วิถีตลาดรถยนต์
รอดไปอีกเดือน
เปรียบเทียบยอดจำหน่ายรถยนต์ประจำเดือนพฤษภาคม 2025/2024
ตลาดโดยรวม +4.7 %
รถยนต์นั่ง +17.4 %
รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) +7.3 %
กระบะ 1 ตัน -18.8 %
รถเพื่อการพาณิชย์ +58.0 %
เปรียบเทียบยอดจำหน่ายรถยนต์ประจำเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2025/2024
ตลาดโดยรวม -3.0 %
รถยนต์นั่ง -3.4 %
รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) +6.6 %
กระบะ 1 ตัน -14.9 %
รถเพื่อการพาณิชย์ +42.7 %
จะว่าไปส่วนหนึ่งก็เป็นอานิสงส์ผลบุญที่สืบทอดมาจากการจัดงานบางกอกอินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ ในช่วงปลายเดือนมีนาคม-ต้นเดือนเมษายน ที่ผ่านมา ทำให้ตัวเลขยอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่เดือนพฤษภาคม 2568 ยังคงเป็นตัวเลขยอดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้น เป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน ถึงแม้ว่าภาพรวมของเศรษฐกิจในประเทศ ยังคงกระท่อนกระแท่นไม่เหมือนดังคำพูดคำปราศรัยของท่านผู้นำ ที่ว่าคนไทยมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ไปด้วยกัน ว่ากันว่าบางคน หรือหลายๆ คนถึงจะมีกิน มีใช้ ไม่ขัดสนเดือดร้อนด้านการเงิน ก็ยังไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เลือกที่จะรัดเข็มขัดเก็บเงินเก็บทองไว้ใช้ในยามจำเป็น ขณะที่ทางด้านของอุตสาหกรรมยานยนต์ในบ้านเรา ปัจจุบันกองทัพรถยนต์จากเมืองจีน เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ทั้งเรื่องราคาจำหน่าย ความหลากหลายของตัวเลือกในการใช้งาน ก็เริ่มมีข่าวคราวไม่สู้ดีของรถยนต์บางยี่ห้อ ที่อาจจะล้มหายตายจากไป เพราะปัญหาด้านการเงิน ซึ่งแน่นอนว่า กระทบกับผู้ใช้รถยนต์ยี่ห้อนั้นอยู่ในปัจจุบัน และที่กำลังตัดสินใจเลือกคบหาดูใจกันในเรื่องของการบริการหลังการขายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องตามดูกันต่อไปว่า จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้
สำหรับตัวเลขยอดจำหน่ายรถใหม่ป้ายแดง เดือนพฤษภาคม 2568 ปิดยอดขายที่ 52,229 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 อยู่ 2,358 คัน หรือเพิ่มขึ้น 4.7 % พี่ใหญ่ค่าย TOYOTA (โตโยตา) ยังคงครองแชมพ์อันดับ 1 เช่นเคย จำหน่ายได้ 19,201 คัน ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2567 เล็กน้อย โดยลดลง 303 คัน หรือ 1.6 % ส่วนแบ่งการตลาดเดือนนี้ถือครองอยู่ 36.8 % อันดับ 2 ค่าย ISUZU (อีซูซุ) จำหน่ายได้ 5,976 คัน ลดลง 1,907 คัน หรือ 24.2 % ส่วนแบ่งการตลาด 11.4 % อันดับ 3 HONDA (ฮอนดา) มียอดจำหน่าย 5,481 คัน ลดลง 1,046 คัน หรือ 16.0 % ส่วนแบ่งการตลาด 10.5 % อันดับ 4 BYD (บีวายดี) มียอดจำหน่าย 4,339 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ถึง 2,381 คัน หรือเพิ่มขึ้นถึง 121.6 % ส่วนแบ่งการตลาด 8.3 % และอันดับ 5 MG (เอมจี) จำหน่ายได้ 2,217 คัน เพิ่มขึ้น 874 คัน หรือเพิ่มขึ้น 65.1 % ส่วนแบ่งการตลาด 4.2 %
