เรื่องเด่นจาก GADGET/HOW IT WORKS
MONSTER TRUCK พิคอัพปีศาจยักษ์ 2,000 แรงม้า สามารถบุกตะลุยได้ทุกที่
MONSTER TRUCK (มอนสเตอร์ ทรัค) หรือพิคอัพปีศาจ
ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ค่อนข้างใหม่ในโลกยานยนต์สมัยนั้น โดย MONSTER TRUCK คันแรกของโลก ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1974 ด้วยความหลงใหลในรถ 4x4 ของ บอบ แชนด์เลอร์ ที่ตัดสินใจเปลี่ยนยางรถพิคอัพ FORD F-250 (ฟอร์ด เอฟ-250) ของตัวเอง ให้เป็นยางขนาด 122 ซม. แล้วทดลองใช้โดยการขับข้ามเศษซากรถเก่าๆ 2 คัน ซึ่งทำได้สำเร็จ และนั่นคือ จุดเริ่มต้นของตำนาน หลังจากนั้นไม่นาน MONSTER TRUCK ก็ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยใช้ชื่อ BIGFOOT 1 (บิกฟุท วัน) แม้ต้นแบบจะมาจากรถพิคอัพธรรมดา แต่เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้าง โดยการเสริมเครื่องยนต์เข้าไปเพื่อให้สอดรับกับความสูง และขนาดของล้อ ซึ่งสุดท้าย พิคอัพพลังปีศาจที่มีน้ำหนักถึง 5,000 กก. คันนี้ ก็สร้างความประหลาดใจให้แก่ฝูงชน ด้วยการขับเคลื่อนข้ามรถธรรมดาหลายต่อหลายคันได้อย่างสบายๆ แม้ทุกวันนี้ จะมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เกี่ยวกับรถมากมาย แต่เทคโนโลยีเชิงโครงสร้างของ MONSTER TRUCK ก็ยังต้องการการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อถนอมตัวรถ และช่วยยืดอายุการใช้งานออกไปให้ยาวนานที่สุด คาดว่าเราจะได้เห็นดีไซจ์นใหม่เร็วๆ นี้ ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1980 MONSTER TRUCK ใช้เพลาที่แข็งแรง ควบคู่กับชุด PLANETARY GEAR เพื่อช่วยให้ล้อหมุนง่ายขึ้น แถมยังช่วยลดแรงกด และป้องกันความเสียหายของเพลาได้ดี PLANETARY GEAR หรือที่เราเรียกกันว่า ชุดเกียร์พระเคราะห์ หรือชุดเกียร์โคจร นั้น ทำงานโดยให้เกียร์หลักที่เรียกว่า เกียร์ดวงอาทิตย์ ประสานงานกับเกียร์อื่นๆ ที่โคจรอยู่รอบๆ ประหนึ่งดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ และเมื่อระบบทั้งหมดทำงานประสานกันได้สมบูรณ์ ให้อัตราทดเกียร์ที่ 3/1 ในตอนนั้น MONSTER TRUCK เหล่านี้ ถูกเรียกว่า รถบรรทุก "STAGE 2" โดยมีการนำโครงรถ และเพลาที่มีขนาดหนักกว่า จากรถขนาดใหญ่นำมาใช้ แต่ตัว แชสซีส์ยังไม่สามารถรับน้ำหนักที่มากขึ้นได้ ซึ่งรถบรรทุก STAGE 2 นี้ มีน้ำหนักประมาณ 6,800 กก. และยังใช้แหนบ หรือ LIVE SPRING แบบเดียวกับรถยนต์ยุคดั้งเดิม หรือ SPRING