พิเศษ
คาราวาน ไฮลักซ์ วีโก (ตอนจบ)
จากตอนที่แล้ว เราพักที่ไบยี่ เมืองที่กำลังได้รับการยกระดับเป็นเมืองไอที ในโรงแรมฟูเจี่ยนระดับ 4 ดาว นับเป็นคืนที่แสนสบาย หลังจากต้องเจอกับโรงแรมที่ไม่มีน้ำหรือไฟมาหลายวันบางคนรวมทั้งผมถือโอกาสนอนแช่น้ำอุ่น หรือไม่ก็ผ่อนคลายโดยใช้บริการนวดจากพนักงานสาวสวยที่ประจำในโรงแรม ซึ่งราคาไม่แพงนัก แต่การนวดก็เทียบไม่ได้กับในบ้านเราเลยแม้แต่น้อยดูแล้วเหมือนเอานิ้วมาสัมผัสร่างกายให้คันเล่นเสียมากกว่า
วันที่เจ็ด
ไบยี่-เซตัง 403 กม. 12 ชั่วโมง
ทุกคนตื่นเช้าด้วยความกระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง ก่อนออกเดินทาง ฟังบรรยายสรุปเส้นทางวันนี้ระยะทาง 403 กิโลเมตร เส้นทางธรรมชาติขรุขระตลอด ใช้เวลาเดินทางประมาณ 12 ชั่วโมงเป็นเส้นทางสายล่างของทิเบต วิ่งตามหุบเขาลัดเลาะไปตามแม่น้ำพรหมบุตรของอินเดียทำให้ทุกคนกังวลใจไม่น้อย เพราะหากมีอุปสรรคใดๆ ขึ้นมาระหว่างการเดินทาง เราอาจเสียเวลาไปอีกหลายชั่วโมง จนต้องค้างแรมกันระหว่างทาง
หลังออกจากเมืองไปได้ประมาณ 60 กิโลเมตร กิตติ นิลถนอม ผู้นำคาราวานได้รับแจ้งผ่านโทรศัพท์ว่าสภาพเส้นทางข้างหน้าที่เราจะไปถึงมีดินถล่มตลอดยาวกว่า 100 กิโลเมตรเราต้องหยุดรถ รอให้ผู้นำทางประชุมหาเส้นทางอื่นๆ ที่สามารถถึงจุดหมายปลายทางได้ผ่านไปประมาณ 15 นาที ได้ข้อสรุปกันว่า วันนี้ต้องเดินทางเข้าสู่ถนนสายหลัก ซึ่งเป็นเส้นทางสู่นครลาซา เมืองหลวงของทิเบต เป็นเส้นทางธรรมชาติ ถนนเรียบสะดวกสบายแม้จะเจอโค้งเยอะแต่ก็ไม่อันตรายเท่ากับเส้นทางที่ผ่านมา ระยะทางกลับเข้าสู่นครลาซาในวันนี้ ประมาณ 400 กิโลเมตร
ทุกคนหายกังวล แต่ก็นึกเสียดายที่ไม่ได้พิชิตเส้นทางธรรมชาติ ลัดเลาะตะเข็บชายแดนสายล่างของเขตปกครองพิเศษทิเบตนี้ เพราะเชื่อว่าคงหาโอกาสเช่นนี้ไม่ได้อีก
จากไบยี่ไปลาซา เส้นทางสายนี้แม้เป็นถนนดีแต่เราต้องลัดเลาะผ่านเขาสูง จากระดับน้ำทะเล 4,900 เมตร ต้องเจอกับความกดอากาศสูงมาเล่นงานเราอีกเช่นเคย
บนทางหลวงหมายเลข 318 สองข้างทางเต็มไปด้วยวิวธรรมชาติสวยงาม มุ่งหน้าสู่หลังคาโลก ระหว่างการเดินทางเราแวะพักเก็บภาพสวยๆ และบรรยากาศสวยงามมาตลอดการเดินทาง ช่วงเย็นก่อนเข้าเมือง ต้องเจอกับแสงของดวงอาทิตย์ที่ส่องเข้าตาราวกับ
สปอทไลท์ดวงโต 6 โมงเย็นของที่นั่นยังมีความสว่างไสวราวกับบ่าย 3 โมงในประเทศไทยวันนี้เราเดินทางถึงโรงแรม 19.30 น. แต่พระอาทิตย์ก็ยังไม่ตกดิน
คืนนี้เป็นคืนพิเศษอีกคืนหนึ่ง นอกเหนือจากกำหนดการเดิม หลังรถบัสโรงแรมมาส่งเราที่ร้านอาหาร เพื่อให้ได้ทดลองลิ้มรสอาหารบุพเฟ่ท์ของชาวทิเบต แบบปิ้งย่างสไตล์บาร์บีคิวมีเนื้อทุกประเภท ขากลับเดินชมและเลือกซื้อสินค้าพื้นเมือง ก่อนเข้าที่พัก