5 เดือนแรกของปีผ่านไป รถใหม่ป้ายแดงจำหน่ายออกไปแล้วรวมทั้งสิ้น 252,615 คัน ลดลงจากช่วงระยะเวลาเดียวกันของปี 2567 ไม่มากเท่าไร ลดลง 7,750 คัน หรือลดลง 3.0 % ยังพอมีลุ้นที่จะพลิกฟื้นกลับมาเป็นบวก หากไตรมาสสุดท้ายของปี สภาพเศรษฐกิจจะคล่องตัวมากขึ้น จำหน่ายได้มากที่สุดเป็นพี่ใหญ่ ค่าย TOYOTA เหมือนเดิม และน่าจะเป็นรถยนต์ยี่ห้อเดียวที่จำหน่ายทะลุหลักแสนคันในปีนี้ โดย TOYOTA จำหน่ายแล้วรวม 94,784 คัน ลดลง 2,952 คัน หรือ 3.0 % ส่วนแบ่งการตลาด 37.5 % อันดับ 2 ISUZU 31,881 คัน ขาดหายไป 7,302 คัน หรือ 18.6 % ส่วนแบ่งการตลาด 12.6 % อันดับ 3 HONDA 30,206 คัน ลดลง 7,168 คัน หรือ 19.2 % ส่วนแบ่งการตลาด 12.0 % อันดับ 4 BYD 20,877 คัน เพิ่มขึ้น 7,975 คัน หรือเพิ่มขึ้น 61.8 % ส่วนแบ่งการตลาด 8.3 % และอันดับ 5 MITSUBISHI (มิตซูบิชิ) 11,028 คัน ลดลง 1,159 คัน หรือลดลง 9.5 % ส่วนแบ่งการตลาด 4.4 %
ส่วนตลาดรถพิคอัพ 1 ตัน ยังเป็นเรื่องยากที่จะพลิกฟื้นกลับมา มีตัวเลขยอดจำหน่ายที่สร้างรอยยิ้มให้แก่เหล่าพนักงานขายได้เต็มใบหน้าเหมือนสมัยก่อน เดือนพฤษภาคม 2568 มีตัวเลขยอดจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 14,333 คัน ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2567 จำนวน 3,318 คัน หรือ 18.8 % อันดับ 1 เป็นพิคอัพ TOYOTA ดังเช่นเดือนที่ผ่านๆ มา เดือนนี้จำหน่ายได้ 6,852 คัน ลดลง 1,003 คัน หรือ 12.8 % ส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 47.8 % อันดับ 2 ISUZU จำหน่ายได้ 5,149 คัน ลดลง 1,724 คัน หรือ 25.1 % ส่วนแบ่งการตลาด 35.9 % อันดับ 3 FORD (ฟอร์ด) จำหน่ายได้ 1,445 คัน ลดลง 254 คัน หรือ 14.9 % ส่วนแบ่งการตลาด 10.1 % อันดับ 4 MITSUBISHI จำหน่ายได้ 564 คัน ขาดหายไป 231 คัน หรือ 29.1 % ส่วนแบ่งการตลาด 3.9 % และอันดับ 5 NISSAN (นิสสัน) จำหน่ายได้ 205 คัน ลดลง 74 คัน หรือ 26.5 % ส่วนแบ่งการตลาด 1.4 %
เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 มีรถพิคอัพ 1 ตัน จำหน่ายรวมทั้งสิ้น 78,091 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2567 ถึง 13,674 คัน หรือ 14.9 % รถพิคอัพที่มียอดจำหน่ายสะสมมากที่สุด เป็นรถพิคอัพค่าย TOYOTA มียอดจำหน่ายสะสมอยู่ที่ 35,331 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2567 จำนวน 6,419 คัน หรือ 15.4 % ส่วนแบ่งการตลาด 45.2 % อันดับ 2 ISUZU มียอดจำหน่ายสะสม 28,048 คัน ลดลง 6,397 คัน หรือ 18.6 % ส่วนแบ่งการตลาด 35.9 % อันดับ 3 FORD 8,001 คัน ลดลง 1,644 คัน หรือ 17.0 % ส่วนแบ่งการตลาด 10.2 % อันดับ 4 MITSUBISHI 4,970 คัน เพิ่มขึ้น 1,009 คัน หรือเพิ่มขึ้น 25.5 % ส่วนแบ่งการตลาด 6.4 % และอันดับ 5 NISSAN 902 คัน ลดลง 499 คัน หรือ 35.6 % ส่วนแบ่งการตลาด 1.2 %
