ประกันภัย
ระวังประกันภัยขี้โกง
ทุกวันนี้การแข่งขันทางการค้าและการตลาดสูงในทุกสินค้าทุกกิจการ เราจะเห็นการต่อสู้ฟาดฟันกันในสงครามธุรกิจการค้าโดยต่างฝ่ายต่างใช้กลยุทธ์ชั้นเชิงทางการค้าที่แปลกใหม่หวังจะถล่มคู่แข่งและผูกมัดใจลูกค้าให้ได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นด้านราคาที่ถูกกว่าสินค้าแบรนด์ต่างประเทศเน้นความมีชื่อเสียง รูปลักษณ์หีบห่อ และสีสันที่สวยจับใจ จัดโพรโมชันลดแลกแจกแถมจัดทำสโลแกนที่ประทับใจกลุ่มลูกค้า เช่นกลุ่มวัยรุ่นหรือกลุ่มผู้หญิงจัดหาสถาบันมารับรองมาตรฐานคุณภาพสินค้าหรือการผลิตเช่น ISO 9000 มุงขายสินค้าบริการที่เน้นความรวดเร็วมากกว่า
แล้วแต่จะสรรหามาโฆษณาชวนเชื่อเพื่อมัดใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย สินค้าหลายชนิดก็โฆษณาเกินจริงและถูกสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ลงโทษปรับและให้งดโฆษณาตามกฎหมาย แต่ก็มีอีกหลายสินค้าที่ยังคงลอยนวล หลุดรอดสายตา สคบ. ไปได้เนื่องจากมีเทคนิคในการโฆษณาสูง หรือ สคบ. เห็นว่าเป็นหน้าที่ของหน่วยงานเฉพาะที่จะเข้าไปดูแลตามกฎหมาย เช่น สินค้าจำพวกยาอาหารเสริมก็จะมีคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) คอยควมคุม หรือ พวกของประกันภัยประกันชีวิตก็มีกรมการประกันภัยกระทรวงพานิชย์คอยควบคุมดูแล เป็นต้น
สำหรับบริษัทประกันภัย ประกันชีวิต ไม่ค่อยจะมีข่าวว่าโฆษณาเกินจริงเพราะไม่มีใครเข้าไปดูแล และไม่มีใครรู้จริงเรื่องประกันภัย ประกันชีวิต เท่ากรมการประกันภัยกระทรวงพานิชย์มีหลายคนเคยโทรศัพท์ไปหารือกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคถึงเรื่องบริษัทประกันภัยที่โฆษณาชวนเชื่อว่าบริษัทของตนบริการดีรวดเร็วกว่าบริษัทอื่นๆ เช่น ไปถึงที่เกิดเหตุภายใน 25 นาที จ่ายค่าสินไหมภายใน 24 ชั่วโมง มีรถให้ใช้ระหว่างซ่อม และอื่นๆ อีกมากมาย แต่เอาเข้าจริงกลับไม่ได้เป็นดังโฆษณา จะทำอย่างไรดี
คำตอบที่ได้รับก็คือ เรื่องนี้ต้องไปร้องเรียนที่กรมการประกันภัยกระทรวงพานิชย์ เพราะกรมการประกันภัยกระทรวงพานิชย์เป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคจะเข้าไปก้าวกายไม่ได้ มีบางท่านได้บอกว่าเคยไปร้องเรียนกับกรมการประกันภัย แต่ไม่เห็นจะช่วยอะไรได้เลย
แถมยังแนะนำว่าเรื่องนี้ให้ไปฟ้องศาลเอา...ว่าไปนั้น ตกลงที่พึ่งของประชาชนคือต้องฟ้องศาลเท่านั้นหรือ
ฝ่ายรับประกันภัยก็พูดไปถึงเงื่อนไขในการรับประกันต้องเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ แต่โดยสรุปก็ไม่มีอะไรเป็นปัญหารับประกันได้ทุกเรื่อง ซึ่งก็สอดคล้องกับฝ่ายการตลาดที่ต้องทำยอดขายให้ได้ตามเป้าหมายที่บริษัทตั้งหวังไว้
พอมาถึงฝ่ายสินไหมทดแทนที่มีหน้าที่ให้บริการเคลม และจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ลูกค้าและผู้เสียหาย ซึ่งเป็นฝ่ายที่จะทำให้บริษัทมีกำไรหรือขาดทุน เพราะเป็นฝ่ายที่จะต้องให้บริษัทจ่ายเงินจำนวนมากหรือน้อย และก็เป็นฝ่ายที่ทำให้บริษัทเรียกร้องเงินได้มากหรือน้อยด้วยเช่นกัน ดังนั้นฝ่ายนี้จึงมีบรรดาหัวหมอตีความเงื่อนไขเข้าข้างตนเองให้เป็นประโยชน์ต่อบริษัท คุณสมบัติพิเศษคือต้องช่ำชองในการเจรจาต่อรองพูดผิดให้เป็นถูก พูดถูกให้เป็นผิดได้อย่างน่าเชื่อถือเพื่อรักษาผลประโยชน์ให้กับบริษัทและบ่อยครั้งก็มีเอี่ยวในผลประโยชน์ส่วนตัวด้วย