วันที่แปด
ลาซา-กันเซ่
331 กม. ผ่านเขาสูงท่ามกลางอากาศหนาว
ออกเดินทางจากเมืองหลวงตั้งแต่เช้า มุ่งหน้าสู่เมืองกันเซ่ เป็นเส้นทางตัดใหม่ ที่เจาะช่องเขาเป็นอุโมงค์ยาวต่อด้วยสะพานข้ามแม่น้ำพรหมบุตร ลัดจากลาซา สู่สนามบินได้ไวขึ้น
ตอนเช้าเป็นเส้นทางราดยาง ผ่านหุบเหวและทิวเขาสูงสวยงามมาก ช่วงเช้าเรามีโอกาสสัมผัสกับบรรยากาศเย็นและลมแรงบนจุดชมวิวทะเลสาบยัมดรก บนความสูงประมาณ 4,500 เมตรจากระดับน้ำทะเล มองเห็นภาพพาโนรามา ท่ามกลางหุบเขาสลับกันมากมาย ตัดกับพื้นน้ำสีมรกต สะกดสายตาทุกคนที่ได้มาเยือน
เส้นทางนี้เป็นเส้นทางสายเก่าระหว่างเมืองเกียนเซไปยังกรุงลาซา ตั้งอยู่บนช่องเขากันบาลาอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 4,794 เมตร ริมทะเลสาบมีเมืองเล็กๆ ชื่อ นันการ์เซ ที่พอแวะพักอาศัยได้ อาหารมื้อเที่ยงรอเราอยู่ที่เมืองนี้ ซึ่งใช้เวลาไม่นานก็เดินทางถึง
หลังจากอิ่มท้อง คาราวานเริ่มออกเดินทางผ่านเขาสูง ช่วงบ่ายวันนี้เป็นวันที่มองเห็นแต่หิมะรอบข้างตลอดทางเพราะเราต้องเดินทางขึ้นที่สูงมากขึ้นเรื่อยๆ สองข้างทางเต็มไปด้วยยอดเขาสูง และหิมะ ดีที่แสงแดดร้อนจ้า ช่วยสร้างความอบอุ่นของร่างกายเราได้มาก หลังจากลัดเลาะผ่านยอดเขาสูงเรื่อยๆ เราก็มีโอกาสสัมผัสกับจุดที่สูงสุดของการเดินทางทริพนี้ ที่ประมาณ 4,990 เมตรจากระดับน้ำทะเล อาการปวดหัวแบบ ATTITUDE SICKNESS เริ่มรุมเร้าเราอีกครั้งผมและเพื่อนในรถเริ่มหน้าซีด น้ำตาซึม อาศัยออกซิเจนกระป๋องช่วย ทำให้เราได้มีโอกาสลงไปเก็บภาพสวยๆ ท่ามกลางภูเขาหิมะและอากาศหนาวเย็น พร้อมด้วย โตโยตา วีโก ที่สามารถขับขึ้นไปบนเขาสูง ได้อย่างสบาย แม้ต้องเติมคันเร่งและเปลี่ยนเกียร์ช่วย
ไม่นานนักเราต้องรีบกลับลงมาเพราะสภาพร่างกายรับกับความกดอากาศไม่ไหวแต่ก็ใช่เรื่องง่ายเพราะเส้นทางลงจากจุดนี้ เป็นเส้นทางลัดเลาะเขื่อน จากนี้ไปคาราวานไม่ได้วิ่งตามกันเป็นขบวน รถที่ทยอยลงมาก่อนหน้านี้ ต่างก็มองไม่เห็นกัน โชคดีที่เส้นทางนี้ไม่มีแยกตัดไปไหนนอกจากเหวลึกเท่านั้น
จากสภาพเส้นทางทั้งหมด จุดนี้นับเป็นจุดที่น่ากลัวและอันตรายมากที่สุดจุดหนึ่ง เพราะเป็นทางฝุ่นแคบมาก รถวิ่งสวนกันแทบไม่ได้ สภาพเส้นทางอันตราย บางช่วงถนนชำรุดบีบเข้ามาพอดีคัน แถมมีโค้งหักศอกที่โดนเขาบังจนไม่สามารถมองเห็นรถที่วิ่งสวนมาเลย มีเพียงเหวลึกอยู่ฝั่งซ้ายด้านล่างเต็มไปด้วยน้ำ ประมาณ 30 นาที เราเจอกับเพื่อนๆ ที่วิ่งลงมาก่อนและจอดรอเราอยู่ด้านล่าง กาแฟร้อนๆ ช่วยให้เราผ่อนคลายกับความเครียดในเส้นทางที่ผ่านมาได้เยอะนับเป็นอีกเส้นทางที่อันตราย ขนาดว่าเปิดแอร์เย็นๆ มือที่จับพวงมาลัยยังเต็มไปด้วยเหงื่อ
