สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
เป่า จ้วงเฟย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด
NETA รถยนต์บแรนด์ใหม่จากสาธารณรัฐประชาชนจีน เข้ามาชิง CAKE ก้อนใหญ่ในตลาดบ้านเรา “ฟอร์มูลา” สัมภาษณ์พิเศษ เป่า จ้วงเฟย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด
ฟอร์มูลา : บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด มีความเป็นมาอย่างไร ?
จ้วงเฟย : บริษัท โฮซอน นิว เอนเนอร์ยี่ ออโต้โมบิล จำกัด หรือ HOZON AUTO ผู้ผลิตรถยนต์บแรนด์ NETA (เนทา) รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ก่อตั้งขึ้นในปี 2557 มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในระยะเวลาเพียง 4 ปี สามารถเปิดตัวรถยนต์รุ่นแรกได้ภายในปี 2561 และจัดอยู่ในกลุ่มบริษัทรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่มียอดขายเติบโตสูงอย่างต่อเนื่องในตลาดรถยนต์สาธารณรัฐประชาชนจีน ด้วยอัตราการเติบโตสูงกว่า 362 % ในปี 2564 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดจำหน่ายโดยรวมแล้วกว่า 250,000 คัน ช่วยลดการปล่อยมลพิษได้กว่า 279,000 ตัน ขณะนี้ทำตลาด 3 รุ่น ได้แก่ NETA U (เนทา ยู) สไตล์ SUV NETA V (เนทา วี) สไตล์ CITY CAR และ NETA S (เนทา เอส) สไตล์ SPORT
โดยประเทศไทย คือ เป้าหมายแรกในแผนการขยายตลาดไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก เนื่องจากเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาคอาเซียนที่มีศักยภาพสูง ภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างจริงจัง และเป็นรูปธรรม ขณะที่ผู้บริโภคก็เปิดรับยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น บแรนด์ NETA จึงได้ตั้งบริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นศูนย์กลางธุรกิจรถไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน พร้อมผนึกพันธมิตรใหญ่ สร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าในไทย เตรียมแนะนำรถยนต์ไฟฟ้าเข้าสู่ตลาดอย่างน้อยปีละ 1 รุ่น ประเดิมเปิดตัว “NETA V” รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % ภายใต้แนวคิด “TOUCHABLE SMART EV” เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าเพื่อคนไทยทุกคน
ฟอร์มูลา : คุณกำหนดนโยบาย และทิศทางของ NETA อย่างไร ?
จ้วงเฟย : NETA เริ่มต้นทำตลาดในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการทำงาน 3 ด้าน คือ สร้างความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้ครอบคลุม และมอบประสบการณ์การขับขี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า
บริษัทฯ มีแผนแนะนำรถยนต์พลังงานไฟฟ้าครอบคลุมทั้งกลุ่มรถยนต์นั่ง และ SUV เพื่อตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าคนไทย ประเดิมรุ่นแรก คือ NETA V
ด้านช่องทางการจัดจำหน่ายปัจจุบัน NETA มีผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทย 24 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล รวมถึงหัวเมืองใหญ่ในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยตั้งเป้า 30 แห่ง ภายในปีนี้ เพื่อรองรับจำนวนลูกค้าที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งยังเปิดให้บริการ NETA SPACE ภายในพื้นที่ศูนย์การค้าเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของลูกค้า
บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการบริการหลังการขาย โดยเตรียมความพร้อมทุกด้าน ทั้งการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่สำหรับดูแลลูกค้าอย่างมืออาชีพ การจัดเตรียมอะไหล่สำรองให้รองรับความต้องการได้ทันท่วงที บริการช่วยเหลือฉุกเฉินผ่าน NETA CALL CENTER ตลอด 24 ชม.
ฟอร์มูลา : จุดเด่นของ NETA เพื่อแข่งขันในตลาด มีอะไรบ้าง ?
จ้วงเฟย : NETA เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในสาธารณรัฐประชาชนจีน เทคโนโลยีสูง และมีความหลากหลายในผลิตภัณฑ์ เราไม่ต้องการให้ลูกค้าคิดว่า NETA เป็นของถูก แต่ต้องการให้คิดว่า NETA เป็นผลิตภัณฑ์ที่คุ้มค่าที่สุด และเรามีความพร้อมที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ และการบริการที่ดีแก่ลูกค้า ซึ่งในปีแรกลูกค้าให้การตอบรับดีมาก โดยมียอดจองเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้
ส่วนปี 2567 บริษัทฯ มีแผนจะเริ่มผลิตตามมาตรการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า โดยรถรุ่นแรกที่จะผลิต คือ NETA V รวมถึงการขยายไปยังรุ่นอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น SUV, SEDAN, SPORT COUPE และอาจมี EV ในกลุ่มรถ COMMERCIAL เพื่อสร้างทางเลือกให้ลูกค้ากลุ่ม EV มากขึ้น
ฟอร์มูลา : โรงงาน ตั้งเป้าผลิตปีละเท่าไร ?
