ยอดผู้ผลิตรถหรูติดเครื่องหมายการค้า "ดาวสามแฉก" นำรถ เมร์เซเดส-เบนซ์ จี-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ G-CLASS) รุ่นใหม่ซึ่งเป็นรถรุ่นที่ 2 ออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ครั้งล่าสุด เมื่อกลางเดือนมกราคม 2018 พร้อมคำยืนยันว่าเมื่อรถรุ่นนี้เริ่มการจำหน่ายในเมืองเบียร์ในเดือนมิถุนายนของปีเดียวกัน จะมีรถโมเดลเดียว เลือกไม่ได้ คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ จี 500 (MERCEDES-BENZ G 500) ซึ่งติดป้ายค่าตัว 107,040 ยูโร หรือประมาณ 4.28 ล้านบาทไทยอย่างไรก็ตาม 1 เดือนพอดิบพอดีถัดมา คือ ในวันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ 2018 ค่ายนี้ก็ออกข่าวผ่านสื่อต่างๆ ว่าได้เพิ่มทางเลือกให้แก่คนรักรถกระเป๋าโตและตุงที่อยากเป็นเจ้าของรถรุ่นใหม่นี้ โดยเพิ่มรถให้เลือกอีก 1 โมเดล เป็นรถโมเดลพิเศษและเป็นผลงานของสำนัก เอเอมจี (AMG) ซึ่งเป็นหน่วยงานย่อยที่รับผิดชอบการออกแบบ/พัฒนารถแข่งและรถแรงของค่าย "ดาวสามแฉก" เป็นรถซึ่งมีกำหนดอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวา ครั้งที่ 88 ตอนต้นเดือนมีนาคมนี้ พร้อมกับป้ายชื่อ เมร์เซเดส-เอเอมจี จี 63 (MERCEDES-AMG G 63) หลังจากนั้น คือ ตอนกลางเดือนเดียวกันจึงจะประกาศราคาพร้อมเริ่มเปิดรับการสั่งจอง และคาดว่าจะเริ่มการส่งมอบรถในเดือนมิถุนายน 2018 ก่อนหน้านี้ ค่าย "ดาวสามแฉก" มีรถรหัส AMG 63 ให้เลือกใช้อยู่แล้วรวม 17 โมเดล โมเดลซึ่งมีค่าตัวย่อมเยาที่สุด คือ รถเก๋งซีดานขนาดกะทัดรัด เมร์เซเดส-เอเอมจี ซี 63 (MERCEDES-AMG C63) ซึ่งติดป้ายราคา 76,398 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 3.06 ล้านบาทไทย ส่วนโมเดลที่มีค่าตัวโหดสุด คือ รถเก๋งเปิดประทุนขับทุกล้อ เมร์เซเดส-เอเอมจี เอส 63 4 เมทิค+ กาบริโอเลต์ (MERCEDES-AMG S 63 4MATIC+ CABRIOLET) ซึ่งติดป้ายราคา 192,720 ยูโร หรือประมาณ 7.71 ล้านบาทไทย รถโมเดลพิเศษนี้ดัดแปลง/พัฒนาจากรถรุ่นสามัญ โดยปรับเปลี่ยนรายละเอียดในหลายๆ จุด ทั้งในส่วนของตัวถังและเครื่องยนต์กลไก จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุด คือ การปรับแต่งเครื่องยนต์ไบเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 8 สูบ ความจุ 3,982 ซีซี ที่ยกมาทั้งบลอคจากรถ เมร์เซเดส-เบนซ์ จี 500 (MERCEDES-BENZ G 500) จนแรงบิดสูงสุดพุ่งจาก 610 นิวตัน-เมตร/62.2 กก.-ม. เป็น 850 นิวตัน-เมตร/86.7 กก.-ม. หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 39.3 ในขณะที่กำลังสูงสุดก็พุ่งจาก 310 กิโลวัตต์/422 แรงม้า เป็น 430 กิโลวัตต์/585 แรงม้า คือ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 38.7 ผลลัพธ์ด้านสมรรถนะความเร็วที่เห็นได้ชัดจากตัวเลขของผู้ผลิตก็คือ เวลาที่ใช้ในการทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ลดจาก 5.9 เป็น 4.5 วินาที คือ เร็วขึ้นอย่างรู้สึกได้ถึง 1.4 วินาที ในขณะที่ความเร็วสูงสุดก็เพิ่มขึ้นนิดหน่อย คือ จาก 210 เป็น 220 กม./ชม. (จำกัด) ถ้ายังไม่สะใจและอยากให้เร็วกว่านี้ ก็ต้องติด DRIVER'S PACKAGE ซึ่งเป็นชุดแต่งจากโรงงาน ที่จะขยับขีดจำกัดความเร็วสูงสุดเป็น 240 กม./ชม. ในบัดดล อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเห็นตัวเลขแล้วอาจสะดุ้ง คือ มีค่าเฉลี่ย 13.2 ลิตร/100 กม. หรือ 7.6 กม./ลิตร ส่วนอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ คือ 299 กรัม/กม.