หลังจากรถทุกคันมาพร้อมกันแล้ว คาราวานก็ออกเดินทางอีกครั้งสู่เมืองกันเซ่ เส้นทางจากนี้ไปไม่ทำให้เราเครียดแล้ว มีเพียงฝุ่นหนาที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะรถที่ขับอยู่โดนหินจากล้อรถคันหน้าดีดใส่จนกระจกแตกไปสองจุด รถที่มีแรงบิดสูงขณะวิ่งตามกันไปเป็นคาราวานในทางฝุ่นแบบกรวดลอย ไม่ควรกดคันเร่งส่งออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะจะทำให้หินที่จากล้อหลังดีดใส่รถที่วิ่งตาม
5 โมงเย็น เราถึงที่พักอย่างปลอดภัย เมืองนี้อยู่ในระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 3,700 เมตร เราจึงต้องทนกับสภาพความกดอากาศในที่เปลี่ยนแปลงเหมือนเคย หลังจากอาหารมื้อเย็น ผมตัดสินใจลองยาของหมอทหารชาวจีน ซึ่งเป็นยาน้ำ บรรจุขวดขนาดเล็กมากสามารถปรับสภาพร่างกายให้ดีขึ้น ไม่ถึงชั่วโมง อาการของผมและเพื่อนร่วมทริพหลายคนก็ดีขึ้น สามารถเดินเที่ยวชมเมืองช่วงกลางคืนได้สบาย คืนนั้นทำให้เราหลับสนิทบนที่สูงโดยไม่มีอาการปวดหัวอีก ทำให้อดนึกถึงวันที่ผ่านมาไม่ได้ แม้กินยาพาราเซตามอล อาการยังไม่ดีเท่ากับยาชนิดนี้
วันที่เก้า
เกียนเซ-ซิกาเซ่
เดินทางสบาย ในแดนอารยธรรม
ช่วงเช้าเราแวะนมัสการวัดลามะเก่าแก่ที่เมืองกันเซ ก่อนออกเดินทางพร้อมกันสู่เมืองซิกาเซ่ระยะทาง 90 กิโลเมตร ซิกาเซ่เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่อันดับ 2 รองจากลาซา ในเขตปกครองพิเศษทิเบต ตั้งอยู่บนฝั่งใต้ของแม่น้ำยาหลุงซางโผ ห่างจากเมืองลาซาไปทางตะวันตก 360 กิโลเมตร เป็นเมืองที่พำนักของผู้ดำรงตำแหน่งปันเชนลามะ
หลังจากอาหารมื้อเที่ยงเราเดินทางต่อไปยังอารามต้าชิหลุนโพ (TASHILHUNPO MONASTERY) สร้างขึ้นในปี คศ. 1447 โดยศิษย์ของพระซงกัปปา และได้รับการปรับปรุง และต่อเติมในช่วงศตวรรษที่ 17 และ18 ในอดีตวัดแห่งนี้เคยมีพระจำวัดอยู่ถึง 4,000 รูปแต่ปัจจุบันเหลือประมาณ 600 รูป อาคารที่สำคัญที่สุดในอารามแห่งนี้คือ หอพระเมตไตรเป็นที่ประดิษฐานของพระศรีอริยะเมตไตร สีทองวาว สูง 26 เมตร อนุสาวรีย์ปันเชนลามะ (รองสังฆราช) องค์ที่ 4 สร้างในปี คศ. 1662 สูง 11 เมตร ตกแต่งด้วยทองคำ เงิน และแร่รัตนชาติมีค่าจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีภาพถ่ายขององค์ปันเชนลามะ องค์ที่ 9, 10, 11 ซึ่งเป็นองค์เล็ก พำนักอยู่ในปักกิ่ง อายุเพียง 17 ปี และเป็นองค์ที่เชื่อกันว่าทางการจีนแต่งตั้งขึ้นมาเพื่อคานศรัทธาขององค์ดาไลลามะ องค์ปัจจุบัน
