใช้ระบบโทรศัพท์
รถ เอาดี สามารถเชื่อมต่อถึงกัน รวบรวม และแบ่งปันข้อมูลการจราจร ด้วยระบบซิมคาร์ด E-SIM ที่ถูกฝังอยู่ในรถอย่างถาวร โดย E-SIM จะทำหน้าที่เชื่อมต่อยานพาหนะกับฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่บนท้องถนนข้างหน้า รถยนต์จะใช้ข้อมูลเหล่านี้ เพื่อแนะนำเส้นทางการขับขี่ ให้แก่ผู้ขับ เพื่อหลีกเลี่ยงความแออัดและอันตรายบนท้องถนน และแม้ระบบ SWARM INTELLIGENT กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา แต่ เอาดี นั้นก็ประสบความสำเร็จในการทดลองทฤษฎีนี้ด้วยแบบจำลองขนาดเล็กเรียบร้อยแล้ว
ในขณะที่หลายบริษัทกำลังพัฒนาระบบขับเคลื่อนด้วยตัวเอง เทคโนโลยีนี้จะต้องถูกทดสอบอย่างละเอียดก่อนที่จะยกเลิกการใช้พวงมาลัย โครงการ DRIVE ME ของ โวลโว มีกำหนดเริ่มทดสอบที่ โกเทเบิร์ก สวีเดนในปีหน้า นับเป็นการทดสอบขนาดใหญ่ที่สุดครั้งแรกของโลก สำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเองในระยะยาว ซึ่งกลุ่มรถ โวลโว ทั้ง 100 คัน จะทำให้ โวลโว กลายเป็นบริษัทที่ก้าวหน้าที่สุดในการใช้เทคโนโลยี AUTOPILOT บนถนนจริง
จอแสดงเสริมด้านหน้า มีหน้าที่แจ้งเตือนสิ่งที่เป็นอันตรายต่อผู้ขับ
เมร์เซเดส-เบนซ์ เอฟ 015 คอนเซพท์ มีเครื่องฉายเลเซอร์และจอ LED สำหรับผู้ใช้ถนนคนอื่น และผู้ขับ
อนาคตของเทคโนโลยีบนท้องถนน
อีกไม่กี่ปี ผู้ใช้ถนนในเมืองจะได้รับประสบการณ์ใหม่
ระบบการแจ้งเตือนที่ดีขึ้น
เรดาร์ และระบบกล้องที่ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้น จะทำให้ผู้ขับปลอดภัยขึ้น โดยจะมีการแจ้งเตือนถึงสิ่งอันตรายในมุมที่ผู้ขับมองไม่เห็น แถมยังช่วยสอดส่องตามแยก และหัวมุมถนน ที่สามารถมองเห็นได้ยากอีกด้วย
แว่นขยายไฮเทค
ช่างซ่อมรถยนต์และช่างเทคนิค จะใช้แว่นขยายไฮเทค เพื่อดูแลรักษา และซ่อมเครื่องยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คนเดินข้ามถนน
ระบบการฉายเลเซอร์จะส่องไปที่ทางม้าลายเพื่อให้ผู้คนข้ามถนนได้อย่างปลอดภัย
รถขับเคลื่อนด้วยตัวเอง
รถยนต์ไร้คนขับจะกลายเป็นสิ่งปกติบนถนนมากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีขับเคลื่อนด้วยตัวเองถูกทดสอบอย่างกว้างขวาง
โชว์รูมเสมือนจริง
ลูกค้าสามารถชมโมเดล และองค์ประกอบที่แตกต่างผ่าน ระบบ VIRTUAL REALITY ได้
ข้อมูลแบบ CROWDSOURCED
ข้อมูลเกี่ยวกับผิวถนนชำรุด เช่น หลุมที่ผิวถนน จะถูกส่งไปยังกลุ่มผู้ซ่อมแซมบำรุงถนน เพื่อจัดลำดับความสำคัญในการซ่อมแซม
SWARM INTELLIGENT
บริการแชร์ข้อมูล จะเตือนผู้ขับถึงการจราจรหรือเหตุฉุกเฉิน และแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้เส้นทางนั้นๆ
ระบบค้นหาผิวถนนชำรุด
เซนเซอร์จะช่วยค้นหาหลุมที่ผิวถนนหรือถนนชำรุดอื่นๆ แจกวาร์ และ แลนด์ โรเวอร์ คอนเซพท์ ปรับปรุงระบบหยุดรถเพื่อตอบรับ และเพิ่มความสะดวกสบายสำหรับผู้โดยสาร
ควบคุมด้วยรีโมท
เมื่อต้องเจอกับที่จอดรถแคบๆ ผู้ขับสามารถลงจากรถและสั่งการผ่านแอพพลิเคชันสมาร์ทโฟนให้รถจอดเองได้
โชว์รูมในอนาคตจะเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ชมรถยนต์รุ่นต่างๆ ผ่านระบบ VIRTUAL REALITY
ผู้ขับสามารถสั่งการจากระยะไกล ให้รถยนต์ทำงานได้ เช่น ลอคประตูรถ เปิดเครื่องปรับอากาศ ผ่านแอพพลิเคชัน
ตัวเลขที่น่าสนใจ
ปี 2050 รถยนต์ใหม่ทุกคันจะสามารถขับเคลื่อนด้วยตัวเอง ซึ่งน่าจะเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้
ทุก 10 ปีจะมีผู้รอดชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนมากขึ้น 10 ล้านคน หากใช้รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเองทั่วโลก
453 วัน เป็นเวลาที่ผู้ใช้รถในอังกฤษต้องติดอยู่บนถนนตลอดช่วงชีวิตการทำงาน
2.6 คือ จำนวนอุบัติเหตุรถชน/การขับ 1,000,000 กม. โดยมนุษย์
2 คือ จำนวนอุบัติเหตุรถชน/การขับ 1,000,000 กม. โดยรถขับเคลื่อนด้วยตัวเอง
8MN คือ มูลค่าที่ แจกวาร์ สามารถประหยัดไปได้ในปี 2008-2010 โดยการใช้ระบบ VIRTUAL REALITY ในการพัฒนารถยนต์
ระดับของรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเอง
เทคโนโลยีชนิดใดบ้างที่จะต้องถูกทดสอบก่อนที่เราจะไว้ใจให้ควบคุมการขับขี่ทั้งหมด
ระดับ 0 ไม่มีระบบขับแบบอัตโนมัติ ผู้ขับจะต้องควบคุมรถยนต์เองตลอดเวลา
ระดับ 1 ระบบกึ่งอัตโนมัติ รถยนต์สามารถควบคุมการขับ และความเร็วได้
ระดับ 2 ระบบ UNLINKED ASSISTANCE ถูกนำมาใช้ เช่น ระบบช่วยขับ และช่วยเบรค
ระดับ 3 รถยนต์สามารถควบคุมการขับเคลื่อนได้ทั้งหมดตลอดการเดินทาง
ระดับ 4 รถยนต์สามารถตัดสินใจบางอย่างได้เอง เช่น เปลี่ยนถนนเพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรหนาแน่น
ระดับ 5 ระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ไม่มีพวงมาลัย หรือการควบคุม และป้อนข้อมูลโดยมนุษย์
ABOUT THE AUTHOR
G
GADGET MAGAZINE
ภาพโดย : GADGET MAGAZINEนิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2560
คอลัมน์ Online : เรื่องเด่นจาก GADGET/HOW IT WORKS