ทดลองขับ(formula)
Bosch Mobility Driving Experience พิสูจน์ความก้าวล้ำทางเทคโนโลยียานยนต์ของ Bosch
ทีมงาน Autoinfo Online ได้มีโอกาสร่วมทริพ Bosch Mobility Driving Experience ณ ปะเทศญี่ปุ่น นับเป็นประสบการร์ที่หาไม่ได้ง่ายๆ กับหนึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกยานยนต์ แต่ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับบริษัท Bosch ที่มีประวัติยาวยานมาหลายปี
บริษัทแห่งนี้มีผู้ก่อตั้ง คือ Robert Bosch ชาวเยอรมันในปี คศ. 1886 (ถือเป็นเวลาร่วม 139 ปีมาแล้วของการก่อตั้งบริษัทแห่งนี้ขึ้นมา) นับตั้งแต่นั้นมาบริษัท Bosch ได้สร้างสรรค์นวัตกรรมด้านยานยนต์ออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้กลายาเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำของการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ รวมถึงกิจการที่มีความหลากหลายแตกแขนงออกมาอีกมากมายให้กับผู้บริโภคเป็นเวลาหลายปี
กิจกรรม Bosch Mobility Driving Experience จึงเป็นการสะท้อนให้เห็นความเชี่ยวชาญหลักของบริษัทแห่งนี้ นั่นคือ การคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ สำหรับโลกยานยนต์ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และ Bosch ยังคงมีพัฒนาตามยุคสมัยใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยม มาพร้อมเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำยุคสมัยเสมอมา โดยสถานที่จัดงานอยู่ที่เกาะฮอกไกโด ขึ้นมาด้านเหนือที่เมือง Memanbetsu กับสนามทดสอบขนาดใหญ่ของ Bosch ประจำประเทศญี่ปุ่น พร้อมกับสื่อมวลชนจากประเทศในกลุ่มเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ มาเลเซีย เวียตนาม และอินโดนีเซีย
หลังจากได้รับฟังข้อมูลในเบื้องต้นเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และระบบใช้งานยุคใหม่ของ Bosch เราได้มีโอกาสทดลองใช้งานระบบช่วยเหลือการขับขี่ยุคใหม่ด้วยกัน 5 แบบ กับรถยนต์ทั้งหมด 5 รุ่น
1. Electric Efficient Drive : Honda N-One e:
สถานีแรกเราได้ลองนั่ง และทดลองขับเป็นระยะทางสั้นๆ กับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ Honda N-One e: กับการช้มอเตอร์ขับเคลื่อนรุ่นใหม่ของ Bosch โดยมีความท้าทาย คือ การนำมาใช้งานกับรถยนต์ขนาดเล็กแบบ Kei-Car ซึ่งเป็นที่นิยมในประเทศญี่ปุ่น เดิมทีรถยนต์ประเภทนี้จะใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาดเล็ก (ไม่เกิน 660 ซีซี) การก้าวเข้าสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้าทำให้ Kei-Car ต้องมีอัตราเร่งที่ไหลลื่น และการประหยัดพลังงานไฟฟ้าที่เหมาะสม รวมถึงระยะทางวิ่งเมื่อชารืจเต็มที่มากพอสำหรับชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ มอเตอร์ไฟฟ้า ชุดแบทเตอรี รวมถึงส่วนประกอบต่างๆ จะต้องมีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา สามารถติดตั้งกับรถยนต์ขนาดเล็กเช่นนี้ได้ เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ Bosch พัฒนาขึ้นมาเพื่อยุคสมัยของรถยนต์ไฟฟ้า EV อย่างแท้จริง
