ตลาดโดยรวม | -13.6 % |
รถยนต์นั่ง | -30.7 % |
รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) | +35.2 % |
กระบะ 1 ตัน | -6.6 % |
รถเพื่อการพาณิชย์ | -7.5 % |
ตลาดโดยรวม | -18.4 % |
รถยนต์นั่ง | -39.2 % |
รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) | +30.2 % |
กระบะ 1 ตัน | -8.1 % |
รถเพื่อการพาณิชย์ | -8.5 % |
ข่าวสำคัญที่พูดคุยกันมากที่สุด คงหนีไม่พ้นเรื่องการฉีดวัคซีน ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนของยี่ห้อไหนก็ช่างเถอะ ถึงจะฉีดแล้ว มีบางคนต้องถึงแก่ชีวิต เพราะโรคดั้งเดิมที่มีอยู่เก่า ก็ตามที แต่ถ้าฉีดแล้ว และสามารถมีพาสสปอร์ทว่าได้ทำการฉีดวัคซีนแล้ว สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้ หากมีความจำเป็น2 เดือนแรกของปีที่ผ่านมา เป็นไปตามที่คาด ยอดขายรถยนต์ยังหดตัวอยู่ 13.6 % แต่ในงานแสดงรถยนต์เมื่อปลายเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ปรากฏว่า ค่ายรถยนต์ขนเอารถไฟฟ้ามาจัดแสดงเพียง 12 ราย มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 988,000 บาท ไปจนถึงเกิน 8,000,000 บาท ถามว่า ประเทศไทยได้รับความนิยมใช้งานรถไฟฟ้า มากขนาดนั้นหรือ ? คำตอบก็ขึ้นอยู่กับผู้บริโภคเอง ว่าเห็นความสำคัญของรถไฟฟ้า และต้องการซื้อมาไว้ใช้งานหรือเปล่า ความคาดหมายของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่าในปี 2564 ยอดขายรถยนต์กลุ่ม HEV และ PHEV น่าจะมียอดขายประมาณ 48,000-50,000 คัน หรือขยายตัวกว่า 63-70 % และจะกลายมาเป็นโมเดลมาตรฐานสำหรับรถยนต์ในหลายรุ่น เพื่อเตรียมพร้อมการเปลี่ยนไปสู่เทคโนโลยีการขับเคลื่อนรูปแบบใหม่อย่างสมบูรณ์ในอนาคต ขณะที่รถ BEV หรือรถไฟฟ้า น่าจะมียอดขายประมาณ 4,000-5,000 คัน ขยายตัวกว่า 210-288 % การวางเครือข่ายสถานีชาร์จไฟฟ้าที่ทั่วถึง ประกอบกับการวางระดับราคาที่จับต้องได้ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเร่งให้ตลาดขยายตัวอย่างรวดเร็ว การเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้ เกิดจากรถ ไฟฟ้าสัญชาติจีน เพราะในระยะแรกใช้สิทธิ์ภาษีนำเข้า 0 % ผ่านข้อตกลงการค้าเสรีไทย-จีน ก่อนลงทุนประกอบในไทย ซึ่งระดับราคาที่จับต้องได้ของรถ BEV สัญชาติจีน น่าจะทำให้ตลาดเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันเทคโนโลยีรถไฟฟ้า ยังมีข้อจำกัดเรื่องระยะทาง และระยะเวลาในการชาร์จ โดย พบว่ามีการสร้างเครือข่ายพันธมิตรระหว่างค่ายรถ หรือหน่วยงานด้านพลังงาน กับสถานีบริการเติมน้ำมันมากขึ้น เพื่อกระจายพื้นที่สถานีชาร์จไฟฟ้าให้ครอบคลุมเพิ่มขึ้นจากเดิม ในประเทศไทยที่มีอยู่ 647 แห่งในปี 2563 (1,974 หัวจ่าย) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อรถไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น ต้องไม่ลืมว่า เวลาพูดถึงเรื่องรถไฟฟ้า จะต้องระบุให้ชัดเจน ว่ากำลังพูดถึงรถยนต์ประเภทใด เพราะรถยนต์ที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้า ซึ่งเรียกรวมกันว่า XEV มีตั้งแต่ รถยนต์ไฮบริด หรือ HEV รถยนต์พลัก-อิน ไฮบริด หรือ PHEV และรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนจากแบทเตอรี หรือ BEV ขณะที่การผลิตรถยนต์ในประเทศกลุ่ม XEV ของไทยก็มีโอกาสที่จะขยับส่วนแบ่งขึ้นไปสูงกว่า 50 % โดยมาตรการที่จะช่วยกระตุ้นตลาดรถ XEV นอกจากการเพิ่มสถานีชาร์จ และมาตรการด้านภาษีเพื่อกระตุ้นการลงทุน อาจเป็นการเพิ่มจำนวนรอบในการเปลี่ยนรถยนต์ใหม่มากขึ้น ผ่านมาตรการกระตุ้นที่เหมาะสม ในปี 2563 ตัวเลขยอดจดทะเบียนรถยนต์ในกลุ่มรถ XEV จะยังมีจำนวนเพียง 30,705 คัน และคิดเป็น 3.9 % ของยอดขายรถยนต์ แต่หากมองอัตราการขยายตัว กลับพบว่าโตสวนตลาดถึง 12.8 % และในอนาคตด้วยแผนการลงทุนของค่ายรถ กับแรงสนับสนุนของภาครัฐ และภาคเอกชน จึงมีโอกาสมากที่รถ XEV จะขยายตัวเพิ่มขึ้น ในปี 2564 นี้ พบว่ายอดจดทะเบียนรถยนต์ที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้า ช่วง 2 เดือนแรก เพิ่มขึ้นถึง 9,164 คัน หรือขยายตัวกว่า 42.6 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับมาตรการกระตุ้นตลาดนอกจากเรื่องการเพิ่มสถานีชาร์จ และมาตรการด้านภาษี ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเป็นฐานการผลิตรถ XEV ในอนาคต ได้แก่ การสร้างความพร้อมของอุตสาหกรรมกำจัดซากรถยนต์ ที่มีประสิทธิภาพในประเทศ และการออกแบบมาตรการจำกัด และลดปริมาณรถยนต์ที่มีอายุมากกว่า 15 ปีที่เหมาะสมในอนาคต เพื่อลดความต้องการถือครองรถยนต์เก่าของผู้บริโภคลง และเพิ่มโอกาสหมุนเวียนรถยนต์ในตลาดให้มากขึ้น เป็นต้น ข้อสุดท้ายนี่แหละ ที่จะทำให้ประเทศไทย สามารถกลายเป็น ดีทรอยท์ ออฟ เอเชีย ตามความฝันเฟื่องของใครบางคน ได้อย่างไม่ยากนัก ทำไมรอบนี้ขึ้นต้นด้วยวัคซีน แล้วมาจบลงด้วย ดีทรอยท์ ออฟ เอเชีย หว่า