รอบรู้เรื่องรถ
คุณกำลังใช้ “น้ำมันเครื่องปลอม” อยู่หรือเปล่า ? หรือเพิ่งถูกหลอกให้ “เปลี่ยนยางชุดใหม่” ?
การเมืองของไทยยังคงอึมครึม คงหาประเทศอย่างนี้ได้ยากมาก ที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เกินหนึ่งเดือนหลังจากรู้ผลการเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่มิได้มีเหตุการณ์อะไรให้เป็นที่กังขา คงไม่มีมาตรการ กฎเกณฑ์หรือกฎหมายใดๆ ที่จะสู้กับความหน้าด้านของมนุษย์ได้ ไม่ใช่หน้าที่ของผมในการออกความเห็นครับ แม้ว่าจะอยากกระทำก็ตาม เพราะเนื้อที่นี้มีไว้เพื่อเสริมความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ท่านผู้อ่าน ในด้านเทคนิคของรถยนต์เท่านั้น ให้สมกับราคาของนิตยสารฉบับนี้
เข้าเรื่องกันเลยครับ คำถามยอดนิยม ที่ผมได้รับในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ คือปัญหาความกลัวการถูกหลอกให้ซื้อน้ำมันเครื่องปลอม หลายท่านบอกว่า ราคาที่ได้รับการเสนอหรือการชักชวนนั้น มันถูกจนไม่อยากเชื่อว่าจะได้ของแท้ รองลงไปก็จะเป็นค่าความหนืดที่เหมาะกับการใช้งานในประเทศไทย ซึ่งได้เคยลงพิมพ์ในคอลัมน์นี้ มาแล้วไม่นานนัก คราวนี้เลยขอเขียนเฉพาะปัญหาน้ำมันเครื่องปลอมเท่านั้นนะครับ
ปัญหานี้ ในประเทศที่พัฒนาแล้วเขาไม่มีกันหรอกครับ เพราะผู้รักษากฎหมายของเขา ไม่มีวันยอมให้มันเกิดขึ้น นั่นหมายความว่า ใครที่คิดจะทำ ก็จะมีโอกาสถูกจับกุมสูง และโทษที่ได้รับ ก็จะไม่คุ้มค่ากับการกระทำนี้ แต่ที่นี่ประเทศไทย ที่ดูเหมือนว่าผู้รักษากฎหมายส่วนใหญ่ทำหน้าที่หลัก คือ การเอาใจ ประจบ สร้างภาพ หาผลประโยชน์ให้ผู้บังคับบัญชา ส่วนการรักษากฎหมาย การติดตามจับกุมผู้ละเมิด ถือเป็น “งานรอง” พวกเราซึ่งเป็นผู้บริโภค ก็เลยต้องรับเคราะห์ ตกเป็นเหยื่อของบรรดานักปลอมสินค้าเหล่านี้
คำถามแรก คือ จะสังเกตได้อย่างไร ว่าน้ำมันเครื่องที่กำลังจะซื้อ เป็นน้ำมันเครื่องปลอมหรือไม่ ถ้าถอยเวลาไปสัก 20 ปี ก็พอจะตอบได้ว่า สำหรับผู้ที่อยู่ในวงการธุรกิจนี้ หรือผู้มีประสบการณ์สูงพอ สามารถสังเกตจากภาชนะที่บรรจุ จากฉลาก ควบคู่ไปกับการดมกลิ่น ซึ่งมาจากสารเคมี ที่เป็นสารเพิ่มคุณภาพ (ADDITIVES) ผู้ผลิตน้ำมันเครื่องระดับคุณภาพสูง จะใส่สารเพิ่มคุณภาพในอัตราที่สูง จึงมีกลิ่นค่อนข้างแรงจากความเข้มข้นของสารเหล่านี้ และผู้ที่คุ้นเคยจะใช้กลิ่นนี้ช่วยตัดสินได้
แต่ปัจจุบันนี้นักปลอมน้ำมันเครื่อง จะใส่สารที่มีกลิ่นใกล้เคียงกัน จนแม้แต่ผู้ที่คุ้นเคย ก็หาความแตกต่างไม่ได้ ภาชนะที่บรรจุและฉลาก ก็มีระดับคุณภาพและความละเอียดแทบไม่ต่างกัน หรือไม่ก็ไม่มีความแตกต่างใดๆ ทั้งนั้น เพราะนักปลอมแปลงพวกนี้ สามารถไปว่าจ้างโรงงานในระดับ เดียวกันฉีดได้ หรือไม่ก็จ้างโรงงานเดียวกับที่ผลิตภาชนะบรรจุของแท้นั่นแหละครับ เมื่อไม่สามารถตรวจสอบด้วยการมองดูภาชนะและฉลาก หรือแม้แต่สีของน้ำมันเครื่อง รวมทั้งไม่สามารถตรวจสอบด้วยการดมกลิ่นได้ ผู้บริโภคที่อาภัพอย่างพวกเรา ก็เหลือทางเดียวเท่านั้น ที่จะไม่ให้ถูกหลอกให้ซื้อน้ำมันเครื่องปลอม นั่นคือการใช้ความน่าเชื่อถือไว้วางใจได้ของผู้ขาย ในการตัดสินใจ หรือไม่ก็ต้องมีการแสดงต้นทางของการจำหน่ายได้ ว่ามาจากผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าของแท้
แต่ในกรณีหลังนี้ก็ยังไม่ใช่หลักประกันครับ เพราะผู้รับของปลอมมาขาย จะสั่งซื้อของแท้มาขายควบคู่ไปด้วย ไว้เป็นเครื่องป้องกัน เมื่อใดที่ถูกลูกค้าหรือเจ้าหน้าที่ขอดูหลักฐาน จะได้มีใบสั่งซื้อของแท้ให้ตรวจสอบได้
ปัญหานี้ต้องถูกแก้ไขให้ถูกจุดที่ต้นทางครับ ถ้าตำรวจมีความตั้งใจทำงาน ไม่เห็นแก่อามิสสินจ้าง หรือเอาเวลาไปทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ผมรับรองได้ว่าขบวนการปลอมแปลงน้ำมันเครื่องอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ไม่มีทางจะเติบโตจนเป็นภัยแก่ผู้บริโภคเช่นพวกเราได้เลยครับ
เป็นไปได้หรือครับ ที่จะมีแหล่งผลิตน้ำมันเครื่องปลอม ที่ต้องมีการขนส่งวัตถุดิบเข้า และส่งสินค้าปลอมที่บรรจุแล้วออกไป โดยที่ตำรวจไม่รู้หรือหาไม่เจอ ไม่มีทางครับ วัตถุดิบที่ว่านี้ก็คือน้ำมันเครื่องใช้แล้วจากศูนย์บริการและปั๊มน้ำมัน ที่พวกเราเข้าไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่องนี่แหละครับ พวกมันสามารถขับรถเข้ามาซื้อไปได้โดยไม่ต้องกังวล ในราคาลิตรละราวๆ 2 บาทเท่านั้น เอาไปบำบัดโดยการกรองเขม่า ฟอกสี ใส่สี ใส่กลิ่น เสร็จสรรพ ก็ได้ ลิตรละหลาย 10 บาท แค่ขับตามบรรดาพิคอัพ บรรทุกถังน้ำมัน 200 ลิตร หลายถัง พร้อมปั๊มสูบน้ำมัน ก็ไปถึงแหล่งปลอมน้ำมันเครื่องได้แล้ว
ที่จริงมีอีกวิธีหนึ่ง ที่ช่วยหลีกเลี่ยงการถูกหลอกขายน้ำมันเครื่องปลอมได้ นั่นคือ การหลีกเลี่ยงน้ำมันที่มีชื่อเสียงและขายดี คำแนะนำนี้ผมไม่อยากเขียนหรอกครับ เพราะไม่ให้ความยุติธรรมแก่ ผู้ผลิตหรือจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ขายดี แต่ถ้ามองในมุมกลับ ผู้ที่ผลิต และ/หรือ จำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ขายดี และถูกปลอมแปลง ก็ควรจะลงทุนลงแรง ป้องกันการปลอมแปลงผลิตภัณฑ์ของตนเองด้วย จะจ้างนักสืบเอกชน หรือจะตั้งงบประมาณ เพื่อ "ไขลาน" หรือ "หล่อลื่น" ตำรวจของรัฐก็ตามแต่ อย่ามองว่ายังไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้มหาศาลของบริษัทเลยครับ เพราะมันเป็นเรื่องของความถูกต้อง เป็นการปกป้องลูกค้า และเป็นการลดจำนวนผู้ประกอบมิจฉาชีพให้แก่สังคมด้วย