PACK ที่ยังให้ความรู้สึกแข็งกระด้าง และกันสะเทือนไม่ดีเท่าไร ทำให้ผู้โดยสารต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัวแบบเลี่ยงไม่ได้ วิวัฒนาการด้านดีไซจ์นของ MONSTER TRUCK ครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายนั้น นับเป็นครั้งสำคัญที่สุด ที่ช่วยลดต้นทุน สมรรถนะ และเพิ่มความปลอดภัยของผู้ขับ หลักๆ แล้ว พัฒนาการของ MONSTER TRUCK ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 จะเน้นที่ระบบกันสะเทือน โดยใช้ชอคอับไนโตรเจน ซึ่งสามารถบีบ และขยายตัวได้อย่างมั่นคง โดยชอคอับรุ่นปัจจุบันยาวประมาณ 1 ม. และสามารถรองรับแรงกระแทกได้ รู้หรือไม่ ? เจ้าของรถ MONSTER TRUCK ส่วนใหญ่จะตัดดอกยางทิ้ง เพื่อทำให้น้ำหนักของยางแต่ละเส้นเบาลงถึง 90 กก. “ทั้งโครงรถ และแชสซีส์ ถูกติดตั้งให้สูงกว่าล้อรถ จึงทำให้รถสามารถขับผ่านสิ่งกีดขวางขนาดใหญ่ได้ง่ายขึ้น” ตัวเลขสถิติของ MONSTER TRUCK 2,000 แรงม้า คือ พละกำลังที่ MONSTER TRUCK ทำได้จากเครื่องยนต์ 10 PSI คือ ค่าความดันลมยาง/เส้น ที่ MONSTER TRUCK ต้องการ 72.42 ม. คือ สถิติความไกลในการพุ่งทะยานของ MONSTER TRUCK (บันทึกไว้ในปี 2013) 91 ซม. คือ ขนาดของยางที่สามารถติดตั้งได้ใน STAGE 3 ที่มีชอคอับไนโตรเจน 250,000 เหรียญสหรัฐฯ คือ ค่าใช้จ่ายระหว่างการปรับเปลี่ยน และค่าซ่อมบำรุง MONSTER TRUCK/ปี 168 ซม. คือ ขนาดยาง หนึ่งใน MONSTER TRUCK เหล่านี้ 5 คือ จำนวนทีมที่ผู้โชว์ MONSTER TRUCK มารวมตัวกัน 9,423 ซม. คือ ขนาดโดยรวมของเครื่องยนต์จาก MONSTER TRUCK ที่ถูกกำจัดในแต่ละปี 25 คือ จำนวนรถที่ถูกบดขยี้ไปจากการแสดงศักยภาพของ MONSTER TRUCK จากการกระโดดได้สูงถึง 60 ม. เลยทีเดียว นอกจากนั้น MONSTER TRUCK ในปัจจุบัน ยังเลือกใช้ยางลอยแบบที่ใช้ในการเกษตร ที่ใช้แรงดันต่ำ จึงสอดรับกับระบบกันสะเทือนได้ดี โดยยางลอยแต่ละล้อ ต้องการแรงดันเพียง 10 PSI เท่านั้น และเนื่องจาก MONSTER TRUCK เหล่านี้ มีต้นกำเนิดจากนักเลงรถ แถบอเมริกาตอนกลาง จึงถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ท้องถิ่นอันทรงพลังอย่างเครื่องยนต์ V8 จากบแรนด์ใหญ่ๆ อย่าง FORD (ฟอร์ด) CHRYSLER (ไครสเลอร์) รวมทั้ง BMW (บีเอมดับเบิลยู) ก็ถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย แถมเมื่อถูกปรับแต่งด้วยซูเพอร์ชาร์เจอร์ และพลังงานจาก METANAL MONSTER TRUCK ก็สามารถให้แรงม้าได้ เป็นเลข 4 หลัก และสามารถเพิ่มอัตราเร่ง