ชีวิตอิสระ
ตะลุย “กลอเซโล” กับ JAECOO 6 EV (AWD)
2-3 ปีมานี้ “กลอเซโล” ถูกพูดถึงกันหนาหู ในหมู่นักท่องเที่ยวสายธรรมชาติ ด้วยความสวยงามอลังการของทะเลหมอก และความลำบากของเส้นทางที่เข้าถึง จึงเป็นหนึ่งใน BUCKET LIST ของใครหลายคนที่ต้องไปสัมผัสให้ได้สักครั้งในชีวิต “ชีวิตอิสระ” ฉบับนี้ จะพาไปรู้จัก “กลอเซโล” พร้อมพิสูจน์สมรรถนะรถไฟฟ้าสายลุย JAECOO 6 EV
มุ่งสู่สบเมย กับ JAECOO 6 EV
ครั้งนี้เราตั้งใจเดินทางด้วยรถไฟฟ้า JAECOO 6 EV (เจคู 6 อีวี) เพื่อพิสูจน์สมรรถนะระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ว่าสามารถผ่านเส้นทางโหดได้แค่ไหน เราเลือกเส้นทางที่มีจุดชาร์จ และวางแผนการชาร์จทุกๆ 200 กม. เฉลี่ยรอบละ 30 นาที แบบไม่เร่งรีบ ตามเส้นทางกรุงเทพฯ นครสวรรค์ ผ่านตาก และเลี้ยวซ้ายที่ อ. เถิน (ลำปาง) อ. ฮอด (เชียงใหม่) และเข้าสู่ อ. แม่สะเรียง และสบเมย จ. แม่ฮ่องสอน ระยะทางประมาณ 750 กม.
JAECOO 6 EV เป็นรถไฟฟ้าล้วน 100 % ที่มีมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้กำลังรวม 279 แรงม้า แรงบิด 46.1 กก.ม. มีโหมดลุย 5 โหมดให้เลือกใช้ตามสถานการณ์ ด้วยความที่มีฐานล้อกว้าง และตัวรถสั้น ทำให้ผ่านเส้นทางคดโค้ง และลาดชัน ได้อย่างง่ายดาย ในทางฝุ่นที่ไม่ราบเรียบแบบนี้ ช่วงล่างสามารถเก็บอาการสะท้านได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ แต่สิ่งที่ทำให้เรากังวลบ้าง คือ แบทเตอรีลิเธียม-ไอออนขนาด 69.77 กิโลวัตต์ชั่วโมง ที่ให้ระยะทางวิ่งเพียง 364 กม. เท่านั้น ตามมาตรฐาน WLTP เราจึงต้องวางแผนอย่างรัดกุม
“กลอเซโล” จุดชมทะเลหมอก สุดไวรัล
เมื่อ 10 กว่าปีก่อน “กลอเซโล” เป็นเพียงเรื่องเล่ากันปากต่อปาก ในกลุ่มผู้ชื่นชอบขับรถเที่ยวธรรมชาติ ทั้ง 2 ล้อ และ 4 ล้อ ถึงความอลังการของทะเลหมอกยามเช้า และวิวแม่น้ำสาละวินที่สวยงามจากมุมสูง จนมีคนตามมาเที่ยว และได้นำภาพพร้อมบรรยายถึงความสวยงาม ไปเผยแพร่ในโลกโซเชียล และได้ส่งต่อกันเรื่อยมาจนกลายเป็นไวรัลจนถึงทุกวันนี้
คำว่า “กลอเซโล” มาจากชื่อของลุง “กลอเซ” ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกที่อยู่อาศัยเป็นคนแรก โดย “กลอเซโล” ในภาษาปกาเกอะญอ แปลว่า ดินแดนแห่งต้นไม้ หรือเมืองต้นไม้ ซึ่งสอดคล้องกับลักษณะพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์
ปัจจุบัน “กลอเซโล” เป็นชื่อหมู่บ้านใน ต. แม่สามแลบ อ. สบเมย จ. แม่ฮ่องสอน มีลักษณะเป็นหมู่บ้านตามไหล่เขาแนวตะเข็บชายแดน ผู้อยู่อาศัยเป็นชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ และกะเหรี่ยง ประกอบอาชีพเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตร และทำไร่หมุนเวียน ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่บนเขาสูง รวมถึงอยู่ติดขอบชายแดนไทย-เมียนมาร์ จึงทำให้เมื่อมองลงมาจากหมู่บ้าน จะเห็นแม่น้ำสาละวินเป็นเส้นแบ่งเขตแดน ไม่ว่ามองมุมไหนก็สวยงาม จึงทำให้หมู่บ้านนี้มีวิวที่สวยงามเกือบทั้งหมู่บ้าน จะนั่งชมดาว และทางช้างเผือกก็ได้ หรือจะชมพระอาทิตย์ตกก็สวย แต่ไฮไลท์สุดอลังการต้องยกให้ทะเลหมอกยามเช้าที่มักจะหนาเป็นพิเศษ ใครได้เห็นต้องร้อง WOW จนได้ฉายา “กลอเซโล ทะเลหมอก 2 แผ่นดิน”