ดังนั้นในฝ่ายสินไหมทดแทนนี้ก็จะประกอบไปด้วยนักกฎหมายที่ยึดถือกำหนดกฏเกณฑ์และเงื่อนไขเป็นตัวตั้ง ถ้าลูกค้าเป็นฝ่ายผิดเงื่อนไขตามที่ตนตีความบริษัทก็จะได้ปฏิเสธอย่างไม่ต้องเกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม ถ้าคู่กรณีเป็นฝ่ายผิดก็จะได้จัดการฟ้องร้องตามกฎหมาย จะสังเกตเห็นว่าพนักงานเคลมของทุกบริษัทประกันภัย ส่วนใหญ่ต้องจบการศึกษาสาขาวิชากฎหมายโดยตรง หรือมิฉะนั้นต้องมีวิชาที่เรียนเกี่ยวกับกฎหมายบริษัทจึงจะรับพิจารณาเข้ามาเป็นฝ่ายเคลม
ที่พูดมาข้างต้นหลายคนคงเห็นเป็นสัจจธรรม หลายคนได้พบประสบด้วยกับตนเอง กับญาติพี่น้อง กับเพื่อนฝูง หรือคนรู้จัก ในขณะที่อีกหลายคนอาจเพียงแค่ได้ยินคนเขาพูดเขาเล่าให้ฟัง หรือแค่ข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ ดังนั้นการพูดข้างต้นมิได้เกินความจริงหรือมองโลกในแง่ร้ายหรืออคติแต่ประการใด และเป็นการพูดเพื่อให้เห็นภาพความจริงบางส่วนเท่านั้น ในความเป็นจริงของธุรกิจประกันภัยยังมีอะไรอีกมากที่ซ่อนเร้นไม่โปร่งใสตรงไปตรงมา ซึ่งขัดต่อหลักการประกันภัยในประการแรกคือหลักความสุจริตใจอย่างยิ่ง ทั้งนี้หลักการข้อแรกของการประกันภัยต้องสุจริตอย่างยิ่งทำอย่างตรงไปตรงมาและมีความโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้เพื่อให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจกันทั้งสองฝ่าย
ต่อไปนี้ส่วนหนึ่งเป็นตัวอย่างพฤติกรรมที่บริษัทประกันภัยเอาเปรียบผู้เอาประกันและผู้เสียหายมีให้เห็นทุกวัน
1. ขายกรมธรรม์ประกันภัย เบี้ยประกันราคาถูก คุ้มครองต่ำ แต่ไม่แจ้งให้ผู้เอาประกันหรือประชาชนทราบว่าไม่คุ้มครองอะไรบ้าง โดยผู้เอาประกันภัยหลงเชื่อหรือเข้าใจผิดว่ามีความคุ้มครองเพราะไม่มีความรู้เข้าใจว่ากรมธรรม์ทุกฉบับคงคุ้มครองเหมือนกัน เช่น ขายกรมธรรม์ประเภท 3 เพียง 2,000 บาท กรมธรรม์ประเภท 1 เพียง 9,000 บาท แถมประกันภัยตาม พรบ. ฟรี แต่คุ้มครองคนภายนอกเพียงไม่เกินคนละ 100,000 บาท ไม่มีคุ้มครองอุบัติเหตุคนในรถไม่มีคุ้มครองคดีอาญาผู้ขับขี่พอเกิดขึ้นผู้เอาประกันภัยเรียกใช้บริการจึงได้รับทราบจากบริษัทว่าไม่คุ้มครองส่วนนั้นส่วนนี้ ส่วนที่คุ้มครองก็เพียงเท่านั้นเท่านี้
ผู้ขับขี่หลายคนต้องติดคุกเพราะไม่มีเงินประกันตัวออกมา หลายคนต้องไปกู้หนี้ยืมสินญาติพี่น้องเพื่อจะเอาเงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าซ่อมรถ และค่าสินไหมอื่นให้ผู้เสียหายที่ถูกรถของตนชน เพราะประกันภัยจ่ายให้เพียงน้อยนิดไม่เพียงพอ หลายคนต้องสูญเสียบุคคลในครอบครัวไปจากอุบัติเหตุรถยนต์โดยไม่ได้รับค่าสินไหมทดแทน หรือได้ก็เพียงแค่ค่าปลงศพเพียง 15,000 บาท เพราะกรมธรรม์ไม่ได้คุ้มครองส่วนเพิ่ม อันนี้เป็นบทของผู้ซื้อกรมธรรม์ประกันภัยที่เน้นราคาถูกโดยไม่คำนึงถึงคุณภาพ
