ชีวิตอิสระ
ดอย ผา ป่า ถ้ำ 4 แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ สุดประทับใจ
ปีใหม่นี้ “ชีวิตอิสระ” ยังคงเสาะแสวงหาสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ รวมถึงเส้นทางผจญภัยด้วยรถยนต์ มานำเสนอแฟนๆ ต่อไป แต่ถ้าถามว่า ที่ผ่านมาแหล่งท่องเที่ยวใดที่เราประทับใจที่สุดในแต่ละภาคของประเทศไทย คำตอบเป็นดังนี้
1. ภาคเหนือ
ดอยผาฮี้ จ. เชียงราย
ดอยผาฮี้ คือ ที่ตั้งของชุมชนชาวไทยภูเขาเผ่าอาข่า ที่ยังคงรักษาขนบธรรมเนียมแบบดั้งเดิมอย่างเหนียวแน่น และยังเป็นแหล่งเพาะปลูกกาแฟชั้นดีของ จ. เชียงราย ที่ได้รับการยอมรับทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ไม่เพียงชื่อเสียงด้านกาแฟ เรื่องความสวยงามของวิวทิวทัศน์รอบๆ หมู่บ้านก็ไม่เป็นรองใคร เนื่องจากตั้งอยู่บนดอยสูง โดยมีเทือกเขานางนอนล้อมรอบหมู่บ้านเอาไว้ ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็สวยงามแปลกตา นอกจากนี้ ยังมีร้านกาแฟผาฮี้ ให้นักท่องเที่ยวได้ดื่ม พร้อมชมทิวทัศน์ภูเขาสูงอย่างเพลิดเพลิน รวมถึงมีโฮมสเตย์ให้พักผ่อนในราคาหลักร้อยเท่านั้นกาแฟผาฮี้ การันตีรางวัลชนะเลิศ
สำหรับคอกาแฟพันธุ์แท้ คงเคยได้ยินชื่อเสียงของ “กาแฟผาฮี้” กันมาบ้าง เพราะเป็นกาแฟไทยภูเขาคุณภาพคับแก้ว มีรางวัลชนะเลิศจากเวทีประกวดเมล็ดกาแฟพันธุ์อราบิคา จากมหกรรมพืชสวนโลก ปี 2554 เป็นเครื่องยืนยัน กาแฟผาฮี้ เป็นกาแฟที่ปลูกบนป่าดอยตุงรวมกับต้นไม้ใหญ่ที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 1,200 ม. ทำให้ได้กาแฟพันธุ์อราบิคาเมล็ดใหญ่ และรสชาติเยี่ยม กระบวนการผลิตทุกขั้นตอนมีความพิถีพิถัน ทำให้มีความหอมที่โดดเด่น เข้มข้น และนุ่มนวล มีรสหอมหวานคล้ายผลไม้ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของกาแฟผาฮี้ ที่สำคัญ นักท่องเที่ยวทุกคนที่เข้าพักโฮมสเตย์กาแฟผาฮี้ สามารถสั่งกาแฟอะไร แบบใดก็ได้ แบบฟรีๆ แถมยังมีมุมนั่งเล่นเก๋ๆ ชมวิวห้อยขา จิบกาแฟ ถ่ายรูปแบบจุใจ ที่สำคัญยังมีชุดชาวไทยภูเขาเผ่าอาข่าให้ใส่ถ่ายรูปอีกด้วยห้ามพลาด วิถีชีวิตยามเช้า
ใครมานอนพักที่ดอยผาฮี้ อยากแนะนำให้ตื่นแต่เช้า เพราะนอกจากจะได้ชมพระอาทิตย์ขึ้น รวมถึงทะเลหมอกที่สวยงามแล้ว ถ้ามาช่วงเวลาที่มีพิธีกรรม จะได้เห็นประเพณีความเชื่อต่างๆ ที่หาดูได้ยาก ชาวอาข่าที่นี่ยังคงอนุรักษ์ประเพณีความเชื่อต่างๆ ไว้เป็นอย่างดี พวกเขายังคงนับถือผี หรือบรรพบุรุษดั้งเดิมเอาไว้ ปีๆ หนึ่งจะจัดพิธีกรรมเพียง 12 ครั้ง เพื่อเซ่นไหว้บรรพบุรุษ เช่น ประเพณีโล้ชิงช้า หรือประเพณีปีใหม่ลูกข่าง เช้าวันนั้นผมได้เห็นพิธีกรรมแสดงความเคารพของรองหัวหน้าเผ่า ในตอนเช้าจะมีผู้หญิงชาวเผ่า