หลังจากเที่ยวชมและศึกษาประวัติศาสตร์กันเต็มที่ เราออกเดินทางสู่ตลาดกลางเมืองซิกาเซ่เป็นตลาดใหญ่ มีสินค้าให้เลือกซื้อจำนวนมาก ส่วนใหญ่แล้วสินค้าพื้นเมืองแต่ละร้านจะคล้ายกันหมด อยู่ที่ร้านไหนต่อได้มาก/น้อยกว่ากัน หลังจากเดินชอพพิงกันเต็มที่แล้วเราก็เดินทางเข้าพักที่โรงแรมซานตง เป็นโรงแรมตั้งอยู่บนความสูงที่สุดในโลก ที่ระดับความสูง 4,400 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีอากาศเบาบาง ออกซิเจนเฉลี่ยในอากาศเพียง 65 เปอร์เซนต์วันนี้หลายคนปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศได้แล้ว บางรายกินยาปรับสภาพไว้ ทำให้ร่างกายยังดูสมบูรณ์ทุกคน นอกจากนี้ก็คิดเพียงว่า พรุ่งนี้เหลือแค่อีกวันเดียวก็จะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
ทำให้คืนนี้เป็นคืนที่ได้หลับสนิทอีกหน
วันที่สิบ
270 กม. จากซิกาเซ่
เข้าสู่นครลาซา
คาราวานออกเดินทางด้วยบรรยากาศสดชื่นแต่เช้า ทุกคนครื้นเครงเพราะเป็นวันสุดท้ายของการเดินทางด้วย โตโยตา ไฮลักซ์ วีโก ในทริพนี้ เส้นทางสบายๆ เกือบ 300 กิโลเมตรระหว่างทางแวะนมัสการรูปวาดพระศากยมุณีบนผนังหินเก่าแก่มีอายุกว่า 1,000 ปี
คาราวานมุ่งหน้าสู่พระราชวังโพทาลา จุดหมายปลายทางของทริพนี้ อาหารมื้อเที่ยงรอเราอยู่ในเมือง หลังจากอิ่มท้องทุกคนเตรียมตัวฉลองความยิ่งใหญ่ของการเดินทางทริพนี้ คาราวานล้อหมุนสู่จุดหมายปลายทาง บ่าย 3 โมง เราวิ่งผ่านหน้าพระราชวังที่ยิ่งใหญ่สวยงามไปยังบริเวณลานหน้าพระราชวัง โดยมีทางการของทิเบต รอต้อนรับเราอยู่ ทุกคนต่างออกมาโห่ร้องดีใจและเฉลิมฉลองความสำเร็จจากการเดินทางที่แสนยากลำบากครั้งนี้
วันนี้ทำให้เราอดไม่ได้ที่จะขอบคุณรถคู่ใจที่สามารถพาพวกเรามาถึงจุดหมายอย่างไร้อุปสรรคแม้เส้นทางจะยากลำบาก ทั้งที่สูงอากาศหนาว และในเส้นทางทุรกันดาร ในแบบที่ต้องลุ้นกันตลอด เราก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ด้วย ไฮลักซ์ วีโก ที่ทำให้เรารู้ถึงประสิทธิภาพของกำลังเครื่องยนต์ สมรรถนะของระบบรองรับ และระบบเบรค ที่สามารถพาพวกเราถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัยทุกคน และรถทั้งหมดนี้เป็นรถที่ใช้เดินทางจากกรุงเทพ ฯ มาสู่ลี่เจียงในปีที่แล้วด้วย ย่อมแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของรถ
ค่ำวันนี้ทุกคนมีความสุขมาก เพราะวันพรุ่งนี้เป็นวันที่ได้พักผ่อนเที่ยวชมเมือง วัดและพระราชวังเรามีโอกาสเดินชมเมืองบริเวณรอบที่พักในตอนค่ำ จากโรงแรมลาซา สามารถเดินออกไปชอพพิงสินค้าพื้นเมืองและของฝากระหว่างสองข้างทางได้ ส่วนใหญ่จะเป็นสร้อยข้อมือ สร้อยคอสีสันสวยงาม มีทั้งทำจากหินแท้ๆ และพลาสติคอัด นอกจากนี้ยังมีหินเทอร์คอยส์สวยงาม ที่ชาวทิเบตนิยมนำมาสวมใส่เป็นเครื่องประดับ บรรยากาศในค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยการค้าขายระหว่างสองข้างถนน