เปรียบเทียบยอดจำหน่ายรถยนต์ประจำเดือนเมษายน 2025/2024
ตลาดโดยรวม +1.0 %
รถยนต์นั่ง +3.6 %
รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) +27.5 %
กระบะ 1 ตัน -21.4 %
รถเพื่อการพาณิชย์ +44.3 %
เปรียบเทียบยอดจำหน่ายรถยนต์ประจำเดือนมกราคม-เมษายน 2025/2024
ตลาดโดยรวม -4.8 %
รถยนต์นั่ง -8.1 %
รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) +6.5 %
กระบะ 1 ตัน -14.0 %
รถเพื่อการพาณิชย์ +38.7 %
การเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์จีน ทำให้ค่ายรถยนต์หลายบแรนด์ก้าวไปถึงดวงดาว ทั้งหมดเป็นผลมาจากนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนา และส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า จีนตัดสินใจที่ทุ่มทุนกับรถไฟฟ้าตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ แม้เราทราบมาก่อนแล้วว่ารถไฟฟ้านั้น หลายประเทศเคยทำมาแล้ว เพียงแต่จีนให้ความสำคัญมากกว่า และในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ
หากย้อนหลังไป 25 ปี รัฐบาลจีนตัดสินใจพัฒนา และส่งเสริมการใช้รถไฟฟ้า เริ่มในช่วงต้นทศวรรษ 2000 และได้กำหนดนโยบายจริงในปี 2009 เหตุผลหนึ่งที่กล่าวอ้างไว้ คือ ความจำเป็นด้านสิ่งแวดล้อม
รถไฟฟ้าเป็นหนึ่งในนโยบายที่สำคัญที่สุด ซึ่งไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกเท่านั้น แต่ยังสร้างแรงผลักดันให้แก่การขนส่งที่ยั่งยืนอีกด้วย
“การพัฒนายานยนต์พลังงานใหม่ ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเปลี่ยนแปลงของจีน จากประเทศผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ไปสู่ประเทศผู้ผลิตรถยนต์ที่ทรงพลัง เราควรเพิ่มการวิจัย และพัฒนา วิเคราะห์ตลาดอย่างจริงจัง ปรับนโยบายที่มีอยู่ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างมาก” นี่คือ สิ่งที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวเมื่อเดือนพฤษภาคม 2014 ขณะเยี่ยมชมโรงงานผลิตรถไฟฟ้าในเซี่ยงไฮ้
จีนเป็นตลาดรถไฟฟ้าใหญ่ที่สุดในโลก และกลายเป็นผู้ส่งออกรถไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดอีกด้วย ผู้ผลิตรถยนต์ของจีนได้เริ่มแข่งขันกับบแรนด์ดังๆ เช่น VOLKSWAGEN GROUP (โฟล์คสวาเกน กรุพ), GM (จีเอม), HONDA (ฮอนดา), FORD (ฟอร์ด), PORSCHE (โพร์เช) และอื่นๆ รถจีนกลายเป็นภัยคุกคามต่อความเป็นผู้นำของค่ายรถยนต์ทั่วโลก
ปัจจุบัน BYD (บีวายดี) กลายเป็นผู้ผลิตรถไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดแซงหน้า TESLA (เทสลา) ที่มีชื่อเสียงในด้านยอดขาย นอกเหนือจาก BYD แล้ว ผู้เล่นเก่าแก่อย่าง GEELY (จีลี), CHERY (เชอรี) และ SAIC (เอสเอไอซี) ที่มีความสำคัญในอุตสาหกรรมรถไฟฟ้า ตามด้วยสตาร์ทอัพยุคใหม่ เช่น XIAOMI (เสี่ยวมี่), XPENG (เสี่ยวเผิง), LI AUTO (ลี ออโท) และอื่นๆ อีกมากมาย
หันกลับมามองที่ไทยซึ่งมีญี่ปุ่นปลูกรากฐานไว้ แต่ด้วยภาวะตลาด และปัจจัยทางนโยบายหลายๆ อย่าง ญี่ปุ่นรู้ตัวว่าต้องถอน และปรับตัวล่วงหน้าอย่างน้อย 3 ปี ทยอยลดคน ลดกำลังการผลิต ส่วนที่ประกาศปิดโรงงานไปตามข่าวล่าสุด นั่นคือ กระบวนการสุดท้ายของการลดบทบาททั้งในไทย และในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์โลก ซึ่งเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ภาครัฐเรายังตาไม่เห็นธรรมอยู่ดี
คนงานที่เคยอยู่ในสายงานผลิตญี่ปุ่นต้องตกงาน หรือเกษียณก่อนกำหนด จากที่เคยหวังจะได้งานในโรงงานใหม่ แต่ต้องผิดหวัง โรงงานของจีนพอรู้ว่ามาจากฝั่งญี่ปุ่นเขาก็ให้รับค่าจ้างถูกๆ อ้างว่าจีนขายรถราคาถูก จ้างแพงไม่ได้ จริงๆ แล้วโรงงานใหม่เหล่านี้ พยายามใช้คนของตัวเอง ตามกฎหมายเปิดช่องไว้
ส่วนคนไทยได้แต่ร้องขอความเมตตาเท่านั้น รัฐบาลภูมิใจในการเปลี่ยนผ่าน “ฆ่าคนงานในสายยานยนต์” พอไม่มีงานทำ ขาดรายได้ เวียนมากระทบเศรษฐกิจ สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป คือ เมื่อใดที่ตลาดฟื้นตัวขึ้น ความต้องการสูง ญี่ปุ่นก็จะไม่เพิ่มการผลิต แต่หันไปนำเข้ารถแทน เหตุผล คือ ภายใต้พื้นฐานภาษีทุกวันนี้ ญี่ปุ่นเสียเปรียบ หากไม่ต้องการแบกภาษีก็อย่าผลิตในประเทศไทย คนงานไม่ต้องจ้างเพิ่ม ไม่เป็นภาระต้องดูแล
วันนี้ยานยนต์ไทยไปข้างหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ลำบาก เพราะคิดทีหลัง แต่เจอทางตันก่อนเพื่อน