ความรู้สึกจากการทดลองขับ: เราพบว่าการตอบสนองของมอเตอร์ไฟฟ้ามีความไหลลื่นเกินคาด ไม่หวือหวา แต่ไต่ความเร็วได้ต่อเนื่อง เหมาะสมกับการเป็นรถยนต์ขนาดเล็ก แต่มีสมรรถนะที่ดี เราคิดว่ามอเตอร์ไฟฟ้าเหมาะสมกับการใช้งานในตัวเมือง หรือการขับขี่บนทางเวนสามารถทำความเร็วได้สบาย
2. Adaptive Maneuverability : Nissan Ariya
สถานีต่อมาเป็นการลองขับกับระบบ Adaptive Maneuverability เน้นการใช้กับระบบ Easy Turn Assist เป็นระบบที่ทาง Bosch ติดตั้งในรถยนต์ไฟฟ้า Nissan Ariya (สำหรับการทดสอบในกิจกรรม Bosch Mobility Driving Experience เท่านั้น ไม่มีติดตั้งในรถที่จำหน่ายจริง) หลักการ คือ การเลี้ยวในที่แคบจะช่วยให้มีวงเลี้ยวที่แคบลง และเพิ่มความคล่องตัวขณะเลี้ยว ระบบขจะทำการเบรคล้อด้านหลังที่อยู่ด้านในของวงเลี้ยวเสมือนเป็นจุดหมุน ทำให้รถมีวงเลี้ยวแคบลง
ความรู้สึกจากการทดลองขับ: หลังจากลองขับด้วยตัวเอง เราพบว่าการเปิด/ปิดระบบ Adaptive Maneuverability มีความแตกต่างอย่างชัดเจน เมื่อเปิดใช้งาน ตัวรถมีวงเลี้ยวที่แคบลงอย่างเห็นได้ชัด สามารถเลี้ยวในที่แคบโดยไม่ต้องทำการถอยรถ รวมถึงการเลี้ยวแบบ U-Turn มีวงเลี้ยวที่แคบลงเช่นกัน จุดที่น่าสนใจ คือ ระบบดังกล่าวสามารถใช้งานกับระบบช่วยเหลือการขับขี่เดิมที่ติดตั้งมากับตัวรถได้ ไม่มีความซับซ้อนมากเกินไป เหมาะสำหรับการติดตั้งในรถยนต์หลากรุ่นในอนาคตอันใกล้
3. Adaptive ADAS based on Road Perception: Volkswagen Golf
ระบบถัดมาจะแสดงให้เห็นถึงความล้ำหน้าของระบบเชื่อมต่อ และการใช้งานร่วมกับระบบช่วยเหลือการขับขี่ของตัวรถ โดยรถที่เราได้ทดลองขับ คือ Volkswagen Golf ติดตั้งระบบใช้งานดังกล่าวเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ลักษณะการทำงาน คือ การเชื่อมต่อข้อมูลแบบ Cloud กับรถยนต์คันอื่น (ที่แชร์ข้อมูลร่วมกัน) เมื่อรถคันอื่นพบสภาวะที่ผิดปกติของพื้นผิวถนน (เช่น ถนนเปียก) ระบบจะส่งข้อมูลมายังรถของเราให้รับรู้ล่วงหน้า และสามารถปรับระบบช่วยเหลือการขับขี่ให้เหมาะกับสภาพถนนโดยอัตโนมัติ เพิ่มความปลอดภัยของการขับขี่บนท้องถนนได้อย่างน่าสนใจ
ความรู้สึกจากการทดลองขับ: ก่อนเริ่มการทดลองขับในสถานีนี้ ทางเจ้าหน้าที่จะนำรถยนต์หนึ่งคันแล่นนำหน้าไปก่อน เมื่อรถคันดังกล่าวแล่นผ่านพื้นผิวของสนามทดสอบที่มีลักษณะเปียก บนหน้าจอของ Volkswagen Golf มีแสดงผลให้เห็นว่า ถนนบางช่วงมีลักษณะเปียก และความลื่นต่างจากบริเวณอื่นๆ เมื่อเราแล่นผ่านบริเวณดังกล่าว ตัวรถจะมีความมั่นคงยิ่งขึ้น เพราะระบบได้ทำการปรับแต่งระบบช่วยเหลือการขับขี่เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