เที่ยว “กลอเซโล” ช่วงไหนดีที่สุด
ใครมาเที่ยวกลอเซโล ล้วนต้องคาดหวังได้เห็นทะเลหมอกสุดปังอลังการ ซึ่งเรื่องนี้คนในพื้นที่การันตีให้ได้ว่าจะได้เห็นเกือบทุกวัน แต่จะเห็นแบบบางๆ หรือปังๆ อลังการนั้น ต้องขึ้นอยู่กับช่วงเวลา โดยช่วงเวลาที่เห็นทะเลหมอกได้อลังการหนาฟูมากที่สุด จะอยู่ในช่วงเดือน “พฤศจิกายน-กุมภาพันธ์” ของทุกปี
“กลอเซโล” สามารถชมความสวยงามของวิวได้ทั้งวันทั้งคืน ตั้งแต่ตื่นมายามเช้าก็เจอกับทะเลหมอก ตอนกลางวันชมวิวเทือกเขา และแม่น้ำสาละวิน ตกเย็นชมพระอาทิตย์ตกลับฟ้าผ่านกำแพงภูเขาฝั่งเมียนมาร์ ตกดึกก็นั่งนับดาว และทางช้างเผือก ที่กระจายกันเต็มท้องฟ้า
สรุปว่า “กลอเซโล” สามารถมาเที่ยวได้ทุกฤดู แต่ช่วงหน้าหนาวทะเลหมอกจะสวยที่สุด อลังการที่สุด โดยสามารถชมวิวได้หลากอารมณ์ในที่เดียว ทั้งกลางวัน และกลางคืน และเป็นความสวยงามแบบเป็นจริงเป็นจังด้วย ใครมาต้องอุทานคำว่า “สวย” ได้ไม่รู้จบ
ขึ้น “กลอเซโล” แนะนำรถขับเคลื่อน 4 ล้อ
การเดินทางไป “กลอเซโล” แนะนำเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่มีความสูงระดับหนึ่ง หรือรถมอเตอร์ไซค์ที่มีเกียร์เท่านั้น (มอเตอร์ไซค์เกียร์อัตโนมัติไม่แนะนำ) และยังต้องอาศัยความชำนาญในการขับในพื้นที่ทุรกันดารพอสมควร เพราะเส้นทางส่วนใหญ่ยังเป็นพื้นที่ธรรมชาติแบบดิบๆ และมีความยากง่ายเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล
หากมาหน้าแล้ง และหน้าหนาวแบบผม ถนนส่วนใหญ่จะเต็มไปด้วยฝุ่นหนาๆ โดยมีหลุมสลับฝุ่นไปตลอดทาง มีทางลาดชันแบบโหดๆ เป็นระยะๆ รวมถึงต้องวิ่งข้ามน้ำในบางช่วง ฤดูที่โหดที่สุด คือ ฤดูฝน จากฝุ่นหนาๆ จะกลายเป็นดินเหนียวหนังหมู และร่องลึก การเดินทางช่วงนี้ต้องใช้รถขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบพร้อมรบเท่านั้น ไม่แนะนำรถเก๋ง หรือรถกระบะขับเคลื่อน 2 ล้อ เพราะเราต้องใช้ทางร่วมกับชาวบ้าน หากรถเกิดขวางมีปัญหาชาวบ้านจะเดือดร้อนไปด้วย ที่สำคัญเวลาขับรถสวนกับชาวบ้าน หรืออยู่ในเขตบ้านคน ควรชะลอความเร็ว เพราะฝุ่นจากถนนจะฟุ้งกระจายไปทำความเดือดร้อนผู้อื่นได้ หากใครรถไม่พร้อม แนะนำให้ติดต่อคนในพื้นที่เพื่อเช่ารถขึ้นไปจะดีที่สุด
ในพื้นที่กลอเซโล ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ แนะนำให้ศึกษาเส้นทางมาก่อนอย่างละเอียด โดยให้ขึ้นเส้นทาง 18 และลงเส้นทาง 22 จะสะดวก และง่ายที่สุด
“กลอเซโล” ต้องนอนเทนท์เท่านั้น
สำหรับใครอยากดื่มด่ำบรรยากาศกลอเซโลให้คุ้มค่า แนะนำให้นอนค้างสักคืนสองคืน แต่บนกลอเซโลไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ (ปัจจุบันมี WI-FI ขายคนละ 40 บาท 24 ชม.) มีเพียงม่อนให้กางเทนท์ ใครที่คิดจะค้างคืน ต้องเตรียมอุปกรณ์เครื่องนอน และอุปกรณ์ทำอาหารไปเองจะดีที่สุด