ส่วนใหญ่คนที่มาค้าขายข้างถนนจะเป็นชาวพื้นเมืองทิเบตแท้ๆ ส่วนตามชอพใหญ่ขายเสื้อผ้าแบรนด์ชั้นนำ จะเป็นชาวจีนที่ย้ายถิ่นฐานมาทำมาหากินที่นั่น จากโรงแรมเดินไปเรื่อยๆ ประมาณ 3 กิโลเมตร ก็ถึงหน้าพระราชวังโพทาลา ยามค่ำคืนเต็มไปด้วยความเงียบสงบมีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติหยุดพักมองดูพระราชวังยามค่ำคืน เพื่อซึมซับบรรยากาศหน้าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
วันที่สิบเอ็ด
เที่ยวนครลาซา สัมผัสวัฒนธรรมเก่าแก่
วันนี้ทุกคนพร้อมที่จะซึมซับอารยธรรมของชาวทิเบตกันเต็มที่ ตั้งแต่เช้าเราออกเดินทางด้วยรถมีนีบัส 2 คัน มุ่งหน้าสู่วัดจ้อคัง ศาสนสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง เมื่อถึงบริเวณลานหน้าวัดก็พบเห็นชาวทิเบต และพระลามะมากมายเดินทางมากราบแบบอัษฎางคประดิษฐ์ อยู่หน้าวัดจำนวนมาก เสียงสวดมนต์ที่ออกมาจากปากของทุกคน "โอม-มณี-ปัทเม-ฮุม" เพิ่มบรรยากาศให้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ดูขลังขึ้นมาก ถึงแม้มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาสักการะที่วัดแห่งนี้จากทั่วทุกสารทิศ ก็ไม่ทำให้มนต์สเน่ห์ของวัดแห่งนี้จางหายไป
ชาวเมืองและนักท่องเที่ยวจะถูกปล่อยให้เข้าวัดเป็นกลุ่มๆ เพื่อไม่ให้ภายในแน่นจนเกินไปมีการควบคุมคนเข้าและออกอย่างแน่นหนา ไม่ให้มีการถ่ายภาพ หากจับได้จะถูกยึดกล้องเอาไว้ทันที บริเวณวัดแบ่งเป็นห้องต่างๆ มากมาย ภายในมีเทพองค์ต่างๆ ประจำอยู่สามารถเดินเข้าไปสักการะได้ แต่ต้องใช้เวลาอย่างรวดเร็วเพราะคนจะเดินตามกันไปเรื่อยๆ ทีละห้องกว่าจะเดินครบใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมง นอกจากนี้ข้างบนด้านนอกวัดยังเป็นจุดชมวิว สามารถมองเห็นพระราชวังโพทาลาได้
ด้านล่างบริเวณรอบๆ วัด เป็นตลาดแปดเหลี่ยมที่สร้างขึ้นรอบๆ ตัวกำแพงวัด มีลักษณะเป็นรูปแปดเหลี่ยม สองฝั่งมีเสื้อผ้าและของที่ระลึกมากมายวางขายในราคาไม่แพง
หลังจากชอพพิงกันจุใจ เรามารวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อแบ่งกลุ่มขึ้นไปชมพระราชวังโพทาลาในตอนบ่ายหลังจากอาหารเที่ยง กลุ่มแรกออกเดินทางสู่พระราชวังโพทาลา หน้าทางขึ้นเป็นทางสูงชัน จะมีเจ้าหน้าที่คอยปล่อยให้เข้าไปเป็นกลุ่มๆ ละไม่เกิน 20 คน บริเวณทางขึ้นค่อนข้างสูงชัน สำหรับคนที่แข็งแรงอาจเดินเที่ยวเดียวโดยไม่ต้องหยุดพัก แต่ถ้าไม่แข็งแรงคงต้องหยุดพักระหว่างทางกันบ่อยๆ