เราได้สอบถามกับทีมผู้พัฒนาระบบว่า ระบบ Adaptive ADAS based on Road Perception ประเมินได้อย่างไรว่าถนนมีความผิดปกติเกิดขึ้น คำตอบ คือ ระบบจะคำนวณจากการตอบสนองของรถที่แล่นผ่านล่วงหน้า เช่น การหมุนของล้อ หรือ การทำงานของระบบช่วยเหลือการขับขี่ (แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม) ด้วยความชาญลากของระบบสามารถรับรู้สภาพพื้นผิวถนนได้อย่างแม่นยำ และส่งข้อมูลไปยังรถยนต์คันอื่นๆ ที่แชร์ข้อมูลด้วยกัน
4. Software Defined Mobility: Lexus RZ
ก่อนเริ่มต้นการทดลองขับในสถานี ทางผู้จัดงาน นั่นคือ Bosch จะให้เราทำแบบสอบถามของพฤติกรรมการขับขี่โดยรวม (แบบสอบถามดิจิทอลบนแทบเลท) เมื่อทำแบบสอบถาม และถ่ายรูปหน้าตรงของเราแล้ว เจ้าหน้าที่จะนำข้อมูลดังกล่าวไปป้อนให้กับระบบ Software defined vehicle motion ในรถยนต์ไฟฟ้า Lexus RZ (ติดตั้งเพื่อการทดลองขับโดยเฉพาะ) เมื่อเราขึ้นมาบนรถ และเปิดระบบดังกล่าว ตัวรถจะสแกนใบหน้าของเรา รวมถึงประมวลผลข้อมูลจากแบบสอบถามที่ทำเอาไว้ล่วงหน้า จากนั้นจะปรับแต่งการตอบสนองของตัวรถให้ตรงกับลักษณะการขับขี่ของเรา เช่น หากข้อมูลพบว่า ผู้ขับชอบการขับขี่แบบนุ่มนวล ระบบจะปรับระบบรองรับให้ตอบสนองอย่างเหมาะสม รวมถึงพวงมาลัยให้ตอบสนองแบบเน้นความต่อเนื่องมั่นคง
ความรู้สึกจากการทดลองขับ: การทดลองขับในสถานีนี้จะวนผ่านเส้นทางในสนามทดสอบ 2 รอบ ในรอบแรกจะใช้โหมดการขับขี่ตามปกติของ Lexus RZ ผ่านเส้นทางที่เน้นโค้งต่อเนื่อง เพื่อประมเนการตอบสนองโดยรวมของตัวรถ หลังจากนั้นในรอบที่ 2 จะเปิดระบบ Software defined vehicle motion ตามข้อมูลของแบบสอบถามก่อนหน้านี้ เมื่อระบบตรวจจับใบหน้ารับรู้ผู้ขับแล้ว (นั่นคือ ทีมงาน Autoinfo Online) ตัวรถทำการปรับแต่งการตอบสนองให้แตกต่างจากเดิม เราพบว่าการตอบสนองพวงมาลัยเปลี่ยนไปเล็กน้อย รวมถึงระบบรองรับที่เพิ่มความหนึบแน่นเข้ามาเล็กน้อยเช่นกัน แต่ยังมีความนุ่มนวลในระดับที่เหมาะสม เราเชื่อว่าระบบดังกล่าวจะมีประโยชน์กับระบบ Car Sharing หรือรถยนต์ที่มีผู้ขับมากกว่าหนึ่งคน ระบบสามารถปรับแต่งการตอบสนองได้ตรงกับการขับขี่ของแต่ละคนได้อัตโนมัติ มีการขับขี่ที่ลงตัวสำหรับผู้ขับที่หลากหลายแม้ใช้รถยนต์คันเดียวกัน
5. Trailer Tow Assist: Mercedes-Benz GLE
การลากจูงถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ใช้รถยนต์ภูมิภาคยุโรป และอเมริกา อย่างไรก็ตามทาง Bosch นำระบบ Trailer Tow Assist มาให้ลองใช้งาน สำหรับการลากวัตถุด้านหลังรถ หรือมีประโยชน์สำหรับการใช้งานกับรถบรรทุกหัวลาก โดยนำมาใช้งานเพื่อการทดลองขับ Bosch Mobility Driving Experience กับรถเอสยูวี Mercedes-Benz GLE ติดตั้งหูลากมาในตัว ระบบจะทำงานร่วมกับระบบบังคับเลี้ยวของพวงมาลัย และกล้องมองภาพด้านหลัง สามารถถอยรถเพื่อให้หูลากลอคเข้ากันได้พอดี นอกจากนี้การถอยรถขณะทำการลากจูง ระบบสามารถช่วยควบคุมรถให้อยู่ในแนวตรงโดยควบคุมพวงมาลัยในทิศทางที่เหมาะสม และยังสามารถทำการถอบแบบ 90 องศาได้อีกด้วย ซึ่งตามปกติต้องใช้ความเชี่ยวชาญของผู้ขับค่อนข้างสูง