แต่งกายชุดไทยภูเขาเผ่าอาข่าเต็มยศ มารวมตัวกันที่บ้านผู้นำชุมชน เพื่อรอเดินเรียงแถวไปตักน้ำที่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ท้ายหมู่บ้าน แต่ละคนจะแบกตะกร้าที่สานจากไม้ไผ่ ภายในมีน้ำเต้าอยู่ 2-3 ลูก เพื่อใช้บรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์ เพื่อกลับไปทำพิธีที่บ้านใครบ้านมัน ด้วยการบูชา และเซ่นไหว้ พอสายๆ ก็เสร็จพิธี ใครที่มีโอกาสได้มาเที่ยวบ้านผาฮี้ จะได้เห็นสถานที่สำคัญต่างๆ ที่เป็นความเชื่อของคนในหมู่บ้าน เช่น บ้านหมอผีประจำหมู่บ้าน (ทำหน้าที่ปัดรังควานเรื่องที่ไม่ดี) บ้านผู้นำชุมชน (เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในหมู่บ้าน) ประตูผี (ใครลอดผ่านประตูผีจะรอดพ้นจากสิ่งชั่วร้าย) และความเชื่อต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งสำหรับ “ชีวิตอิสระ” แล้วมันมีเสน่ห์ และทรงคุณค่าอย่างยิ่ง2. ภาคใต้
ถํ้าเลสเตโกดอน จ. สตูล
“สตูล” เป็นจังหวัดที่ไม่ได้มีดีแค่น้ำทะเลสวยใส และหาดทรายขาวของเกาะชื่อดังเท่านั้น บนแผ่นดินใหญ่ก็น่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะด้านธรณีวิทยา เพราะเมื่อเมษายน 2561 ที่ผ่านมา องค์การยูเนสโก หรือองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ได้ประกาศให้ อุทยานธรณีสตูล (SATUN GEOPARK) เป็นอุทยานธรณีโลก (GLOBAL GEOPARK) แห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งเทียบได้กับมรดกโลก เนื่องจากค้นพบฟอสซิลดึกดำบรรพ์ครบทั้ง 6 ยุคฟอสซิล 6 ยุค ที่พิพิธภัณฑ์ทุ่งหว้า
เนื่องจากต้องการหาคำตอบว่าเหตุใดองค์การยูเนสโกจึงประกาศให้อุทยานธรณีสตูล เป็นอุทยานธรณีของโลก เราจึงเดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์ทุ่งหว้าเป็นที่แรก ภายในเป็นอาคารขนาดไม่ใหญ่นักแบ่งการจัดแสดงเป็นห้องต่างๆ ตั้งแต่การเสด็จมาเยือนสตูลถึง 4 ครั้งของในหลวงรัชกาลที่ 9 ช้างต้นคู่พระบารมี แต่ส่วนทำให้หายสงสัย คือ การค้นพบร่องรอยของสิ่งมีชีวิตในมหายุคพาลีโอโซอิค (PALEOZOIC) ทั้ง 6 ยุค ตั้งแต่ แคมเบรียน (CAMBRIAN) ออร์โดวิเชียน (ORDOVICIAN) ไซลูเรียน (SILURIAN) ดีโวเนียน (DEVONIAN) คาร์บอนิเฟอรัส (CARBONIFEROUS) และเพอร์เมียน (PERMIAN) เมื่อ 542-251 ล้านปีก่อน ซึ่งเป็นยุคต้นของสิ่งมีชีวิตบนโลก ใน จ. สตูล การค้นพบครั้งนี้ยิ่งใหญ่มาก ทำให้เห็นสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์มากมาย จึงไม่แปลกใจที่องค์การยูเนสโกจะประกาศให้เป็นอุทยานธรณีของโลก ผู้ที่สนใจสามารถชมของจริงได้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ น่าเสียดายที่เปิดเฉพาะวันธรรมดา จันทร์-ศุกร์ เวลา 08.30–16.30 น. เท่านั้นลุยถ้ำเลสเตโกดอน แหล่งค้นพบที่ยิ่งใหญ่
ไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้ คือ การล่องเรือชม “ถ้ำเลสเตโกดอน” (อ่านว่า ถ้ำ-เล-สะ-เต-โก-ดอน) ที่ถูกค้นพบ “ฟันช้างสเตโกดอน” ซึ่งเก่าแก่กว่าช้างแมมมอธ ที่อยู่ในยุคน้ำแข็งเมื่อ 20,000 ปีก่อนเสียอีก การเข้าชมต้องล่องเรือแคนูเข้าไป และต้องติดต่อกับทาง อบต. ทุ่งหว้า เสียก่อนอย่างน้อย 1 วัน การล่องเรือแบ่งเป็น 3 ช่วง ช่วงแรก ล่องชมความงดงามภายในถ้ำ ระยะทาง 4 กม. ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. เรือแคนู 1 ลำ บรรทุกได้สูงสุด 3 คน ประกอบด้วยนักท่องเที่ยว 2 คน และอีก 1 คนเป็นทั้งฝีพาย และไกด์ คอยให้ข้อมูลต่างๆ แต่กฎเหล็กของที่นี่ คือ นักท่องเที่ยวทุกคนต้องสวมเสื้อชูชีพ และหมวกกันกระแทกทุกคน รวมถึงห้ามจับหินงอกหินย้อยภายในถ้ำเด็ดขาด ใครมีไฟฉายให้พกติดตัวไปได้ เพราะในถ้ำมืดสนิทล่องเรือผจญภัย ชมหินงาม และซากฟอสซิล
ถึงเวลาล่องเรือกันเสียที ภายในถ้ำอากาศโปร่งสบาย ไม่อึดอัด เสมือนมีท่ออากาศอยู่ตลอดทาง สายน้ำไหลพาเราเข้าไปเรื่อยๆ ไม่นานนักก็เริ่มเห็นหินงอกหินย้อยตามเพดาน และผนังถ้ำ ทั้งขนาดเล็ก และใหญ่บ้าง ลักษณะคล้ายปลีกล้วยห้อยย้อยลงมาจากเพดาน มีสีออกเหลืองแดงเนื่องจากมีแร่เหล็กผสมอยู่ เมื่อฉายไฟเข้าใส่ จะเห็นเป็นประกายระยิบระยับเหมือนโรยด้วยกากเพชร นั่นเป็นเพราะมีส่วนผสมของแร่แคลไซท์ บ้างเป็นหินย้อยหลอดที่ห้อยเป็นแท่งเล็กแหลมลงมาจากเพดานถ้ำ ดูงดงามแปลกตา บ้างลดหลั่นเป็นชั้นๆ คล้ายขั้นบันได และบ้างก็เป็นก้อนหินขนาดใหญ่ที่ยังคงมีน้ำไหลลงมาเป็นม่านน้ำตกแสดงถึงความเป็น “หินเป็น” หรือหินที่ยังมีชีวิตสามารถงอก หรือย้อยเพิ่มได้ โดยหินงอกหินย้อยที่เราเห็นนี้ เป็นหินยุคโครินเธียนส์ (CORINTHIANS) ตอนปลาย อายุประมาณ 400 ล้านปี เก่าแก่เป็นอันดับที่ 2 รองจากกลุ่มหิน ตะรุเตา ซึ่งเป็นชั้นหินเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย เราเพลิดเพลินอยู่สักพักก็มาถึงช่วงกลางถ้ำ ซึ่งเป็นจุดที่พบซากฟอสซิลจำนวนมาก ซึ่งนอกจากฟอสซิลฟันกรามของช้างสเตโกดอน แล้ว ยังพบฟอสซิลฟันกรามของช้างเอเลฟาส ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของช้างเอเชีย และคาดว่ามีอายุใกล้เคียงกับช้างสเตโกดอน นอกจากนั้นก็ยังพบฟอสซิล แรดชวา กระซู่ เต่า หอย หมึก รวมไปถึงขวานหินของมนุษย์โบราณ รวมแล้ว กว่า 300 ชิ้น โดยเชื่อกันว่า น้ำจากภูเขาได้พัดพาซากฟอสซิลเหล่านี้เข้ามาในถ้ำ ขณะต่อมจินตนาการกำลังประมวลผลหินรูปทรงต่างๆ ทั้งเต่า ไดโนเสาร์ พระแม่มารี หัวใจช้าง ปอดช้าง เรือแคนูก็พามาถึงทางออกปากถ้ำรูปหัวใจ จุดนี้คุณจะได้เห็นหอยดึกดำบรรพ์ นอทิลอยด์ และหมึกดึกดำบรรพ์ด้วย จากตรงนี้เราต้องยกเรือข้ามโขดหิน เนื่องจากมีผนังถ้ำขวางไว้ และเปลี่ยนไปสัมผัสธรรมชาติของป่าโกงกางภายนอกถ้ำแทน เราเพลิดเพลินอยู่ประมาณ 10 นาที ก็ต้องเปลี่ยนจากเรือแคนู เป็นเรือหางยาว เพื่อชมระบบนิเวศของป่าชายเลน จากคลองวังกล้วยสู่ทะเลที่ท่าเรือท่าอ้อย เป็นอันเสร็จทริพนี้ และนั่งรถสองแถวกลับไปที่เดิม การล่องเรือชมถ้ำเลสเตโกดอนครั้งนี้ เป็นอะไรที่คุ้มค่ามาก ได้ความรู้เรื่องสัตว์ดึกดำบรรพ์ในสถานที่จริง ทั้งตื่นเต้นไปกับการล่องเรือในที่มืด แถมยังเพลิดเพลินกับจินตนาการของตัวเอง นับเป็นสถานที่ในดวงใจอีกแห่งหนึ่งของ “ชีวิตอิสระ” ที่ผู้อ่านต้องไปให้ได้ !3. ภาคอีสาน
ผาชะนะได จ. อุบลราชธานี
พระอาทิตย์ขึ้นเช้าวันพรุ่งนี้ ที่ผาชะนะได อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี เวลา… ประโยคนี้ ผมได้ยินจนชินหูตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อได้ฟังวิทยุช่องโปรดรายงานสภาพอากาศ แต่เหตุไฉนสถานที่นี้ ถึงไม่ได้รับความนิยมมากนัก ข้อมูลที่เที่ยว-ที่พักในโลกโซเชียลก็น้อยเหลือเกิน รู้สึกเหมือนอยู่แสนใกล้ แต่กลับไกลแสนไกล เราจึงต้องไปพิสูจน์ !ผาชะนะได ไปไม่ง่ายอย่างที่คิด
การเดินทางสู่ผาชะนะไดไม่สบายอย่างที่คิด (ถึงว่าไม่ค่อยมีใครมา !) โดยเฉพาะระยะทาง 12 กม. สุดท้าย จะเป็นทางขรุขระตามสภาพพื้นที่จริงของที่นั้น คงเป็นเพราะต้องการรักษาสภาพแวดล้อมให้คงเดิม เพราะรอบๆ บริเวณนั้น ยังคงความอุดมสมบูรณ์อยู่มาก มีเพียงบางช่วงเท่านั้นที่มีการเทปูนขนานแนวล้อรถซ้าย/ขวา ให้รถวิ่งเพื่อลดความเสี่ยงของอุบัติเหตุ เนื่องจากเป็นจุดอันตราย สภาพพื้นผิวตลอดทางนั้นนับว่าแย่ ผู้สูงอายุถ้าไปด้วยอาจลำบาก เพราะระยะทางแค่ 12 กม. ใช้เวลาเดินทางจริงเกือบ 2 ชม. ด้วยสภาพเส้นทางเป็นลานหิน ดิน กรวด ทราย และห้วยลำธาร นักท่องเที่ยวที่ต้องการมา จะต้องใช้รถขับเคลื่อน 4 ล้อที่มีความสูงของตัวรถพอสมควรจะดีที่สุด (รถตู้ หรือรถเก๋ง หมดสิทธิ์) ที่นี่เป็นจุดที่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นเป็นที่แรกในประเทศไทย การมาชมจึงต้องวางแผนเวลาและการเดินทางให้ดี แนะนำให้พักบริเวณ (ทางขึ้น) บ้านซะซอมก่อน แล้วค่อยเข้ามาช่วงเช้าตรู่ประมาณ 03.00 น. หรือไม่ก็เข้าไปเวลากลางวัน และนอนค้างแรมที่หน่วยบริการนักท่องเที่ยวผาชะนะไดตั้งแต่ช่วงเย็น บริเวณอุทยานฯ จะมีลานกางเทนท์ และห้องน้ำไว้บริการ โดยใช้แสงไฟจากพลังงานแสงอาทิตย์ส่องสว่างจนถึงประมาณเที่ยงคืน นักท่องเที่ยวควรเตรียมอุปกรณ์ส่องสว่าง รวมถึงอาหารมาให้พร้อม เพราะทางอุทยานฯ ไม่มีอาหารไว้บริการรับตะวันก่อนใครในสยาม