ผมจำได้ว่าเมื่อหลายปีมาแล้ว ผมอ่านพบข่าวดีข่าวหนึ่ง สำหรับพวกเราซึ่งเป็นผู้บริโภค นั่นคือ กระทรวงพาณิชย์เตรียมออกกฎบังคับให้ผู้ผลิตยางรถยนต์ รับประกันคุณภาพ ของยางเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 4 ปี นานๆ จะได้ข่าวดีที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค หรือการป้องกันผู้บริโภคเสียเปรียบครับ แต่ผมก็ไม่ได้มีความมั่นใจมากนัก ว่าจะมีการปฏิบัติอย่างจริงจังกันเมื่อใด จนกว่าจะได้เห็นว่ามีการบังคับใช้ให้เป็นรูปธรรมจริงๆ และผมก็ลืมเรื่องนี้ไปนานพอสมควร เพิ่งมานึกขึ้นได้เมื่อเดือนที่แล้ว จึงได้ติดตามข่าวคราวเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้ง และเป็นครั้งแรกที่สมหวังครับ คือ มีการออกกฏมาบังคับ ให้ผู้ผลิตยางรถยนต์ในประเทศไทย รับประกันคุณภาพยางรถยนต์ที่จำหน่ายให้ผู้บริโภค เป็นเวลาอย่างน้อย 4 ปี (หากจำนวนปีที่ว่านี้คลาดเคลื่อน เพราะมีการแก้ไขใหม่ ผมต้องขออภัยไว้ล่วงหน้านะครับ)
ผู้บริโภคชาวไทย มักมีพฤติกรรมที่แปลกบางอย่าง คือ ไม่ค่อยต้องการรักษาผลประโยชน์ของตนเอง และที่หนักกว่า ก็คือ ยินดีที่จะเชื่อฟังคำแนะนำของผู้ขาย โดยไม่ต้องการวิเคราะห์ด้วยเหตุผล ว่าถูกต้องหรือไม่ พวกเราก็เลยถูกยุให้ซื้อสินค้าใหม่ มาก และบ่อยกว่าที่ควรอยู่ตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่น กำหนดเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง แทนที่จะอ่านคู่มือในการใช้รถ เช่น เขาบอกให้เปลี่ยนทุกๆ 12,000 กม. ก็กลับไปเชื่อเจ้าของอู่ซ่อม หรือปั๊มน้ำมันที่ได้ประโยชน์โดยตรงจากการขายน้ำมันเครื่อง ว่าต้องเปลี่ยนทุก 5,000 กม. มันเป็นเงินที่ศูนย์เปล่า และน่าจะเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์กว่านี้ครับ
เรื่องยางก็เหมือนกัน อายุใช้งานของมัน "สั้นลง" เรื่อยๆ ตามคำแนะนำของเจ้าของร้านยาง ช่างผู้จัดการ หรือเจ้าของอู่ซ่อม หรือศูนย์บริการ ที่ล้วนมีผลประโยชน์โดยตรง ต่อการขายยางใหม่ สถานการณ์ ณ เวลานี้ก็คือ "อายุของยางไม่ควรเกิน 2 ปี" นี่เป็นคำแนะนำที่ระบาดไปทั่ว และผู้ที่รักรถ และหรือผู้มีสำนึกด้านความปลอดภัย เชื่อกันสนิทใจว่ามันเป็นความจริง
ไร้สาระครับ แต่กรณีนี้ต่างจากกำหนดเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เพราะผู้ผลิตมักไม่ได้บอกไว้ในคู่มือใช้รถ...โปรดอ่านต่อในฉบับหน้า
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2566
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/460368