สงครามที่ผมกำลังพูดถึง คือ สงครามราคาในตลาดรถบ้านเรา ไม่ใช่สงครามของสองตระกูลต่างสัญชาติ ที่ทำให้ประชาชนแนวชายแดนบาดเจ็บล้มตายเดือดร้อนไปทั่ว
เรื่องสงครามราคานี้ แม้ไม่ใช่คนที่ติดตามความเคลื่อนไหวในตลาดรถ ก็คงทราบดีว่า กลุ่มที่เริ่มก่อการ ก็คือบรรดาค่ายรถจากประเทศจีนนั่นเอง
เมื่อหลายปีก่อน อุตสาหกรรมรถยนต์จีนเลือกกระโดดข้ามเทคโนโลยีเครื่องยนต์สันดาปภายใน หันไปพัฒนาเทคโนโลยีรถไฟฟ้าอย่างเต็มกำลัง ภายใต้การสนับสนุนจากภาครัฐจีนที่อัดฉีดทั้งเงินทุน และมาตรการเอื้อประโยชน์ต่างๆ ทำให้เกิดค่ายรถใหม่หลายร้อยแห่งภายในระยะเวลาอันสั้น กระทั่งปริมาณการผลิตสูงล้นเกินความต้องการภายในประเทศ จึงต้องหาทางส่งออก โดยเล็งเป้าหมายมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะไม่มีมาตรการกีดกันการค้า เหมือนตลาดยุโรป และสหรัฐอเมริกา
การแห่เข้าสู่ตลาดไทยของรถบแรนด์จีน เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากรัฐบาลไทยให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ทั้งลดภาษี และอุดหนุนเงิน ทำให้ต้นทุนการนำเข้าต่ำลง จนถึงวันที่เกิดการแข่งขันรุนแรงทั้งในจีน และไทย สงครามราคาที่ปะทุขึ้นในจีน ก็เลยลุกลามมาถึงบ้านเรา โดยแต่ละค่ายต่างก็ใช้ส่วนลดที่ได้รับจากรัฐมาเป็นอาวุธห้ำหั่นกัน
แน่นอนว่า การที่ผู้ขายหั่นราคารถจากหลักแสนปลาย เหลือเพียงหลักแสนกลางเพียงชั่วข้ามคืน ในระยะสั้นย่อมส่งผลดีต่อผู้บริโภคอย่างชัดเจน (ไม่นับพวกซื้อก่อนเท่ก่อน)
อย่างไรก็ตาม ผลเสียหายของสงครามราคาก็ตามติดมาอย่างรวดเร็ว ค่ายรถรายเล็กที่ไม่สามารถแข่งขันราคาได้ ต้องยุติกิจการ หรือลดบทบาท ขณะที่ยอดขายรวมในตลาดรถยนต์ไทยเมื่อปีที่ผ่านมา หดตัวลงกว่า 25 % สะท้อนว่าตลาดเข้าสู่ภาวะชะงักงัน ซึ่งหนึ่งในสาเหตุหลักก็มาจากการที่ผู้บริโภคจำนวนมากชะลอการตัดสินใจ เพราะไม่มั่นใจว่าซื้อรุ่นไหนถึงจะไม่โดนเพื่อนหัวเราะเยาะเอาทีหลัง
สิ่งที่น่ากังวล คือ เมื่อถึงเวลาที่ผู้รับการสนับสนุนต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข เช่น ลงทุนสร้างโรงงานประกอบในประเทศ ฯลฯ หากรัฐบาลไม่สามารถกำกับดูแลเรื่องนี้ได้อย่างจริงจัง และเป็นธรรม โครงสร้างการแข่งขันที่ไม่สมดุลก็อาจกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าความปั่นป่วนของราคา
สัญญาณเตือนชัดเจน คือ ค่ายรถจีนที่มาเปิดตลาดในไทยบางรายออกอาการร่อแร่ สร้างความวิตกกังวลให้ผู้บริโภค ทั้งเรื่องบริการหลังการขาย และการบำรุงรักษา ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่รัฐไม่สามารถควบคุม หรือให้หลักประกันใดๆ แก่ผู้บริโภคได้เลย
ทั้งหมดนี้ ทำให้ผู้บริโภคจำเป็นต้องใส่ใจศึกษาหาข้อมูลมากขึ้น ไม่ใช่ดูแค่ราคา หรือพโรโมชัน แต่ควรพิจารณาความมั่นคงของบแรนด์ และแผนระยะยาวของผู้ผลิตประกอบด้วย เพราะรถยนต์ไม่ใช่สินค้าใช้แล้วทิ้ง แต่คือการลงทุนที่มีภาระต่อเนื่องยาวนานหลายปี
เอาเป็นว่า ในช่วงที่สถานการณ์ยังผันผวน ผมแนะนำให้รอจังหวะไปซื้อรถในงาน MOTOR EXPO ปลายปีนี้ดีกว่า เพราะมีสินค้าหลากหลายค่ายให้เปรียบเทียบอย่างรอบด้าน
ส่วนฝ่ายรัฐบาล เมื่อเสร็จศึกสองตระกูล ก็ช่วยมาหย่าศึกในตลาดรถด้วย เพราะตอนนี้ผลของสงครามราคาเริ่มกระทบต่อโครงสร้างตลาด รวมถึงเสถียรภาพของอุตสาหกรรมภายในแล้ว หากปล่อยให้สงครามยืดเยื้อต่อไป ประโยชน์ระยะสั้นของผู้บริโภคในวันนี้ อาจกลายเป็นความเสียหายมหาศาลของประเทศในอนาคตก็เป็นได้