เป็น 96.5 กม./ชม. ภายใน 5 วินาที อัตราเร่งที่สูงมากๆ นี้ ทำให้รถสามารถเร่งความเร็ว เมื่อจำเป็นต้องเหินผ่านทางลาดแคบๆ ได้ “ไฟ ตะแกรง และประตู ทำจากวัสดุราคาประหยัด เพื่อลดน้ำหนักตัวรถ และลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม” การดูแล MONSTER NIGEL MORRIS (ไนเจล มอร์ริส) อดีตประธานกลุ่มผู้จัดการแข่งขัน MONSTER TRUCK ในยุโรป ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับ BIGFOOT ไว้ดังนี้ คำถาม : สำหรับคุณแล้วอะไร คือ เสน่ห์ของ MONSTER TRUCK ตอบ : พ่อสอนให้ขับมอเตอร์ไซค์ตั้งแต่ 6 ขวบ ผมลงแข่งขันอยู่หลายปี และทำได้ดีซะด้วย หลังจากนั้น ก็ได้ลองมาเล่น JET SKI และกีฬาอื่นๆ อีกหลายอย่าง จนได้มาเจอกับ MONSTER TRUCK สำหรับผมแล้ว สนุกกว่าอะไรทั้งหมดที่เคยทำมา มันคือ ยานพาหนะขนาด 3.7x3.7x6 ม. หนัก 5 ตัน และสามารถทำอัตราเร่ง 0.99-99.7 กม./ชม. ภายใน 5 วินาที แล้วทำไมผมจะไม่ชอบมันล่ะ คำถาม : จุดเริ่มต้นของคุณกับ MONSTER TRUCK คืออะไร ? ตอบ : ผมเคยเป็นเซลส์ขายคอมพิวเตอร์ที่ผันตัวมาสร้างธุรกิจ และผลิตรถ 4x4 สำหรับใช้งานบนถนน จนวันหนึ่งผมได้มีโอกาสไปดูโชว์รถพิคอัพ แล้วเพื่อนผมก็ดันพูดขึ้นมาว่า ผมน่าจะสามารถสร้างรถพิคอัพที่เจ๋งกว่ารถในโชว์พวกนั้นได้ ผมเลยบอกเพื่อนไปว่า โอเค งั้นเสาร์หน้าเรามาเริ่มกันเลย แล้วก็เป็นตามนั้น เพื่อนของผม 4 คน มาที่ทำงานตอนเช้าวันเสาร์ ในสภาพพร้อมทำงานแบบสุดๆ วันนั้นเราสร้าง MONSTER TRUCK คันแรกอย่าง MONSTROUS ขึ้นมา หลังจากนั้นพวกเราก็เริ่มจริงจังขึ้นเรื่อยๆ ผมสานสัมพันธ์กับ MTRA ที่สหรัฐอเมริกา และสุดท้ายก็ก่อตั้ง MTRA ขึ้นมาเองในยุโรป คำถาม : แล้ว BIGFOOT 17 เกิดขึ้นได้อย่างไร ? ตอบ : การประสานงานกับสหรัฐอเมริกา ทำให้ผมได้รู้จักกับ BOB CHANDLER เขาบอกว่า อยากให้มี BIGFOOT ฉบับยุโรปสักคัน BIGFOOT 17 จึงได้ถูกสร้างขึ้นในดาเวนทรี ประเทศอังกฤษ โดยมีความคล้ายคลึงกับ BIGFOOT รุ่น 9 กับรุ่น 15 และเพิ่มอะไรใหม่ๆ เข้าไป ความแตกต่างระหว่างอุตสาหกรรม MONSTER TRUCK ในยุโรป และสหรัฐอเมริกา อุตสาหกรรม MONSTER TRUCK ในยุโรป ตามหลังสหรัฐอเมริกาประมาณ 10 ปี หลักๆ แล้วก็เป็นเรื่องสนาม เพราะสนามจัดการแข่งขันที่สหรัฐอเมริกานั้น ยิ่งใหญ่อลังการ พอๆ กับสนามฟุตบอล WEMBLEY ในอังกฤษ ซึ่งต่างจากที่เราจัดการแข่งขันในสนามเล็กๆ ขนาดเท่าสนาม HOCKEY เลยต้องออกแบบการแสดง และการแข่งขันโดยคำนึงถึงพื้นที่อันจำกัด คำถาม : MONSTER TRUCK ต้องซ่อมบำรุงอย่างไรบ้าง ? ตอบ : จริงๆ แล้ว มันก็ขึ้นอยู่กับโชว์แต่ละโชว์ อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่ากระบะพวกนี้ ราคาแพง ดังนั้น บางครั้ง คุณอาจแค่ต้องเติมน้ำมันดีๆ และบางที ก็อาจถึงขั้นต้องเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ ซึ่งราคาก็จะอยู่ประมาณ 15,000 ยูโร (22,800 เหรียญสหรัฐฯ) ตัวผมเองก็รู้จักทีมแข่งบางทีม ที่ต้องเปลี่ยนชุดเกียร์ถึง 5 ครั้งใน 1 ปีเลยทีเดียว คำถาม : เวลาแสดงแบบฟรีสไตล์ คนขับต้องคำนึงถึงเรื่องอะไรบ้าง ? ตอบ : มันเป็นเรื่องของทักษะการควบคุม และปฏิกิริยาตอบสนอง ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลก็มาจากสัญชาตญาณ จริงๆ แล้วการขับ MONSTER TRUCK ก็ไม่ได้ยากไปกว่าการขับรถปกติสักเท่าไร ถ้าไม่นับระบบบังคับเลี้ยวด้วยล้อหลัง ดังนั้น สิ่งที่คนขับต้องคำนึงถึง คือ จะบดขยี้อะไรเพื่อเอาใจฝูงชน และวางแผน วางเส้นทางขับให้ดี คิดไว้เสมอ ว่าหาก MONSTER TRUCK ทะยานขึ้น 3 ครั้ง มันไม่จำเป็นต้องลงพื้นแบบเดียวกันทั้ง 3 ครั้ง ดังนั้น มันอยู่ที่การตัดสินใจของคนขับเองนั่นแหละว่าจะออกแบบการขับออกมาอย่างไร ? อย่างไรก็ตาม แม้มีพละกำลังมหาศาล MONSTER TRUCK STAGE 3 ส่วนใหญ่กลับขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ เพราะคนขับควรจะตั้งสมาธิไปกับการบังคับพวงมาลัย และการสับเปลี่ยนเท้าระหว่างคันเร่งกับเบรค การมีคลัทช์มาเพิ่มจะทำให้คนขับเกิดความสับสน และเสียสมาธิได้ โดย MONSTER TRUCK ส่วนใหญ่ จะใช้เกียร์ 2 จังหวะ แถมรุ่นที่ใช้เกียร์อัตโนมัติบางรุ่น ยังยอมให้คนขับเปลี่ยนเกียร์ไป/มา โดยไม่ต้องแตะแป้นเบรคได้อีกด้วย ด้านการออกแบบ MONSTER TRUCK STAGE 3 ใช้โครงรถ และแชสซีส์ แบบท่อที่ทำจากเหล็ก และโครเมียม-MOLYBDENUM ซึ่งแม้จะดูซับซ้อน แต่ก็ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวรถ และปกป้องผู้ขับได้เป็นอย่างดี อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ MONSTER TRUCK แตกต่างจากรถพิคอัพธรรมดาอย่างสิ้นเชิง คือ ผู้ผลิต MONSTER TRUCK จะออกแบบ และสร้างโครงรถ รวมถึงแชสซีส์เอง โดยไม่พึ่งพาอุปกรณ์ดั้งเดิมเลยแม้แต่น้อย ทั้งโครงรถ และแชสซีส์ ต่างถูกติดตั้งให้สูงกว่าล้อ เพื่อเพิ่มพื้นที่ใต้รถ ทำให้รถสามารถขับผ่านสิ่งกีดขวางขนาดใหญ่ได้ง่ายขึ้น แถมยังช่วยเพิ่มพื้นที่ให้ระบบกันสะเทือนทำงาน เมื่อรถทิ้งตัวลงพื้น หลังการกระโดดอีกด้วย โครงรถ และเครื่องยนต์ ถูกครอบไว้ด้วยใยแก้ว น้ำหนักเบา ไฟ ตะแกรง และประตู ทำจากวัสดุราคาประหยัด เพื่อลดน้ำหนักตัวรถ และลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม นอกจากนั้น ยังมีการออกแบบด้วยธีมแปลกๆ อย่าง MONSTER MUTT หรือธีมซูเพอร์ฮีโร อย่างแบทแมน อีกด้วย และเนื่องจาก MONSTER TRUCK ไม่มีประตูข้างรถ ดังนั้น เวลาคนขับจะขึ้นหรือลงรถ จึงต้องใช้วิธีปีนเข้าปีนออกทางช่องกลางของห้องโดยสาร MONSTER TRUCK ส่วนใหญ่ จะจัดวางโครงสร้างตามมาตรฐานรถอเมริกันทั่วไป คือ ติดตั้งเครื่องยนต์ไว้ด้านหน้า และติดตั้งที่นั่งคนขับทางด้านซ้ายของห้องโดยสาร อย่างไรก็ตาม MONSTER TRUCK หลายรุ่นในปัจจุบัน ได้เปลี่ยนมาติดตั้งที่นั่งคนขับตรงกลางห้องโดยสาร รวมถึงย้ายเครื่องยนต์มาติดตั้งไว้ตรงกลางด้วยเช่นกัน แถมน้ำหนักตรงกลางรถที่เพิ่มขึ้น ยังส่งผลให้ MONSTER TRUCK รักษาสมดุลได้ดีขึ้น และขับได้โลดโผนยิ่งขึ้นอีกด้วย นอกจากนั้น ระบบเลี้ยวแบบพร้อมกันทั้งล้อหน้า ล้อหลัง ยังช่วยให้ MONSTER TRUCK เข้าโค้งได้ดีขึ้น และทำให้คนขับมีเวลามากขึ้นที่จะหักเลี้ยว เมื่อรถกลับสู่พื้นดินหลังการกระโดด MONSTER TRUCK ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อการแข่งขัน จะใช้เวลาในการสร้างราว 3 เดือน-1 ปี ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของโครงท่อ และการออกแบบโดยรวม เมื่อเสร็จสมบูรณ์ คุณก็จะได้ยานยนต์ที่แข็งแกร่ง ทรงพลัง สามารถยึดครองทุกภูมิประเทศ และทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นที่นั้นๆ ได้สบาย แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูเทอะทะ ไม่สมส่วน แถมยังเสียงดังน่ารำคาญ แต่ MONSTER TRUCK ก็นับเป็นความมหัศจรรย์ทางวิศวกรรมอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ การแข่งขัน MOTOR SPORT ที่มี MONSTER TRUCK ร่วมแข่งด้วย จึงได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักเลงรถ โดยเฉพาะรายการแข่งขันระดับโลกที่มีคนดูนับหมื่นอย่าง MONSTER JAM ซึ่ง MONSTER TRUCK ที่มีชื่อเสียงหลายคันในสหรัฐอเมริกา ต่างก็ตบเท้าเข้าร่วมแสดงศักยภาพกันอย่างคับคั่ง มีทั้งการแข่งที่แบ่งออกเป็นคู่ๆ แต่ละคันต้องพุ่งทะยานให้ถึงเส้นชัยก่อนคู่แข่ง วนไปแบบนี้เรื่อยๆ จนกว่าจะเหลือผู้ชนะเพียงคันเดียว และการแข่งแบบฟรีสไตล์ ที่ MONSTER TRUCK แต่ละคันจะมีเวลา 90 วินาที เพื่อแสดงแสนยานุภาพ ไม่ว่าจะเป็นการโผนทะยานขึ้นสูง แล้วร่อนลงเพื่อบดขยี้รถคันอื่นๆ หรือการแสดงผาดโผนอื่นๆ ต่อหน้ากรรมการผู้ตัดสิน จำนวน 3 คน รู้หรือไม่ ? BIGFOOT 5 คือ MONSTER TRUCK ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แค่ยางของมันก็สูงถึง 3 ม. แล้ว BIGFOOT: MONSTER TRUCK รุ่น ORIGINAL BIGFOOT คือ MONSTER TRUCK รุ่นแรก และเป็นรุ่นที่โด่งดังที่สุด และแม้ แชนด์เลอร์ จะปลดระวาง BIGFOOT คันแรกของตัวเองไปตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษที่ 1980 แต่ชื่อ BIGFOOT ก็ยังคงถูกสืบทอดต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น และ BIGFOOT รุ่นล่าสุด ก็เป็นรุ่นที่ 21 แล้ว เครื่องยนต์ V8 เครื่องยนต์ อเมริกัน สูตรดั้งเดิมนี้ มีดีที่ขนาดความจุ และความสามารถในการจัดการกับพละกำลังอันมหาศาล ระบบเกียร์ ติดตั้งเกียร์ 2 จังหวะในตำแหน่งสูง เพื่อให้เหลือพื้นที่ด้านล่างมากที่สุด โครงรถ ตัวโครง ทำจากท่อเชื่อม เพื่อความแข็งแกร่งช่วยคนขับสามารถควบคุมรถได้มั่นคงขึ้น แถมยังช่วยปกป้องผู้ขับในกรณีที่รถเกิดอุบัติเหตุได้อีกด้วย ไฟเบอร์กลาสส์ MONSTER TRUCK ถูกห่อหุ้มด้วยไฟเบอร์กลาสส์ที่มีน้ำหนักเบา และซ่อมแซมง่าย ลิงค์บาร์ แท่งหลัก 4 แท่ง ที่มีหน้าที่เชื่อมโยงเพลาหน้า และเพลาหลังเข้ากับโครงรถ สามารถปรับได้เพื่อควบคุมระดับแรงฉุดที่ MONSTER TRUCK รับได้ ชอคอับไนโตรเจน ชอคอับไนโตรเจน 1 ม. รถสามารถลงสู่พื้นหลังการกระโดดสูงได้อย่างนุ่มนวล ยางลอย ยางที่มีต้นแบบมาจากรถที่ใช้ในเกษตรกรรม ทำให้ MONSTER TRUCK สามารถปีนป่ายข้ามสิ่งกีดขวางได้สะดวก และกลับสู่พื้นได้อย่างนุ่มนวล “MONSTER TRUCK นับเป็นความมหัศจรรย์ทางวิศวกรรมอย่างแท้จริง” ของฝากนักดูดาว : กล้องดูดาวรุ่นล่าสุด กล้องโทรทรรศน์ สะท้อนแสง MEADE POLARIS 130 MM ราคา 199.95 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 155 ปอนด์) www.meade.com เมื่อสายตาของคุณส่องไปยังผิวหยาบกร้านของดวงจันทร์ และวงแหวนของดาวเสาร์ด้วยกล้องโทรทรรศน์สะท้อนแสงสุดประทับใจจาก MEADE INSTRUMENTS และด้วยความที่เป็นซีรีส์ POLARIS กล้องนี้จึงมีเส้นผ่าศูนย์กลางของช่องมองกว้างถึง 130 มม. ทำให้เราได้ภาพในมุมกว้างสุดคมชัด พร้อมช่องเล็งเลเซอร์ และช่องสำหรับส่องดูดาว 3 แบบ ที่มีระดับการขยายภาพต่างกัน แถมยังมีซอฟท์แวร์ AUTO STAR ที่ช่วยให้คุณสามารถเรียนรู้ท้องฟ้ายามค่ำคืน และค้นหาสิ่งต่างๆ บนท้องฟ้าได้มากกว่า 10,000 อย่าง ไม่ว่าจะเป็น GALAXY NEBULA หรือดาวเคราะห์ NIKON