ผาชะนะได ตั้งอยู่ในบริเวณป่าดงนาทาม ของเขตอุทยานแห่งชาติผาแต้ม มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 450 เมตร เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นแห่งแรกของประเทศไทย เนื่องจากอยู่ทางทิศตะวันออกสุดของแผ่นดินสยาม และเป็นตำแหน่งที่กรมอุตุนิยมวิทยาใช้เป็นจุดคำนวณการมองเห็นลำแสงเริ่มแรกของดวงอาทิตย์ในเขตประเทศไทย ณ เส้นแวงที่ 105 องศา 37 ลิปดา 17 ฟิลิปดา ตามคำขวัญที่คุ้นหูอย่าง “รับตะวันก่อนใครในสยาม” ที่ผาชะนะได เมื่อยืนอยู่บนหน้าผา จะเห็นภูเขาทะมึนสลับซับซ้อนทางฝั่ง สปป. ลาว (มีลำน้ำโขงเป็นเขตแดน) เป็นฉากอยู่ตรงกลางตัดกับท้องฟ้าที่อยู่ด้านบน และลำน้ำโขงที่อยู่ด้านล่างด้วยวิวแบบพาโนรามา หากวันไหนอากาศมีความชื้นสูง ประมาณช่วงปลายฝนต้นหนาว จะเห็นทะเลหมอกปกคลุมเหนือลำน้ำโขง นับเป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยงามแห่งหนึ่งของเมืองไทย บรรยากาศยามค่ำคืนก็ใช่ย่อย ถ้าวันไหนท้องฟ้าเปิด เราสามารถมองเห็นกลุ่มดาวต่างๆ ได้ชัดเจน พร้อมกับกระแสลมเย็นเอื่อยๆ เวลากลางคืน สร้างบรรยากาศโรแมนทิคได้อย่างเหลือเชื่อละลานตาดอกไม้ป่าที่ดงนาทาม
ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ของทุกปี บริเวณรอบๆ ป่าดงนาทาม จะมีดอกไม้ป่านานาชนิดเริ่มบานอวดโฉมความงามตามลานหิน ซึ่งสามารถพบเห็นได้ตลอดทางขึ้นไปยังผาชะนะได ทางอุทยานฯ ยังจัดเส้นทางชมทุ่งดอกไม้ป่า ให้นักท่องเที่ยวได้เดินชม และถ่ายภาพอย่างใกล้ชิด ดอกไม้ที่ขึ้นตามลานหิน เช่น หยาดน้ำค้าง แดงอุบล เอนอ้า เหลืองพิศมร รวมถึงทุ่งดอกไม้ชื่อพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้แก่ ดุสิตา สร้อยสุวรรณา มณีเทวา ทิพเกสร และสรัสจันทร เป็นต้น นอกจากนี้ ในช่วงที่น้ำมาก (เดือนกันยายน-ธันวาคม) จะมีน้ำตกไหลเอื่อยๆ ให้เห็นเกือบตลอดทาง รวมถึงทะเลหมอกในช่วงเช้าที่ริมโขง ส่วนในช่วงฤดูแล้ง (เดือนมกราคม-มีนาคม) ท่านจะได้เห็นป่าไม้เปลี่ยนสี จากดอกไม้หน้าแล้ง อาทิ ต้นรัง ตะแบกเลือด พุดผา ช้างน้าว เป็นต้น สรุปแล้วผาชะนะได ยังคงความเป็นธรรมชาติอยู่มาก โดยเฉพาะเสน่ห์ยามเช้าจากแสงสีเหลืองทองตัดกับผืนน้ำของลำน้ำโขง โดยมีฉากหลังเป็นภูเขาสลับซับซ้อน เห็นแล้วหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง แต่เนื่องจากการเดินทางยังไม่สะดวก จึงไม่ค่อยเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นัก แต่สำหรับ “ชีวิตอิสระ” แล้ว นับเป็นสถานที่ที่คุ้มค่า และเป็นอีกจุดหมายหนึ่งในดวงใจ ที่ผู้อ่านต้องไปให้ได้สักครั้งในชีวิต4. ภาคตะวันตก
ผืนป่าศรีสวัสดิ์ จ. กาญจนบุรี