ตัวพระราชวังแบ่งเป็นเขตพื้นที่ชั้นนอกและชั้นในชัดเจน มีเจ้าหน้าที่คอยควบคุม โดยเฉพาะการถ่ายรูปนั้นให้ถ่ายได้เฉพาะเขตพื้นที่ชั้นนอก ส่วนพื้นที่ชั้นในจะมีกล้องวีดีโอที่ติดตั้งไว้คอยตรวจเชคอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ควรเสี่ยงเข้าไปถ่ายภาพในพื้นที่ชั้นใน ซึ่งมีแบบจำลองของดินแดนสวรรค์เอาไว้มากมายตามตำนาน และที่สำคัญยังเป็นที่เก็บพระอัฐิขององค์ดาไลลามะ หลายๆ พระองค์ในห้องต่างๆ ถูกแบ่งออกเป็นที่ประทับขององค์ดาไลลามะแต่ละพระองค์ มีพระพุทธรูปมากมายเก็บไว้อยู่ในแต่ละห้อง นอกจากนี้ยังได้เห็นถึงการออกแบบโครงสร้างของพระราชวังแห่งนี้รวมทั้งศิลปะที่ถูกถ่ายทอดมานับพันปี น่าเสียดายที่เหตุผลทางการเมืองทำให้ศิลปะบางส่วนถูกทำลายไป
ช่วงเย็นเป็นงานเลี้ยงเฉลิมฉลองความสำเร็จที่ได้เดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัยก่อนที่จะแยกย้ายกันไปเก็บสัมภาระเพื่อเดินทางต่อไปยังประเทศเนปาลในวันรุ่งขึ้น
วันที่สิบสอง
ทิเบต-เนปาล
เราเดินทางออกจากลาซา ตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อไปขึ้นเครื่องที่สนามบิน ระยะเวลาในการเดินทางจากลาซาไปสนามบิน ประมาณ 1 ชั่วโมง เราก็ถึงสนามบินแห่งชาติของทิเบต ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสายการบินภายในประเทศ ที่เดินทางจากเมืองต่างๆ ในประเทศจีนสู่ทิเบต ความจริง แล้วเราต้องไปที่เนปาล ก็เพื่อต่อเครื่องบิน โดยสายการบินไทย กลับกรุงเทพ ฯ
ไม่น่าเชื่อว่าเวลา 1 ชั่วโมงในการบินจากทิเบตถึงเนปาล สามารถเปลี่ยนทั้งอากาศและความรู้สึกของเราได้มากเพียงนี้ สนามบินทังกา ในกรุงกาฐมัณฑุ เมืองหลวงของประเทศเนปาลเป็นสนามบินนานาชาติเล็กๆ เทียบได้กับสนามบินในต่างจังหวัดของบ้านเรา นอกจากมีเที่ยวบินจากหลากหลายประเทศทั่วโลกมุ่งหน้ามายังสนามบินแห่งนี้แล้ว พื้นที่ส่วนหนึ่งของสนามบิน ยังใช้สำหรับให้เครื่องบินเล็กบินขึ้น/ลงสำหรับให้บริการนักท่องเที่ยว สามารถเช่าเหมาลำไปท่องเที่ยวรอบๆ ภูเขาเอเวอเรสต์เพื่อชมทิวทัศน์
เราได้ขึ้นรถบัสทรงโบราณ แบบไม่มีแอร์ แถมอากาศยังร้อนอบอ้าว ทำให้ทุกคนเแทบจะถอดเสื้อทิ้ง ประมาณ 20 นาทีก็ถึง พระสถูปโพธนาถ (BOUDTHNATH STUPA) เชื่อกันว่าเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ลักษณะของสถูปเป็นรูปโอ่งคว่ำสีขาว รอบๆสถูปมีตลาดขายของที่ระลึกล้อมรอบ ทำให้พวกเราดับร้อนด้วยการหลบเข้าไปชอพพิงกันในร้านเหมือนเช่นเคย
ตอนเที่ยงทานอาหารพื้นเมืองที่ภัตตาคารในเมือง ก่อนที่จะเข้าพักในโรงแรมวาซาลี ระดับ 4 ดาว ในเมือง ซึ่งดูแล้วคุณภาพยังได้แค่ 2 ดาวในบ้านเรา แต่โชคดีที่รอบๆ บริเวณเต็มไปด้วยตลาด เพราะตรงจุดที่พวกเราพักกันคืนนี้จะเป็นตลาดคล้ายๆ กับถนนข้าวสารในกรุงเทพ ฯ ผู้คนเดินเที่ยวกันขวักไขว่ ผับ ร้านอาหาร คอนเสิร์ท มีอยู่เต็ม