ซึ่งปัจจุบันมีลานกางเทนท์ หรือม่อน เกิดขึ้นกว่า 20 ม่อน กระจายไปรอบๆ หมู่บ้าน ตั้งแต่จุดชมวิวโรงเรียนบ้านกลอเซโล, ม่อนหมอกกลางดอย, ม่อนขุนกลอเซโล, ม่อนเดียวดาย, ม่อนบ้านบุญเลอ ฯลฯ หรือใครไม่สะดวกนำเทนท์ไป ก็สามารถติดต่อกับที่พักเพื่อเช่าเทนท์พร้อมเครื่องนอนได้ในราคา 350 บาท/หลัง ค่ากางเทนท์คนละ 120 บาท/คน มีห้องน้ำ ห้องอาบน้ำให้ใช้ รวมถึงบางม่อนก็มีอาหารเครื่องดื่มไว้บริการอีกด้วย
และระหว่างขึ้นไปกลอเซโล มักมีเด็กๆ มากมายตลอดสองข้างทาง เราสามารถนำขนมไปแจกน้องๆ ได้ ซึ่งเมื่อให้ขนมน้องแล้ว น้องจะพูดขอบคุณเราว่า ขอบคุณครับ/ค่ะ เป็นภาษาไทย เป็นสีสันความน่ารักระหว่างทาง
ขับลุยลำน้ำ เที่ยวบ้านแม่สามแลบ
ระหว่างทางกลับ ผมขอแวะเที่ยวบ้านแม่สามแลบอีกสักหน่อย เพราะเป็นหมู่บ้านที่อยู่ติดกับแม่น้ำสาละวิน ซึ่งรถสามารถเข้าถึงได้ง่ายที่สุด แต่ครั้งนี้ไม่โชคดีเหมือนเคย เพราะถนนเข้าหมู่บ้านที่เคยลาดยางกำลังปรับปรุง จึงต้องใช้เส้นทางธรรมชาติวิ่งเข้าหมู่บ้าน ด้วยการขับรถลงไปวิ่งในคลองลำน้ำ ผ่านร่องน้ำสลับไปมา จนไปขึ้นฝั่งอีกทีที่บ้านแม่สามแลบ บอกเลยว่าทางสวยมาก และไม่นึกว่ารถไฟฟ้าจะพาเราไปถึงได้ ต้องยกความดีให้กับ JAECOO 6 EV ที่พาเราไปถึงได้แบบง่ายดาย
บ้านแม่สามแลบ เป็นเหมือนด่านชายแดนการค้า เพราะมีท่าเรือขนสินค้าระหว่างไทย-เมียนมาร์ บนแม่น้ำสาละวิน นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวสามารถล่องเรือเที่ยวชมความงามของแม่น้ำสาละวินได้ โดยแบ่งเป็น 2 เส้นทาง คือ ล่องใต้จากบ้านแม่สามแลบ-สบเมย เพื่อชมแม่น้ำสองสี หรือจะขึ้นเหนือจากบ้านแม่สามแลบ-บ้านท่าตาฝั่ง ไปดูโรงพักเก่าบ้านท่าตาฝั่ง โดยทั้ง 2 เส้นทางใช้เวลาไป-กลับประมาณ 2 ชม.
นอกจากนี้ ยังสามารถชมความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่ ซึ่งมีทั้งชาวไทย ชาวไทยใหญ่ และชาวกะเหรี่ยง ที่อาศัยอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข แม้จะนับถือคนละศาสนาก็ตาม การสร้างบ้านลอยตามภูเขาที่ดูไกลๆ เหมือนลอยอยู่บนอากาศ ดูสวยงาม และแปลกตาดีทีเดียว
แผนที่
ที่กิน
ได้มา “กลอเซโล” ที่อากาศเย็นสบาย และวิวสวยทั้งที “หมูกระทะ” ร้อนๆ เป็นเมนูที่เหมาะสมที่สุด เพราะนอกจากซดน้ำร้อนๆ ได้แล้ว ยังมีหมูหมักนุ่มๆ กับน้ำจิ้มรสเด็ดให้กินด้วย ผมสั่ง “หมูกระทะชุดใหญ่” ที่ม่อนกลางดอยมารับประทาน มีหมู ไก่ กุ้ง ปลาหมึก และลูกชิ้น ความอร่อยอยู่น้ำจิ้มสูตรเฉพาะ ที่เอาอะไรจิ้มก็อร่อย
ที่นอน
หากมาเที่ยวกลอเซโล การค้างแรมที่นี่มีเพียงตัวเลือกเดียว คือ “นอนเทนท์” ผมเลือกพักที่ “ม่อนกลางดอย” เนื่องจากเป็นพื้นที่โล่ง สามารถมองเห็นแม่น้ำสาละวินได้ชัดเจน จะชมพระอาทิตย์ตกก็สวยงาม โดยมีค่ากางเทนท์คนละ 120 บาทเท่านั้น มีห้องน้ำแบบชักโครก และห้องอาบน้ำไว้บริการอย่างดี รวมถึงมีร้านขายของชำไว้บริการอาหาร และเครื่องดื่มพร้อม
ขอขอบคุณ
บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด ที่เอื้อเฟื้อยานพาหนะในการเดินทาง