2. ขายกรมธรรม์ประกันภัยที่เบี้ยประกันราคาแพงโดยบอกว่าคุ้มครองสูง แต่พอเกิดอุบัติเหตุจริงกลับจ่ายค่าสินไหมเพียงเล็กน้อยด้วยเล่ห์กลที่ตนเองถนัด ไม่ว่าจะเป็นค่าซ่อมต่ำอู่ซ่อมไม่มีคุณภาพ ค่าอะไหล่ก็ให้อะไหล่เทียมราคาถูกคนบาดเจ็บก็ไม่สำรองจ่ายค่ารักษาต้องให้ผู้เอาประกันภัยหรือผู้เสียหายสำรองจ่ายเองพอจะไปเบิกคืนก็ยึกยักเรียกเอกสารโน้นเอกสารนี้ไปติดต่อ 4-5 ครั้งยังไม่สามารถเบิกเงินคืนได้ บางเรื่องกินเวลาไป 4-5 เดือนจึงจะได้เงิน ในกรณีที่ผู้เสียหายเรียกค่าเสียหายค่าชดเชย 2-3 แสนบาทเพราะเสียหายมาต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นแสนบาท บริษัทบอกจ่ายค่าชดเชยให้ 50
วันหลังจากออกโรงพยาบาลโดยคิดให้วันละ 200 บาท เป็นเงิน 10,000 บาท ส่วนที่เหลือหากต้องการเรียกร้องเพิ่มให้ผู้เอาประกันภัยช่วยจ่าย ถ้าผู้เอาประกันไม่ช่วยจ่ายก็ให้ผู้เสียหายฟ้องคดีอาญาผู้ขับขี่ ถ้าศาลพิพากษาให้จ่ายเท่าไรบริษัทก็จะจ่ายเท่านั้นหากไม่เกินวงเงินที่คุ้มครอง โดยเอาคดีอาญามาบีบให้ผู้เอาประกันเป็นผู้ช่วยจ่ายทั้งที่ผู้เอาประกันก็จ่ายเบี้ยประกันในราคาที่สูงอยู่แล้ว และวงเงินที่คุ้มครองชีวิตบาดเจ็บบุคคลภายนอกก็สูงถึงคนละ 1- 2 ล้านบาท แต่พอถูกเรียกร้องจะจ่ายจริงเพียง 1-2 แสนบาทเท่านั้น นี่ก็เป็นอีกบทเรียนสำหรับคนที่คิดว่าบริษัทที่ขายของแพงคุ้มครองสูงจะต้องดีกว่า ความเป็นจริงมันอาจไม่ดีกว่าอย่างที่คิดก็ได้มีให้เห็นทุกวัน
3. รถเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนถังขยะ แผงกัน ประตู เสา รั้ว ฟุตบาท ก้อนหิน กิ่งไม้ เป็นรอยขูดข่วนเสียหาย พอแจ้งทำเคลมพนักงานเคลมหัวหมอตีความว่าเป็นการเกิดเหตุแบบไม่มีคู่กรณีผู้เอาประกันต้องจ่ายค่าความเสียส่วนแรกแผลละ 2,000 บาท ถ้ากรณีมีแผลรอบคันจากเหตุดังกล่าวผู้เอาประกันภัยต้องออกค่าซ่อมเองครึ่งหนึ่งของค่าเสียหายทั้งหมด ทั้งที่ความจริงไม่มีเงื่อนไขดังกล่าวในกรมธรรม์เลยและผู้เอาประกันก็ไม่ต้องจ่ายในส่วนนั้น เว้นแต่เป็นการเกิดอุบัติเหตุโดยถูกรถคันอื่นเฉี่ยวชนแล้วหนีโดยไม่สามารถแจ้งคู่กรณีได้จึงเรียกว่าเกิดเหตุไม่มีคู่กรณี ซึ่งผู้เอาประกันต้องออกค่าความเสียหายส่วนแรก 2,000 บาทในการเกิดเหตุครั้งนั้น เช่น จอดไว้ไม่รู้ใครชน หรือถูกมอเตอร์ไซค์ชนแล้วหนี เป็นต้น
นี่เป็นเพียงบางตัวอย่างที่ผู้เอาประกันภัยและผู้เสียหายถูกเอาเปรียบเท่านั้นยังมีกรณีที่น่าสนใจอีกมากมายที่จะได้นำมาพูดคุยกันในโอกาสต่อไป
แต่ถ้าจะถามว่าแล้วจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างไร นอกจากจะไปพึ่งกรมการประกันภัยกระทรวงพานิชย์ในแต่ละกรณีแล้ว ผู้เอาประกันภัยและประชาชนผู้เสียหายจะต้องต่อสู้ให้ได้รับความเป็นธรรมต้องไม่ยอมให้บริษัทประกันภัยเอาเปรียบอย่างหน้าด้านๆ ชนิดไม่มียางอายซึ่งนับวันยิ่งมีให้เห็นกันจนเป็นวัฒนธรรมประกันภัยไปแล้ว
ที่สำคัญคือไม่ควรเลือกทำประกันกับบริษัทที่มีพฤติกรรมดังกล่าว ไม่ว่าทุกวันมันจะโฆษณาชวนเชื่อด้วยวิธีการใดจะเอาอะไรมาล่อก็ตาม เพราะมันไม่มีความจริงใจให้กับประชาชน มันกำลังดูถูกประชาชน อย่ายอมให้มันหลอกลวงอีกต่อไปเลยนะครับ
เรื่องโดย : กฤชกมล นิติธรรมโกศล
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : ประกันภัย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51454