เปรียบเทียบยอดจำหน่ายรถยนต์ประจำเดือนพฤศจิกายน 2024/2023
ตลาดโดยรวม -31.3 %
รถยนต์นั่ง -26.7 %
รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) -38.2 %
กระบะ 1 ตัน -34.7 %
รถเพื่อการพาณิชย์ -21.1 %
เปรียบเทียบยอดจำหน่ายรถยนต์ประจำเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2024/2023
ตลาดโดยรวม -26.7 %
รถยนต์นั่ง -23.6 %
รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) -1.6 %
กระบะ 1 ตัน -39.8 %
รถเพื่อการพาณิชย์ -11.8 %
ปีนี้เป็นปีที่หลายคนมองว่า ตลาดรถยนต์ไทยที่ตกต่ำมาโดยตลอดจะเริ่มเงยหน้าขึ้นเสียที จากอานิสงส์ของแคมเปญ และรถใหม่ๆ ที่ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อภายในงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41” เมื่อปลายปีที่แล้ว ยอดจองรถยนต์ใหม่นั้นถล่มทลายไปกว่า 5 หมื่นคัน มองแบบนี้ก็ต้องบอกว่าปี 2567 ที่ผ่านไป เศรษฐกิจไทยเราทรุดตัวลงถึงจุดต่ำสุดแล้ว
มารอพิสูจน์กันว่า ยอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ไตรมาสแรก ปี 2568 จะอยู่ในแดนบวกได้ไหม และตัวเลขเฉลี่ยทั้งปีนั้นสามารถเติบโตได้อีกครั้งหรือไม่ หากยอดขายกลับมาเติบโตก็เป็นข่าวดีว่าเราได้ผ่านจุดเลวร้ายที่สุดนั้นไปแล้ว ลองคิดในแง่บวก ผมมีความหวังเล็กๆ ว่าเราสามารถฟื้นตัวขึ้นได้ แม้จะฟื้นแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะหากวงการรถยนต์มีเรื่องหนักๆ ให้เผชิญอีก คราวนี้เราจะเอาตัวกันไม่รอด สถานการณ์ที่ผ่านมา ที่เห็นว่าหนักๆ เป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลร้ายต่อวงการยานยนต์ อะไรที่ไม่เคยเกิดในวงการยานยนต์โลก และยานยนต์ไทย มันเกิดไปหมดแล้ว
โดยเหตุการณ์ที่ว่าระดับโลก อาทิ กลุ่มรถยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกกำลังจะถือกำเนิดขึ้น เพราะการรวมกันของ HONDA (ฮอนดา) NISSAN (นิสสัน) และ MITSUBISHI (มิตซูบิชิ) ส่วนในบ้านเราก็มีเหตุการณ์โรงงานประกอบรถยนต์ 2 แห่งปิดพร้อมกัน ซัพพลายเออร์คนไทยเลิกจ้างพนักงานนับพันคน โรงงานใหม่เกิดขึ้นยังไม่ทันเดินเครื่องก็ปิดตายไว้แบบนั้น เหตุการณ์เลิกจ้างของโรงงานใหม่ที่เดินสายการผลิตได้ไม่ถึง 6 เดือน ก็ปลดคนลดการผลิตไม่รวมการสูญพันธุ์แบบเงียบๆ ของบรรดาเหล่ารถ LCGC หรือรถยนต์ราคาถูก และรักษาสิ่งแวดล้อม (LOW COST GREEN CARS: LCGC) ซึ่งเคยได้รับการสนับสนุนจากรัฐมาตั้งแต่ปี 2556 หมดชุดนี้ก็จะไม่มีชุดใหม่แล้ว
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค ที่ไทยคนหันไปใช้รถไฟฟ้า BEV จำนวนมาก เพราะรู้สึกคุ้มค่ากว่าการใช้รถเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) คุ้มค่าเพราะค่าใช้จ่ายการใช้งานน้อยกว่ารถน้ำมัน แถมตอนซื้อ ยังมีส่วนลดเงินสดจากรัฐบาลที่จัดพโรโมชันให้ได้จุใจ คนซื้อของเราพากันทิ้งบรรดารถโลกเก่าไว้เบื้องหลัง
สำหรับผมเชื่อว่า รถไฟฟ้านั้นมาทดแทนรถยนต์สันดาปภายในแน่ๆ แต่จะยั่งยืนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีในอนาคต คือ รถ ICE ที่ใช้เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนเป็นพลังงานกับรถไฟฟ้าที่พยายามพัฒนาแบทเตอรีโซลิดสเตท หากไฮโดรเจนสามารถผลิต และจำหน่ายในวงกว้างได้คนยอมรับ ตลาดก็จะเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง แต่เป็นการเปลี่ยนแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่ DISRUPTION เหมือนช่วงที่ผ่านมา เพราะคุณภาพของแบทเตอรียุคใหม่ จะสามารถสร้างระยะทางวิ่งไกลต่อการชาร์จได้มากกว่า จึงยังคงมีแรงดึงดูดใจให้คนผู้ซื้อได้อีกมาก ส่วนรถลูกผสม หรือว่ารถไฮบริดน่าจะเป็นรอยต่อระยะสั้นๆ ของการเปลี่ยนถ่าย แม้ไฮบริดจะพัฒนาระยะวิ่งด้วยไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นก็ตาม
ปี 2568 เราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เมื่อยังมีโรงงานประกอบรถยนต์ใหม่ๆ เริ่มเดินสายการผลิตตามแผนลงทุนที่ประกาศไว้ ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ กำลังจะเข้าสู่ตลาด เพิ่มความหลากหลายให้แก่ผู้บริโภค ขณะที่กำลังการผลิตของโรงงานเดิมก็ยังไม่ได้ถูกใช้อย่างเต็มที่ “กำลังการผลิตที่ล้นตลาดกว่าเดิม” เป็นความท้าทายที่ผู้ผลิตต้องเผชิญ แต่ผลดี คือ ตลาดรถยนต์กลายเป็น “ตลาดของผู้ซื้อ” อย่างแท้จริง การแข่งขันในด้านราคาที่รุนแรงในช่วง 15-16 เดือนที่ผ่านมา ได้ปรับลดเพดานราคารถยนต์ลง ผู้บริโภคจึงสามารถจับจองรถยนต์ที่มีคุณภาพในราคาที่คุ้มค่ากว่าที่เคย
ตลาดรถยนต์ไทยในวันนี้กำลังก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงที่เชื่อมโยงกับตลาดโลกอย่างชัดเจน ไม่ใช่แค่ในด้านเทคโนโลยี และผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย แต่รวมถึงพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคที่เปิดรับตัวเลือกใหม่ๆ และให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า ความยั่งยืน และนวัตกรรม ในช่วงเวลาจากนี้ไป ภาวะตลาดโลกจะส่งผลโดยตรงต่อตลาดไทย ไม่ว่าจะเป็นความผันผวนของเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี หรือแม้แต่แนวโน้มด้านสิ่งแวดล้อม ตลาดรถยนต์ไทยจะปรับตัวตามทิศทางเหล่านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สำหรับผู้ผลิตที่สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาจะสามารถก้าวต่อไปได้ ในขณะที่ผู้ผลิตที่ไม่สามารถแข่งขันได้ อาจต้องลาจากตลาดไป ท้ายที่สุด ผู้บริโภคยังคงเป็นผู้ได้เปรียบในยุคที่ “สงครามราคา” ดำเนินต่อไป และอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยก็ยังคงเดินหน้าสู่อนาคตที่เชื่อมโยงกับตลาดโลกอย่างเต็มตัว