เส้นทางท่องเที่ยวใน จ. กาญจนบุรี มีมากมายหลากหลาย แต่เราเลือกเส้นทาง ธรรมชาติที่ลัดเลาะกลางป่า จาก อ. ศรีสวัสดิ์ ไปยัง อ. ทองผาภูมิ โดยมีจุดหมายที่หมู่บ้าน อีต่อง (เหมืองปิล็อก) หมู่บ้านสุดท้ายของไทยสุดเขตแดนตะวันตกแวะเขื่อนเจ้าเณร ไฮไลท์สำคัญของจังหวัด
เราแวะชมเขื่อนศรีนครินทร์เป็นที่แรก เขื่อนนี้เป็นเขื่อนประเภทหินถมแกนดินเหนียวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย แต่ก่อนมีชื่อว่า “เขื่อนเจ้าเณร” สร้างขึ้นเหนือแม่น้ำแควใหญ่ อำนวยประโยชน์ทั้งด้านการชลประทาน และลดอุทกภัยในลุ่มน้ำแม่กลอง ผลิตไฟฟ้า รวมถึงการประมง ปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัด ไฮไลท์ที่สำคัญ คือ การชมทิวทัศน์ที่สวยงามบนสันเขื่อน ถ้าหันหน้าไปทิศเหนือจะพบกับทะเลสาบกว้างไกลสุดสายตา และหากหันกลับไปทิศใต้จะพบกับกำแพงเขื่อนสูงลิ่ว มองลงไปเห็นประตูระบายน้ำ และแม่น้ำแม่กลองไหลคดเคี้ยวไปตามหุบเขา บอกเลยว่าหากมาตอนพระอาทิตย์กำลังจะตก ที่นี่จะสวยเป็นพิเศษชมม่านฉัตรแก้ว ที่น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น
เมื่อชมเขื่อนเสร็จแล้ว ให้เลี้ยวขวาผ่านน้ำตกเอราวัณ (ไม่ต้องออกถนนหลัก) และวิ่งเลยไปอีก 45 กม. เพื่อไปยังน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น เส้นทางนี้รถเก๋งสามารถผ่านได้ เพราะเป็นทางลาดยางอย่างดี น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น ตั้งอยู่ที่ทำการอุทยานแห่งชาติศรีนครินทร์ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช ทางด้านซ้ายของทะเลสาบเขื่อนศรีนครินทร์ เป็นน้ำตกที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในกาญจนบุรี และยังคงความสมบูรณ์ทางธรรมชาติ แบ่งออกเป็น 7 ชั้น แต่ละชั้นจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันตามความสวยงาม ชั้นที่ 1 ดงว่าน, ชั้นที่ 2 ม่านขมิ้น, ชั้นที่ 3 วังหน้าผา, ชั้นที่ 4 ฉัตรแก้ว, ชั้นที่ 5 ไหลจนหลง, ชั้นที่ 6 ดงผีเสื้อ และชั้นที่ 7 ร่มเกล้า โดยชั้นที่สวยงามที่สุด คือ ชั้น 4 “ฉัตรแก้ว” ที่มีลักษณะลดหลั่นกันมาเป็นชั้นๆ เหมือนกับผ้าม่านนั่นเองเนินสวรรค์ จุดปราบเซียน
จากน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น เราเดินทางต่อไปยัง “เนินสวรรค์” อีก 33 กม. โดยเส้นทางต่อจากนี้จะเป็นทางดินลูกรัง ผสมกับทางกรวด รถเก๋งไม่แนะนำให้ผ่านครับ เพราะบางช่วงถนนแย่ และมีหลุมดักเราเกือบตลอดทาง หลังจากผ่านหลุมบ่อมากว่าชั่วโมง เราก็มาถึงเนินสวรรค์ ซึ่งเป็นจุดสกัด และจุดชมวิวของอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ จากตรงนี้เราสามารถมองเห็นภูเขา และป่าไม้เขียวขจี ก้อนเมฆลอยต่ำระยอดเขาดูสวยงาม สมัยก่อนใครมาถึงเนินสวรรค์ได้ถือว่าเก่ง เพราะเป็นจุดปราบเซียน เนื่องจากเส้นทาง บริเวณนี้เป็นเนินสูงที่ต้องไต่เขาชัน และยาว กว่าจะมาถึงก็มืดค่ำทุกที จึงกลายเป็นจุดพักผ่อนค้างแรม สำหรับนักเดินทางบนเส้นทางนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันน้ำใสไหลเย็น ต้องน้ำตกจ๊อกกระดิ่น
