อุปกรณ์วัดค่าต่างๆ ทางกายภาพทั้งหลายนั้น ล้วนมีความคลาดเคลื่อนเสมอ ไม่มากก็น้อย ผู้ผลิตจึงต้องเลือก “ความละเอียด” หรือความแม่นยำ ให้เหมาะแก่การใช้งาน แล้วกำหนดไว้ให้ผู้ใช้รู้ และนำไปประกอบการประเมินผล เช่น ความผิดพลาดไม่เกิน บวก และลบ ร้อยละ 3 มาตรวัดความเร็วประจำรถของพวกเราก็เช่นเดียวกันครับ แต่จะต่างจากเครื่องมือวัดอื่นๆ อยู่บ้าง ตรงที่ความผิดพลาดของอุปกรณ์วัดความเร็วของรถ มันมีผลต่อชีวิตของผู้ใช้ ว่าจะทำเสียค่าปรับ หรือเสียประวัติหรือไม่ ด้วยเหตุนี้ แทนที่จะพยายามทำให้มันบอกความเร็วให้แม่นยำที่สุด แล้วบอกพิกัดของความคลาดเคลื่อนไว้ แบบที่มีทั้งขาด และเกิน ผู้ผลิตรถยนต์ และผู้ผลิตมาตรวัดนี้ จึงเลือกวิธีบอกค่าให้เกินค่าจริงไว้เสมอ
ผมขอเรียกมาตรที่บอกค่าเกินจริง ในภาษาง่ายๆ ที่นิยมกันว่า มาตรอ่อน และพวกที่บอกค่าความเร็วน้อยกว่าค่าจริงว่า มาตรแข็ง (ซึ่งผู้ผลิตรถ และพวกเรา ไม่ต้องการ แต่ว่าเกิดขึ้นได้ หากชำรุด) ทำไมต้องใช้กันแต่ “มาตรอ่อน” ง่ายๆ ครับ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ขับ ละเมิดกฎหมายจราจรโดยมิได้เจตนานั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น กฎหมายกำหนดความเร็วว่าห้ามเกิน 100 กม./ชม. แล้วเข็มบอกความเร็วชี้ที่ 100 พอดี ความเร็วที่แท้จริงของรถ อาจจะประมาณ 94-96 เท่านั้น หมดโอกาสที่มันจะทำให้เราเสียเงิน เพราะละเมิดกฎจราจรอย่างเด็ดขาดครับ แล้วเครื่องวัดความเร็วของฝ่าย “นักล่าเงินรางวัล” ล่ะ ไม่ต่างกันเลยครับ มีความคลาดเคลื่อนเช่นเดียวกัน และฝ่ายผู้ผลิต (ซึ่งเป็นประเทศที่ผู้คนพัฒนาแล้ว) เขาก็คำนึงถึงความเป็นธรรม ที่ประชาชนผู้ใช้รถควรจะได้รับ เพราะฉะนั้น ถ้าเครื่องวัดในตัวอย่างของผม มันชี้ว่ารถนี้ใช้ความเร็วเกิน 100 เช่น 102 ค่าความเร็วที่แท้จริง จะเกิน 102 ไปอีกอย่างแน่นอน ที่แน่ๆ คือ ไม่มีวันจะต่ำกว่า 100 อย่างเด็ดขาดครับ
ด้วยเหตุผลที่ว่านี้ เพื่อให้ความเป็นธรรมต่อประชาชนผู้ใช้รถ ซึ่งเป็นผู้เสียภาษีให้ตำรวจจราจรมีกินมีใช้ ประเทศที่พ้นจากการเป็นเมืองเถื่อนมาแล้วทั้งหลายทั่วโลก จึงตกลงตามกันอย่างไม่เป็นทางการว่า จะปรับผู้ใช้รถที่ขับเร็วเกิน เมื่อเครื่องมือวัดของฝ่ายตำรวจ บอกค่าเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ตั้งแต่ 10 กม./ชม. ครับ เช่น บนทางด่วนที่กำหนดความเร็วไว้ ไม่เกิน 120 กม./ชม. ตำรวจที่ชอบธรรมเขาจะปรับ ก็ต่อเมื่อเครื่องมือวัด (ที่ไม่ได้ถูกปรับไว้เพื่อโกงประชาชน) บ่งค่าตั้งแต่ 130 ขึ้นไป ไม่ใช่ 121 หรือ 122 ความน่าเชื่อถือของเครื่องมือที่ใช้ ก็เป็นอีกประเด็น ที่ต้องให้ความสำคัญเช่นเดียวกัน
ผมว่าถึงเวลาแล้ว ที่บุคลากรตำแหน่งสูง และองค์กรต่างๆ ในกระบวนการยุติธรรม จะมอบความเป็นธรรมให้แก่ประชาชนในเรื่องนี้ ที่จริงจะทำเพื่อพวกท่านเองอย่างเดียว ก็ได้เหมือนกันครับ เพราะการถูกข้อกล่าวหาขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด มันหมดความเป็นเรื่องส่วนตัวไปนานแล้ว และยังมีความพยายามของฝ่ายตำรวจจราจร ที่จะลากบุคลากรของกรมการขนส่งทางบก มาเป็น “หนังหน้าไฟ” สร้างความเดือดร้อน และทำให้ประวัติของพวกท่านด่างพร้อยไปด้วย มันหมดยุคที่พวกท่านจะชักบัตรประจำตัวข้าราชการของกระทรวงยุติธรรมออกมาแสดง เมื่อถูกเรียกให้หยุดตาม “ด่านลอย” แล้วจะได้ฟังเสียงขู่ที่เปลี่ยนเป็นเสียงหวานว่า “เชิญครับท่าน” ไปนานแล้วครับ บทความแนะนำ