D750 ราคา 1,199 ปอนด์/1,699.95 เหรียญสหรัฐฯ www.nikon.co.uk หากคุณกำลังมองหากล้องสำหรับถ่ายภาพท้องฟ้าในยามค่ำคืนอยู่ล่ะก็ NIKON D750 คือ หนึ่งในกล้อง DSLR ที่ดีที่สุดสำหรับงานนี้ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักถ่ายภาพดวงดาวมือใหม่ หรือมืออาชีพ กล้องตัวนี้ก็สามารถตอบโจทย์ได้ ด้วยความละเอียดภาพที่ 24.3 เมกะพิกเซล ทำให้ NIKON สามารถจับภาพดวงดาวได้ละเอียด และคมชัด แถมยังมีเซนเซอร์รับแสงขนาดใหญ่ ทำให้ D750 สามารถรับแสงจากวัตถุอันเลือนลาง และเก็บภาพออกมาได้อย่างสวยงามอีกด้วย NETATMO WEATHER STATION ราคา 299.97 ปอนด์/369.97 เหรียญสหรัฐฯ www.netatmo.com ในการคาดคะเนว่าท้องฟ้าคืนนี้จะเห็นดวงดาวหรือไม่ สภาพอากาศ มีบทบาทสำคัญไม่มากก็น้อย ซึ่ง NETATMO WEATHER STATION จะรวบรวมข้อมูลตามความจริงเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมโดยรอบทั้งหมด และประมวลผล เพื่อส่งข้อมูลมายังสมาร์ทโฟนของคุณโดยตรง เซนเซอร์กลางแจ้งของ NETATMO WEATHER STATION จะทำให้คุณสามารถกะเวลาล่วงหน้าได้ ว่าเมื่อใดเป็นเวลาที่เหมาะแก่การคว้ากล้องโทรทรรศน์คู่ใจ ออกไปส่องท้องฟ้าอันสวยงาม นอกจากจะคำนวณสภาพดินฟ้าอากาศ ฝนตกฟ้าคะนองที่จะเกิด รวมถึงระดับอุณหภูมิ และความกดอากาศปัจจุบันได้แล้ว NETATMO WEATHER STATION ยังสามารถให้ข้อมูลการพยากรณ์อากาศในรูปแบบกราฟล่วงหน้าสำหรับอีก 1 อาทิตย์ข้างหน้าได้อีกด้วย แถมยังสามารถนำมาใช้ประเมินสภาพอากาศในที่ร่มได้ ไม่ว่าจะเป็น การวัดความชื้น คุณภาพอากาศ และการระบายคาร์บอนไดออกไซด์ภายใน MASTERCLASS PRO ED 10x42 ราคา 429 เหรียญฯ (ประมาณ 332.20 ปอนด์) www.meade.com MASTERCLASS PROMASTER รุ่นนี้ของ MEADE INSTRUMENTS เป็นการรวบรวมความสามารถในการดูดาวของกล้องโทรทรรศน์ และการใช้งานได้ในทุกสภาพอากาศของกล้องส่องทางไกลไว้ด้วยกัน ซึ่งนับเป็นกล้องดูดาวที่ใช้งานได้ไวที่สุด ด้วยน้ำหนักตัวที่เบากว่า 100 กรัม ตัวกล้องให้กำลังขยายได้ถึง 10 เท่า พร้อมตัวเคลือบเลนส์ที่ช่วยให้คุณได้ภาพที่ชัดเจน และมีสีที่แม่นยำขึ้น STARSENSE EXPLORER LT 70AZ กล้องโทรทรรศน์หักเหแสง แบบควบคุมด้วย APP ราคา 135 ปอนด์ (ประมาณ 175 เหรียญสหรัฐฯ) www.celestron.com หากคุณเป็นมือใหม่ที่เพิ่งจะเข้าสู่โลกแห่งการดูดาวล่ะก็ กล้องโทรทรรศน์ตัวนี้ เหมาะจะเป็นตัวแรกของคุณที่สุด ด้วยเทคโนโลยีจดจำตำแหน่งบนท้องฟ้า STARSENSE ทำให้คุณสามารถวางสมาร์ทโฟนของคุณลงบนกล้องโทรทรรศน์ และใช้แอพพลิเคชัน STARSENSE EXPLORER ช่วยในการค้นหารูปแบบ และตำแหน่งของดวงดาวที่คุณต้องการได้ทันที โดยตัวแอพพลิเคชันจะให้รายชื่อดาวที่คุณจะสามารถเห็นได้ในตำแหน่ง รวมถึงช่วยให้คุณตั้งกล้องโทรทรรศน์ในตำแหน่งที่สามารถมองดาวนั้นๆ ได้ดีที่สุด ซึ่งตัวแอพฯ STARSENSE EXPLORER นี้ รองรับทั้ง ANDROID และ IOS แต่อาจมีความแตกต่างกันเล็กน้อยในแต่ละรุ่น นอกจากนี้ ในช่องเล็งขนาด 80 มิลลิเมตร ของกล้องหักเหแสงนั้น ยังมีลูกศรช่วยบอกตำแหน่งของดวงดาว เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะมองเห็นอีกด้วย UNIVERSE2GO ราคา 44.90 ปอนด์/49.90 เหรียญสหรัฐฯ www.universe2go.com เข้าใกล้ดวงดาวมากขึ้น ด้วยกล้องที่ใช้ระบบ AUGMENTED-REALITY (AR) ตัวนี้ เมื่อใช้งานร่วมกันกับสมาร์ทโฟน และแอพพลิเคชัน จะทำให้คุณสามารถมองผ่านเลนส์ AR และค้นพบกลุ่มดวงดาวเรียงกันในท้องฟ้ายามค่ำคืนได้อย่างง่ายดาย ตัวแอพพลิเคชันเต็มไปด้วยข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มดาวแต่ละกลุ่ม และวัตถุต่างๆ บนท้องฟ้า รวมถึงไฟล์เสียงที่จะคอยบอกเล่าประวัติดวงดาว นับว่าเป็นสุดยอดอุปกรณ์สำหรับทุกคนในครอบครัว รวมถึงนักดาราศาสตร์หน้าใหม่ที่อยากจะเพิ่มความรู้เกี่ยวกับจักรวาลรอบตัว แอพพลิเคชัน และอุปกรณ์ THE MOON พัฒนาโดย: BLACK SWIFT ราคา: ฟรี/GOOGLE PLAY แอพพลิเคชันนี้ จะคอยอัพเดทข้อมูลของสภาพดวงจันทร์ ณ ปัจจุบัน รวมไปถึงอนาคต และยังสามารถเทียบเดือนตามจันทรคติได้อีกด้วย CLEAR OUTSIDE พัฒนาโดย: FIRST LIGHT OPTICS ราคา: ฟรี/GOOGLE PLAY/APP STORE แอพพลิเคชันนี้ ช่วยให้คุณสามารถประเมินได้ว่าท้องฟ้าในยามค่ำคืนนั้นเปิดมากได้แค่ไหน ก่อนที่จะออกไปตั้งกล้อง แถมยังมีข้อมูลจาก ISS มาให้ด้วย STELLARIUM พัฒนาโดย: NOCTUA SOFTWARE ราคา: ฟรี/GOOGLE PLAY/APP STORE แอพพลิเคชันที่จะช่วยให้คุณสามารถหาข้อมูลที่ต้องการภายในพื้นที่ได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลดวงดาวต่างๆ กลุ่มดาว ดาวเคราะห์ และอื่นๆ METEOR SHOWER CALENDAR พัฒนาโดย: CHRISTOPHER WILCOX ราคา: ฟรี/GOOGLE PLAY/APP STORE แอพพลิเคชันช่วยเตือนเครื่องนี้ มีฟังค์ชันนับถอยหลังที่จะคอยเตือนไม่ให้พลาดวันที่จะมีฝนดาวตกในครั้งต่อไป
ABOUT THE AUTHOR
H
HOW IT WORKS
ภาพโดย : HOW IT WORKSนิตยสาร 417 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2564
คอลัมน์ Online : เรื่องเด่นจาก GADGET/HOW IT WORKS