เป็นโมเดลสุดท้ายของรถสปอร์ทคูเป และรถสปอร์ทเปิดประทุน LAMBORGHINI URACAN ซึ่งเริ่มเข้าสู่สายการผลิตเมื่อปี 2014 รวมทั้งเป็นรถโมเดลสุดท้ายของค่ายนี้ที่จะขับเคลื่อนด้วยพลังของเครื่องยนต์สันดาปภายในเพียงอย่างเดียว ไม่ใช่รถที่ทำขึ้นใหม่ทั้งหมด แต่พัฒนาแตกหน่อต่อยอดจากรถคูเปโมเดลอื่นๆ ซึ่งขณะนี้มี 4 โมเดล คือ LAMBORGHINI HURACAN EVO-LAMBORGHINI HURACAN EVO RWD-LAMBORGHINI HURACAN STO- LAMBORGHINI HURACAN TECNICA
มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดมากมาย เพื่อให้วิ่งได้ดีในทุกสภาพดังที่กล่าวข้างต้น ตัวอย่าง คือ การยกพื้นรถให้สูงขึ้น 44 มม. เพิ่มสิ่งปกป้องใต้ท้องรถ เสริมความแข็งแรงของธรณีประตู ขยายช่วงล้อหน้า 30 มม. ขยายช่วงล้อหลัง 34 มม. ติดตั้งช่องดูดอากาศเข้าสู่เครื่องยนต์ไว้บนหลังคาเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาฝุ่น ปรับปรุงระบบไอดี ใช้ล้อยาง BRIDGESTONE DUELER ALL-TERRAIN 002 (บริดจ์สโตน ดูเลอร์ ออลล์-เทอร์เรน 002) ซึ่งป้องกันอันตรายให้แก่กระทะล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้วได้ดี ตัดระบบบังคับเลี้ยวด้วยล้อหลังออกทั้งหมด ฯลฯ
ส่วนเครื่องยนต์ยกมาทั้งบลอคจากรถโมเดลหัวกะทิ LAMBORGHINI HURACAN TECNICA (ลัมโบร์กินี อูรากัน เทคนิคา) เป็นเครื่องยนต์เบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง วี 10 สูบ 90 องศา ความจุ 5,204 ซีซี แต่การปรับระบบไอดีเพื่อให้รับกับสมรรถนะการขับขี่ ส่งผลให้กำลังสูงสุดลดจาก 471 กิโลวัตต์/640 แรงม้า เป็น 449 กิโลวัตต์/610 แรงม้า ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้า และคู่หลัง ยังคงเป็นเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะเช่นเดิม สมรรถนะความเร็วตามตัวเลขของค่าย “กระทิงดุ” อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 3.4 วินาที ความเร็วสูงสุด ต่ำกว่ารถอนุกรมเดียวกันทุกโมเดล คือ แค่ 260 กม./ชม.
จะเริ่มการผลิตในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 จำกัดจำนวนผลิต 900 คัน ค่าตัวไม่รวมภาษีเริ่มต้นที่ 263,000 ยูโร หรือประมาณ 9.7 ล้านบาทไทย 