ความรู้สึกจากการทดลองขับ: ทีมงานของเราถือเป็นหนึ่งในผู้ขับที่ไม่มีประสบการณ์ของการมีรถลากอยู่ข้างหลังแม้แต่น้อย ในแง่ของการเลื่อนรถไปข้างหน้า จัดว่าไม่ยากเย็นนัก แต่การถอยรถโดยมีรถพ่วงข้างหลัง เป็นสิ่งที่ต้องใช้ความชำนาญเกินคาด เพราะรถพ่วงข้างหลังจะไม่ได้แล่นตรงๆ เสมอไป แต่การเปลี่ยนทิศทางทีละน้อย จนกระทั่งมีทิศทางที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง (แม้จะบังคับพวงมาลัยให้ตรงแล้วก็ตาม !) เมื่อผู้ฝึกสอนเปิดระบบ Trailer Tow Assist การถอยรถโดยมีรถพ่วงข้างหลัง กลับง่ายดายกว่าเดิมมากๆ เพราะระบบจะบังคับทิศทางของพวงมาลัยให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ เพื่อให้รถพ่วงข้างหลังอยู่ในแนวตรงตลอดเวลา นอกจากนี้การเลี้ยวถอยหลัง 90 องศา ระบบสามารถควบคุมพวงมาลัยให้โดยอัตโนมัติเช่นกัน รถพ่วงข้างหลังไม่เสียทิศทางแม้แต่น้อย ทาง Bosch ยังเสริมว่าระบบดังกล่าวสามารถติดตั้งได้ง่าย อาศัยการทำงานร่วมกับระบบเดิมช่วยเหลือการขับขี่เดิมที่ติดตั้งในรถยนต์หลายรุ่น
สรุปเบื้องต้นกับ Bosch Mobility Driving Experience
เรามีความรู้สึกว่า Bosch มีการพัฒนาระบบใช้งานสำหรับรถยนต์ยุคใหม่ที่หลากหลาย ทั้งในแง่ของ Hardware เช่น มอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ยุคใหม่ รองรับสมรรถนะที่หลากหลาย รวมถึงในแง่ของ Software ที่สามารถคำนวณผลได้อย่างแม่นยำ สามารถทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อนได้อย่างลงตัว มีความทันสมัยกับระบบเชื่อมต่อ มีการใช้ระบบ A.I ที่ชาญฉลาด ปรับแต่งการขับขี่ให้เข้ากับสภาพถนน และพฤติกรรมการขับขี่ของแต่ละยุคคลได้อย่างแม่นยำ ทางผู้ผลิตยังเสริมอีกว่า การทำงานของระบบ Software สามารถอัพเดทได้ตลอดเวลา (หรือเรียกว่า OTA: Over The Air) ทำให้ผู้ขับได้รับฟังค์ชันการใช้งานใหม่ๆ ที่ทันสมัยในอนาคต แม้จะใช้งานรถยนต์คันเดิมก็ตาม โดยสิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ ความน่าเชื่อถือของระบบ มีความแม่นยำสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทาง Bosch ยึดถือเสมอมา เราเชื่อว่าระบบที่ได้ลองใช้งานจะเป็นออพชันกับรถยนต์หลายรุ่นในอนาคตอันใกล้
เสร็จสิ้นจากกิจกรรม Bosch Mobility Driving Experience แล้ว แต่การเดินทางครั้งนี้ยังไม่จบ ในวันต่อมาเราได้เดินทางสู่เมืองโยโกฮามา เพื่อเยี่ยมชม Bosch Mobility HQ โดยเดิมทีจะมีโลเกชันอยู่ในย่านชิบูยา เมืองโตเกียว แต่ถูกย้ายมาที่เมืองโยโกฮามาได้ไม่นาน สถานที่แห่งนี้เป็นทั้งออฟฟิศ รวมถึงการเป็นศูนย์วิจัย และพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ของ Bosch สิ่งที่น่าสนใจ คือ การที่เหล่าสื่อมวลชนจากเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ได้มีโอกาสชมฝ่ายทดสอบระบบ และผลิตภัณฑ์ของ Bosch ทำให้เห็นว่าการพัฒนาอุปกรณ์ใช้งานกับรถยนต์ จะต้องมีความแข็งแรง ทนทานเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นแรงสั่นสะเทือน รวมถึงความทนทานต่อคลื่นรบกวนต่างๆ สามารถส่งข้อมูลออกมาได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง นอกจากนี้อุปกรณ์ที่คิดค้นขึ้นมาต้องมีขนาดกะทัดรัดขึ้น มีน้ำหนักเบากว่าเดิม แต่ไม่ลดทอนประสิทธิภาพโดยรวมแม้แต่น้อย จัดเป็นความท้าทายที่ฝ่าย Bosch Mobility สามารถทำได้อย่างยอดเยี่ยม