เมื่อพ้นเนินสวรรค์ไปแล้วก็สิ้นสุดทางดินเข้าสู่ถนนลาดยาง จุดหมายต่อไป คือ น้ำตกจ๊อกกระดิ่น ใช้ทางหลวง 3272 ผ่าน อ. ทองผาภูมิ ไปอีก 67 กม. ก็จะถึงน้ำตกที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าลึก น้ำตกจ๊อกกระดิ่น ตั้งอยู่ก่อนถึงเนินช้างศึก (ทางไปหมู่บ้านอีต่อง) การเดินทางต้องขับรถลงไปในหุบเขาอีกประมาณ 2 กม. น้ำตกที่ไหลลงมาจากผาหินมีความสวยงาม และใสมากๆ สามารถลงเล่นน้ำได้ เพราะน้ำไม่ลึก แต่ต้องมีเจ้าหน้าที่ดูแล เพราะอาจถูกดูดเข้าไปในจุดที่มีน้ำตกลงมาจนเป็นอันตรายได้ ถ้ามาช่วงฤดูฝนจะน่าชมเป็นพิเศษ ถือเป็นน้ำตกที่สวยงามที่สุดในแถบนี้บ้านอีต่อง หมู่บ้านสุดชิลล์ที่ต้องมา
หมู่บ้านอีต่อง (เหมืองปิล็อก) เป็นหมู่บ้านที่มีอากาศดี และกำลังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวที่ชอบบรรยากาศธรรมชาติที่เงียบสงบ ท่ามกลางหุบเขา และสายหมอกสุดเขตแดนตะวันตก เพราะแม้แต่สัญญาณโทรศัพท์ก็ยังมาไม่ถึง (บางเครือข่าย) หมู่บ้านอีต่องเป็นเหมืองแร่ที่เคยรุ่งเรืองในอดีตกว่า 60 เหมือง แม้ปัจจุบันจะเหลือเพียงตำนานเล่าขาน แต่ก็เหมือนมีแรงดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างอยากมาสัมผัสความคลาสสิคของหมู่บ้าน รวมถึงอากาศบริสุทธิ์ชมพระอาทิตย์ตก ที่เนินช้างศึก
เที่ยวหมู่บ้านอีต่องไปแล้ว ก่อนพระอาทิตย์จะตก อยากให้ไปสัมผัสความงดงามยามเย็นที่เนินช้างศึก จุดชมวิวเนินนี้อยู่ห่างจากหมู่บ้านอีต่องเพียงแค่ 2 กม. เท่านั้น เป็นจุดที่สูงที่สุด สามารถมองเห็นภูเขาน้อยใหญ่มากมายสุดสายตา ทั้งประเทศไทย และประเทศเพื่อนบ้าน เนินช้างศึกสามารถกางเทนท์ค้างแรมได้ฟรี มีห้องน้ำ และทหารคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ แต่เนื่องจากสูง ลมจะแรง และอากาศเย็นเป็นพิเศษ จึงต้องเตรียมอุปกรณ์มาให้พร้อม ในตอนเช้าจะมีหมอกหนาสวยงาม นับเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย เส้นทางที่เราพาไป เป็นเส้นทางลัดที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยเริ่มทำเหมืองแร่ ตลอดสองข้างทางจะเป็นป่าโปร่งที่สวยงาม แนะนำให้มาเที่ยวช่วงฤดูร้อน และฤดูหนาวเท่านั้นABOUT THE AUTHOR
วิธวินท์ ไตรพิศ
ภาพโดย : ฝ่ายภาพนิตยสาร 417 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2563
คอลัมน์ Online : ชีวิตอิสระ(4wheels)