จ้วงเฟย : ปีแรกที่จะเริ่มผลิต คือ ในช่วงปี 2567 ระยะแรกจะผลิตปีละ 15,000-20,000 คัน เฉลี่ยเดือนละ 1,200-1,500 คัน เพื่อจำหน่ายในประเทศ และส่งออก ล่าสุด NETA ได้แต่งตั้งผู้แทนจำหน่ายในประเทศเมียนมาร์
ฟอร์มูลา : ปีที่แล้ว NETA ได้เปิดตัวที่ประเทศใดบ้าง นอกจากประเทศไทย ?
จ้วงเฟย : ภายใต้กลยุทธ์การขยายตลาดไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกปีที่แล้ว NETA เปิดตัวที่ประเทศ สปป.ลาว เนปาล ภูฎาน และปีนี้ที่เมียนมาร์ และจะเพิ่มที่บรูไน อิสราเอล ปีหน้าจะเป็นกัมพูชา และฟิลิปปินส์ ขณะนี้กำลังศึกษาตลาดอยู่
ฟอร์มูลา : NETA มีความพร้อมแค่ไหนในการแข่งขันที่ประเทศไทย ?
จ้วงเฟย : NETA มีความพร้อมมากสำหรับประเทศไทย โดยบริษัทแม่เข้ามาลงทุนผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % สำหรับจำหน่ายทั้งในประเทศไทย และส่งออกไปยังต่างประเทศ และด้วยตลาดที่ขยายตัวมากยิ่งขึ้น NETA มั่นใจในซัพพลาย และความพร้อมสำหรับการแข่งขัน และเราจะเติบโตทุกปี โดยปี 2567 NETA ตั้งเป้ามียอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 15,000-20,000 คัน
ฟอร์มูลา: กลุ่มเป้าหมายของ NETA คือใคร ?
จ้วงเฟย : เริ่มต้นจะเป็นกลุ่มลูกค้าที่ซื้อรถคันที่ 2 ต้องการรถ CITY CAR สำหรับขับมาทำงาน หรือในมหาวิทยาลัย ต่อมาจะเน้นที่ซื้อรถคันแรก เพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน NETA เป็นรถที่ตอบโจทย์ได้ทุกกลุ่ม ตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงผู้สูงอายุ
ฟอร์มูลา : NETA มีกลยุทธ์สร้างความมั่นใจ และทำให้ลูกค้าเข้าถึง บแรนด์อย่างไร ?
จ้วงเฟย : การขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยแต่ละโชว์รูม จะต้องพร้อมทั้งในส่วนโชว์รูม ศูนย์บริการ และอะไหล่ โดยปัจจุบัน บริษัทฯได้สร้างคลังอะไหล่ เพื่อซัพพลายอะไหล่ให้แก่ลูกค้าด้วยความสะดวก รวดเร็ว
อีกส่วนหนึ่ง คือ สถานีชาร์จ ที่ต้องขยายเพื่อรองรับกับความต้องการ โดยขณะนี้ได้เร่งขยายสถานีชาร์จ รวมถึงติดตั้ง WALLBOX ให้แก่ลูกค้าที่บ้าน
นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับพันธมิตรจัดตั้งสถานีชาร์จในจุดต่างๆ ขณะนี้ หากเปิดดูจากแอพพลิเคชัน มีสถานีชาร์จรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามากกว่า 3,000 แห่ง โดย ทั้งรัฐ และเอกชน ได้เร่งขยายสถานีอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญ รถยนต์ NETA สามารถใช้สถานีชาร์จได้ทุกบแรนด์ทั้ง AC และ DC สามารถเดินทางไปได้ทุกภาค ซึ่งก็มีลูกค้า และผู้ใช้รถได้ทดลองเดินทาง และสำรวจสถานีชาร์จในทุกภาค ไม่ว่าจะระยะใกล้ หรือไกล ก็มีสถานีชาร์จรองรับ
ฟอร์มูลา : 1 ปีที่ผ่านมา NETA ประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน?
จ้วงเฟย : ต้องยอมรับว่าเป้าหมายส่งมอบรถยนต์ในปีที่แล้ว 3,000 คัน เราทำไม่สำเร็จเนื่องจากปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดัคเตอร์ แต่ในปีนี้ มั่นใจว่า จะมียอดขาย 10,000 คัน และเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีต่อๆ ไป ส่วนการขยายโชว์รูม เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
การที่บแรนด์ NETA ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคในประเทศอย่างรวดเร็ว ผมต้องขอขอบคุณทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนที่มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินงานของ NETA ในประเทศไทย รวมทั้งลูกค้าคนไทยที่มั่นใจในผลิตภัณฑ์ของเรา
สำหรับในปี 2566 บริษัทฯ มั่นใจว่าตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศจะเติบโตขึ้นกว่า 100 % จากมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ รวมไปถึงทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้น การมีสถานีชาร์จที่เข้าถึงง่าย และครอบคลุมมากขึ้น ที่สำคัญต้นทุนการใช้งาน ที่น่าดึงดูดใจกว่ารถยนต์ทั่วไปในท้องตลาด โดยคาดการณ์ตลาดโดยรวมไว้ประมาณ 25,000-30,000 คัน ซึ่ง NETA จะเดินหน้าตามแผนงานด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งการแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ พร้อมเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ จะให้การสนับสนุน และร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อเร่งให้เกิดระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าที่สมบูรณ์ในประเทศ รวมทั้งผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางของการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ
ภาพโดย : จินดา ลัยนันท์
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2566
คอลัมน์ Online : สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/446117