ก่อนจะเปิดศึกกับ UNCLE รัฐบาลไทยอยู่ระหว่างการพิจารณานโยบาย “เก่าแลกใหม่“ โดยจะให้เจ้าของรถกระบะเก่านำมาแลกซื้อรถใหม่เพื่อรับสิทธิประโยชน์ด้านภาษี หรือเงินอุดหนุน หมายจะกระตุ้นยอดขายรถกระบะใหม่ และลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากรถอายุ 20-25 ปีขึ้นไป ที่ยังใช้งานอยู่
แนวคิดนี้คล้ายกับโครงการ “รถคันแรก” เมื่อสิบปีก่อน ต่างกันตรงบริบท และรูปแบบการสนับสนุน โดยคราวนี้เน้นเฉพาะกลุ่มรถกระบะ ซึ่งเป็นกลุ่มหลักในตลาดรถเชิงพาณิชย์ที่กำลังซบเซา
ยอดขายรถกระบะในช่วงครึ่งปี 2568 โดยเฉพาะรุ่นตอนเดียว ลดลงกว่า 20 % เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนถึงแรงซื้อที่หดตัวในกลุ่มผู้มีรายได้ไม่มั่นคง เช่น แรงงานนอกระบบ เกษตรกร และผู้ประกอบการรายย่อย
ความเข้มงวดของสถาบันการเงิน ราคาน้ำมัน และความไม่แน่นอนของรายได้ ทำให้ผู้ใช้กลุ่มนี้ไม่สามารถซื้อรถใหม่ได้ง่าย รัฐจึงเสนอแนวทางแลกเปลี่ยนรถเก่ากับสิทธิประโยชน์ในการซื้อรถใหม่ เพื่อเร่งการตัดสินใจ และทำให้เกิดการหมุนเวียนของรถในตลาด
อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์จากโครงการ “รถคันแรก” ในอดีตนั้นเป็นบทเรียนที่จะมองข้าม หรือทำเป็นลืม ไม่ได้เป็นอันขาด
โครงการรถคันแรก แม้จะช่วยสร้างยอดขายถล่มทลายในระยะสั้น แต่ได้ก่อให้เกิด “ดีมานด์เทียม” จำนวนมาก ซึ่งหมายถึงความต้องการซื้อที่ถูกกระตุ้นจากสิ่งจูงใจชั่วคราว ทำให้ตัดสินใจควักกระเป๋าโดยไม่มีความสามารถในการซื้ออย่างแท้จริง ดังนั้น เมื่อโครงการสิ้นสุด ความต้องการปลอมๆ หายไป ตลาดจึงหดตัวลงอย่างรุนแรง
ที่ร้ายกว่านั้น คือ ปัญหาหนี้เสียที่ตามมา เพราะผู้ซื้อขาดความพร้อมในการผ่อนระยะยาว ทำให้รัฐต้องแบกรับภาระงบประมาณชดเชยภาษีกว่า 9 หมื่นล้านบาท จนกลายเป็นโครงการที่ถูกสวดยับว่า ได้ไม่คุ้มเสีย และสร้างความปั่นป่วนให้ตลาดรถมากที่สุด
ส่วนโครงการเก่าแลกใหม่ครั้งนี้ แม้ดูเหมือนมีเป้าหมายแคบกว่า แต่ก็มีความเสี่ยงคล้ายกัน หากไม่ได้กำหนดเงื่อนไขให้สอดคล้องกับศักยภาพของผู้ซื้อ หรือเน้นเร่งยอดขาย โดยไม่พิจารณาโครงสร้างรายได้ของกลุ่มเป้าหมาย ก็อาจสร้างดีมานด์เทียมรอบใหม่ ซึ่งส่งผลเสียระยะยาวต่อตลาดรถ ภาระหนี้ครัวเรือน และระบบเศรษฐกิจ
พูดก็พูดเถอะ ลำพังศึกเหนือเสือใต้ที่มะรุมมะตุ้มอยู่ตอนนี้ รัฐบาลก็แทบจะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว จะหาเรื่องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายให้ประเทศเพิ่มขึ้นอีกทำไม
หยุดทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่
และหยุดทำเรื่องใหญ่เป็นเรื่อง “เละ“ เสียทีดีไหม ?
ผมเชื่อว่า เศรษฐกิจฟื้นตัวเมื่อไหร่ ตลาดรถก็ฟื้นตัวเมื่อนั้น โดยที่รัฐไม่ต้องวุ่นวายอะไรเป็นพิเศษ
ไม่ต้องห่วงว่า คนจะซื้อรถใหม่ไม่ได้ เพราะมีเงินเมื่อไหร่ เขาก็ซื้อได้เอง
ไม่ต้องห่วงว่า คนจะขายรถไม่ได้ เพราะเศรษฐกิจดีเมื่อไหร่ รถจะขายได้เอง
เข้าใจยากตรงไหน !