กลุ่มสื่อมวลชนได้มีโอกาสพบกับผู้บริการของทาง Bosch กับการให้ความสำคัญกับภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดใหญ่ของบรรดาค่ายรถ พร้อมรองรับรถยนต์ที่มีความหลากหลายรูปแบบ และราคา นอกจากนี้เรายังได้พบกับฝ่ายพัฒนาระบบใหม่ๆ ทางด้าน Software กับหน่วยงานในเครือของ Bosch นั่นคือ ETAS: Empowering Tomorrow’s Automotive Software แสดงให้เห็นถึงทิศทางการพัฒนาของ Bosch ที่ก้าวก้าวล้ำหน้ายุคสมัยของโลกยานยนต์เสมอมา รวมถึงการสนับสนุนด้าน Motorsport ในรายการ SuperGT ของประเทศญี่ปุ่น และมีการเปิดบูธที่งาน Japan Mobility Show 2025 อีกด้วย
- Christian Mecker : President and Representative Director Bosch Corporation
- ทีมงานแผนก Bosch Two-Wheeler & Powersports
- Bungo Mizumoto : President and Representative Director ETAS K.K
- John Plackmann : Managing Director Bosch Engineering K.K.
การแข่งรถ SuperGT คลาสส์ GT500 ที่ Bosch เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลัก
บรรยายกาศของบูธ Bosch ในงาน Japan Mobility Show 2025
Bosch และประเทศไทย
สำหรับประเทศไทยแล้ว บริษัท Bosch เข้ามาดำเนินกิจการตั้งแต่ปี คศ. 1923 (นั่นคือ ร่วม 102 ปีมาแล้ว !) แม้สำหรับผู้คนส่วนใหญ่จะรับรู้แบรนด์ Bosch จากงานด้านบริการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์บริการบำรุงรักษาตัวรถ MMS Bosch หรือ เครื่องมือใช้งานสำหรับงานช่าง รวมทั้งอุปกรณ์ใช้งานสำหรับรถยนต์ เช่น ไส้กรองน้ำมันเครื่องยนต์ แบทเตอรี หรือใบปัดน้ำฝน ฯลฯ แต่แท้จริงแล้วประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของทาง Bosch มีการตั้งสำนักงานถึง 4 แห่ง รวมถึงโรงงานผลิตถึง 3 แห่ง (ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะ 2 แห่ง และนิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีกหนึ่งแห่ง) คิดเป็นมูลค่าการลงทุนในปี คศ. 2025 ที่ประมาณ 459 ล้านยูโร เลยทีเดียว (ข้อมูลในปี 2023) รวมถึงการสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับประเทศไทยตลอดระยะเวลาที่เข้ามาดำเนินกิจการอันยาวนาน พร้อมสนับสนุนอุตสากรรมการผลิตรถยนต์ในประเทศ รวมถึงผู้ใช้รถยนต์ในบ้านเราเป็นอย่างดี คุณภาพที่เชื่อถือได้จาก Bosch อยู่ในรถยนต์หลายคันที่ทำตลาดในประเทศไทย
การลงนามความร่วมมือของ Bosch Engineering และ Siam Racing Automobile (SRA)
ขอขอบคุณ Bosch Thailand สำหรับการสนับสนุนทริพ Bosch Mobility Driving Experience






















