เมืองที่ถูกจัดว่าอยู่ในระดับมหานครแต่ละเมือง มักจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากบ้างน้อยบ้าง กรุงเทพฯ ของเราก็มีเอกลักษณ์หลายอย่าง ซึ่งเราก็รู้ๆ กันอยู่ บางอย่างก็เหมือนมหานครบางเมือง บางอย่างก็ไม่มีใครเหมือนเลย แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่เป็นความแปลกประหลาดไม่เหมือนใครในด้านลบ และผมไม่เคยเห็นมหานครไหนในโลกนี้มี ถ้าไม่นับเมืองเล็กๆ ในบางประเทศที่แย่ นั่นก็คือ การมีถนน ONE-WAY อยู่มากมาย โดยไม่ต้องมีป้ายบอกใดๆ ทั้งสิ้น มันคือ สิ่งที่ยืนยันว่า พลเมืองของประเทศนี้ มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์เพื่อเอาตัวรอดได้ดีเพียงใด แต่นี่ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นสิ่งที่ดี และผู้อื่น หรือเมืองอื่น ควรเอาเยี่ยงอย่างนะครับ ที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องที่แย่มาก และอันตรายมากด้วย
สงสัยไหมครับว่า ถ้ามันอันตรายจริงอย่างที่ผมว่า ทำไมจึงไม่ค่อยมีอุบัติเหตุ เพราะสาเหตุนี้ให้เห็นกันบ่อยนัก คำตอบก็คือ เพราะคนไทยเราขับรถกันแบบห่วย ชุ่ย และไร้ระเบียบวินัยนั่นเองครับ เมื่อพลเมืองบนท้องถนนที่ขับรถทั้งหมด ชุ่ย ไร้ระเบียบวินัย แล้วยังเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวสุดๆ ทุกคนก็เลยต้องพัฒนาทักษะแบบพิเศษขึ้นมา เพื่อรับมือกับสถานการณ์อันเลวร้ายดังกล่าวนี้ นั่นก็คือ การเตรียมใจ เตรียมพร้อม โดยสำนึกอยู่ตลอดเวลา ว่าคนขับรถทุกคนที่อยู่ใกล้เคียง หรือเกี่ยวข้องกับเรานั้น พร้อมที่จะทำผิดกฎจราจร ขับแบบผิดหลักวิธีทางเทคนิค ชุ่ย ประมาท ได้ตลอดเวลา ทุกคนพร้อมที่จะเผชิญกับสถานการณ์แบบนี้ คนที่ทำผิดก็เลยได้ใจ หรือไม่ก็ผลัดกันทำผิดในแบบ “ทีใครทีมัน” อุบัติเหตุแบบหนักถึงชีวิต จากการขับรถสวนทางบนถนน ONE-WAY จึงไม่ค่อยเกิดขึ้น ซึ่งไม่ได้หมายความว่ามันค่อนข้างปลอดภัย และควรปล่อยให้มันเป็นเช่นนี้ต่อไปนะครับ
อันตรายถึงชีวิตยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอ ยกตัวอย่างเช่น คุณขับรถมาถึงสามแยกหนึ่ง ถนนที่ขวางหน้าคุณเป็นถนน ONE-WAY ให้รถแล่นจากซ้ายมือของคุณไปในทิศขวามือ และแน่นอนว่า ไม่มีป้าย หรือเครื่องหมายใดทั้งสิ้น ที่บอกว่าถนนที่ขวางหน้าคุณอยู่เป็นถนน ONE-WAY มีอยู่ทั่วไปครับ ทั่วกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่บางเมืองของประเทศไทย ถ้าคุณไม่เคยใช้ถนนนี้มาก่อนเลย และต้องการเลี้ยวซ้าย สิ่งที่คุณทำก็คือ ลดความเร็วของรถจนหยุดสนิท โดยไม่ให้ด้านหน้าของรถยื่นเข้าไปในเขตถนนที่ขวางหน้าอยู่ แล้วมองทางด้านขวาว่ามีรถแล่นมาหรือไม่ ถ้าไม่มีรถแล่นมา หรือมีแต่อยู่ในระยะไกลมาก คุณสามารถเลี้ยวซ้ายได้ทัน โดยไม่ทำให้รถคันนั้นต้องเบรค คุณก็คงเลี้ยวซ้ายไปด้วยความมั่นใจ เพราะปฏิบัติถูกต้องทุกอย่าง อะไรจะเกิดขึ้นครับ ถ้ามีรถแล่นมาจากทางด้านซ้ายทั้ง 2 เลน หรือเลนเดียว แต่เป็นเลนที่คุณกำลังเลี้ยวเข้าไปโดยไม่ทราบว่ามันเป็นถนน ONE-WAY