สำหรับตลาดรถเอสยูวี เป็นตลาดที่รถเอสยูวีจากเมืองจีนเข้ามามีบทบาทเชิงรุกอย่างมาก เช่นเดียวกับตลาดรถยนต์นั่ง เดือนพฤษภาคม 2568 มียอดจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 11,460 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 เล็กน้อย โดยมีตัวเลขเพิ่มขึ้น 775 คัน หรือเติบโตขึ้น 7.3 % พี่ใหญ่ตลาดนี้ แชมพ์ยังเป็นของค่าย TOYOTA ยังยึดหัวหาดได้อย่างเหนียวแน่น จำหน่ายได้ 4,203 คัน ลดลงจากพฤษภาคม 2567 จำนวน 719 คัน หรือ 14.6 % ส่วนแบ่งการตลาด 36.7 % พี่รองตลาดนี้ยังคงเป็นค่าย HONDA จำหน่ายได้ 1,835 คัน ลดลง 1,082 คัน หรือ 37.1 % ส่วนแบ่งการตลาด 16.0 % อันดับ 3 ค่ายใหญ่ของจีน BYD ตามมาไม่ห่างเท่าไร จำหน่ายได้ 1,682 คัน เพิ่มขึ้น 825 คัน หรือเพิ่มขึ้น 96.3 % ส่วนแบ่งการตลาด 14.7 % อันดับ 4 GWM (กเรท วอลล์ มอเตอร์) ยักษ์ใหญ่จากเมืองจีนอีกยี่ห้อหนึ่ง จำหน่ายได้ 1,150 คัน เพิ่มขึ้น 873 คัน คิดเป็นเปอร์เซนต์เพิ่มขึ้น 315.2 % ส่วนแบ่งการตลาด 10.0 % และปิดท้ายเดือนนี้ด้วย อันดับ 5 MITSUBISHI 848 คัน เพิ่มขึ้น 832 คัน เพิ่มขึ้นถึง 5,200.0 % เลยทีเดียว
รวมยอดจำหน่าย 5 เดือนที่ผ่านมา รถเอสยูวีจำหน่ายแล้วรวมทั้งสิ้น 56,708 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 3,525 คัน เท่ากับเพิ่มขึ้น 6.6 % เบอร์ 1 ของตลาดเป็น TOYOTA มียอดจำหน่ายรวม 21,060 คัน ลดลง 3,196 คัน หรือ 13.2 % ส่วนแบ่งการตลาด 37.1 % และ HONDA 13,664 คัน ลดลง 2,460 คัน หรือ 15.3 % ส่วนแบ่งการตลาด 24.1 % จำหน่ายได้มากสุดอันดับ 3-5 เป็นรถจากประเทศจีนทั้งสิ้น โดยอันดับ 3 เป็นของ BYD จำหน่ายรวม 11,255 คัน เพิ่มขึ้น 8,109 คัน หรือเพิ่มขึ้น 257.8 % ส่วนแบ่งการตลาด 19.8 % อันดับ 4 CHANGAN (ฉางอัน) 2,654 คัน เพิ่มขึ้น 541 คัน หรือ 25.6 % ส่วนแบ่งการตลาด 4.7 % และอันดับ 5 GWM 2,186 คัน เพิ่มขึ้น 159 คัน หรือ 7.8 % ส่วนแบ่งการตลาด 3.9 %
และรถเพื่อการพาณิชย์อื่นๆ เดือนพฤษภาคม 2568 จำหน่ายได้รวมกัน 4,501 คัน เพิ่มขึ้น 1,652 คัน หรือเพิ่มขึ้นถึง 58.0 % เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 จำหน่ายแล้วรวม 19,730 คัน เพิ่มขึ้น 5,902 คัน หรือเพิ่มขึ้น 42.7 % เดือนพฤษภาคม 2568 มีการจดทะเบียนรถพิคอัพ และรถเอสยูวี รวมทั้งสิ้น 32,450 คัน ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2567 จำนวน 861 คัน หรือ 2.6 %