ลองดูตัวอย่างที่ 2 ซึ่งมีให้เห็นทั่วไปในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่เหมือนตัวอย่างแรกครับ คุณขับรถมาบนถนนสายหลัก และจะเลี้ยวซ้ายเข้าถนนหนึ่ง ซึ่งคุณไม่เคยใช้มาก่อน และเป็นถนน ONE-WAY สำหรับให้รถแล่นสวนออกมาสู่ถนนสายหลักที่คุณกำลังใช้อยู่ คุณไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากลดความเร็ว จนเหมาะสำหรับการเลี้ยวซ้ายเข้าถนนนี้ คุณปฏิบัติถูกต้องทุกอย่าง เพื่อเลี้ยวเข้าไปชน หรือเกือบชนแล้วถูกด่าโดยรถที่กำลังขับสวนออกมาในเลนเดียวกับที่คุณกำลังเลี้ยวเข้าไป มีความเป็นไปได้พอๆ กัน ว่าตรงปากทางไม่มีป้ายบอกเลยว่าเป็นถนน ONE-WAY หรืออาจมี แต่ตั้งไว้ตรงมุมพอดี เป็นป้ายแดงคาดแถบขาว ที่คุณไม่มีวันได้เห็น นอกจากเกิดอุบัติเหตุแล้ว หรือเบรคทัน และถูกด่าว่าโง่เง่าเรียบร้อยไปแล้ว เพราะไอ้ปัญญาอ่อนมันปักป้ายหันหน้าไปในแนวเดียวกับซอยที่คุณเลี้ยวเข้าไป สิ่งที่คุณเห็นก่อนเลี้ยวซ้าย คือ เสากับขอบของแผ่นป้ายบางเฉียบแค่ 1 มม. เท่านั้น หรือไม่คุณก็ไม่เห็นเลย เพราะป้ายถูกตั้งไว้ในถนนที่คุณจะเลี้ยวเข้าไป ได้เวลาที่ผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ของกรุงเทพฯ และทุกจังหวัดที่มีถนน ONE-WAY จะจัดการให้ถูกต้อง และปลอดภัยแล้วครับ ผมอยากลองถามความเห็นเรื่องนี้จากผู้ใช้รถจำนวนมากพอสมควร มีคำตอบที่เกือบจะเหมือนกันหมด ซึ่งก็คือ “อย่าไปหวังอะไรจากข้าราชการไทยเลย ถ้าจะให้มีการตื่นตัวเรื่องนี้ ก็คงต้องรอให้ไอ้พวกลูกนักการเมืองมันถูกชนตายบนถนน ONE-WAY เสียก่อน”
ถ้าท่านผู้อ่าน เป็นคนที่มีความละเอียด และช่างสังเกต จะพบว่าในช่วงเวลานี้ มักจะมีการแสดงความเห็นเปรียบเทียบ ระหว่างรถที่ใช้เครื่องยนต์กับรถไฟฟ้า ผ่านทางสื่อสังคม ซึ่งเนื้อหาสำคัญก็คือ รถไฟฟ้าที่กำลังเป็นที่นิยมเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดนั้น ที่จริงแล้วก็ไม่ได้น่าใช้กว่ารถที่ใช้เครื่องยนต์สักเท่าไรหรอก บางรายถึงขั้นตะแบงว่า รถที่ใช้เครื่องยนต์ล้วน ยังน่าซื้อมาใช้ยิ่งกว่าเสียด้วย อย่าไปหลงเชื่อครับ มนุษย์ไร้จรรยาบรรณพวกนี้ มันรับจ้างมาบิดเบือน (มีอยู่ทั่วโลกนะครับ ไม่ใช่เฉพาะในประเทศของเรา) ให้ผู้บริโภคเกิดความสับสน เดากันเอาเองนะครับ ว่าใครบ้างที่น่าจะเป็นผู้จ้าง บางรายมันกำเริบเสิบสาน ถึงขั้นหลอกลวงว่า อีกไม่กี่ปี รถที่ใช้เครื่องยนต์จะกลับมีข้อได้เปรียบมากกว่า และน่าใช้กว่ารถไฟฟ้าอีกด้วย
ถ้ายอมเชื่อพวกมัน ก็คงต้องเชื่อคำพูดของผมด้วยนะครับ ถ้าผมบอกว่า “อีกไม่กี่ปี รับรองว่า บรรดาเป็ด และไก่ จะบินได้เร็วกว่า และสูงกว่านกทั้งหลาย” เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเข้าใจผิด ผมขอยืนยันอีกครั้ง เหมือนเช่นในฉบับก่อนๆ ว่าผมเห็นใจบรรดาผู้ผลิต หรือประกอบรถใช้เครื่องยนต์ รวมทั้งเหล่าผู้ผลิตชิ้นส่วนสำหรับรถประเภทนี้ ที่ต้องปรับตัวกันด้วยความยากลำบาก แต่เราก็ต้องยอมรับว่า คลื่นลูกแรกย่อมถูกคลื่นลูกหลังกลบ เป็นธรรมดาครับ
บทความแนะนำ