หลังจากเข้าพักที่โรงแรม ตอนเย็นพวกเราเดินทางไปสักการะสถูปสวยัมภูนาถ (SWAYUMBHUNATH STUPA) อายุร่วม 2,000 ปี ตั้งอยู่ที่วัดสวยัมภูนาถ บนเนินเขาสวยัมภูนาถ ทางทิศตะวันตกของหุบเขากาฐมัณฑุ พระสถูปแห่งนี้ถือเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนา และเป็นที่ประกอบพิธีกรรมบูชาเทพเจ้าของฮินดูด้วย
คืนนั้นตอนเย็นเราปิดท้ายด้วยอาหารพื้นเมือง มีการแสดงของชาวเนปาล ทำให้พวกเรากว่า 40 ชีวิต สนุกสนานกันอย่างเต็มที่ ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปชอพพิงและเดินเที่ยวบนถนนรอบๆ โรงแรม
วันสุดท้าย
กาฐมัณฑุ-กรุงเทพ ฯ
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่พวกเราคาราวาน ไฮลักซ์ วีโก สู่หลังคาโลก จะได้เดินทางกลับด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ดูจากสีหน้าของทุกคนนอกจากประทับใจกับการเดินทางครั้งนี้แล้วทุกคนยังคิดถึงบ้าน ครอบครัว และงานบนโต๊ะทำงานที่รอให้มาสะสาง
เราใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง โดยสายการบินไทย เดินทางกลับสู่กรุงเทพ ฯ โดยสวัสดิภาพในเวลา 18.40 น. ก่อนหอบหิ้วสัมภาระและความประทับใจที่ไม่อาจลืมเลือนไปได้ในการเดินทางทริพนี้ กลับบ้าน
ขอขอบคุณ
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด
บริษัท ทรานเอเซีย รูท จำกัด
คณาจารย์ ที่ให้ความรู้ตลอดการเดินทาง
อาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
อาจารย์วิโรจน์ ตั้งวาณิชย์
อาจารย์สมฤทธิ์ ลือชัย
ทิเบต (TIBET) เขตปกครองตนเองทิเบต หรือ ซีจ้าง
เขตปกครองตนเองทิเบต หรือ ซีจ้าง ในภาษาจีน เป็นดินแดนที่ได้รับฉายาว่าหลังคาโลกเพราะตั้งอยู่บนที่ราบสูงสุดของโลกบนความสูงเฉลี่ย 4,000 เมตร สามด้านของที่ราบสูงนี้ถูกปิดล้อมด้วยเขาหิมาลัยทางตอนใต้ เทือกเขาโครัมทางภาคตะวันตก และเทือกเขาตงกูลาทางตอนเหนือ
ชาวทิเบตเป็นกลุ่มชนเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ตามทุ่งหญ้ามานานนับศตวรรษ เมื่อชนเผ่าแมนจูเริ่มแผ่ขยายอำนาจยึดครองแผ่นดินจีน สถาปนาราชวงศ์ชิงคังซี จักรพรรดิผู้กล้าพระองค์หนึ่งราชวงศ์นี้ถือโอกาสยึดทิเบตหลังจากส่งกองทัพเข้าไปช่วยทำศึกกับชาวซุงการ์จนสำเร็จทิเบตถูกผนวกเข้าเป็นดินแดนในเขตปกครองจีนจนถึงสมัยสงครามล่าอาณานิคม และกบฎกลางเมือง ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ทำให้จีนศูนย์เสียการปกครองทิเบตไปในปี คศ. 1950
1 ปีหลังจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนสยบความวุ่นวายในประเทศได้ และจัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน กองทัพปลดปล่อยแห่งสาธารณรัฐ ฯ ได้บุกเข้าควบคุมทิเบตอีกครั้ง และปราบปรามชาวทิเบตที่ต่อต้าน ทศวรรษ 1960-1970 จีนทำการปฎิวัติวัฒนธรรม และทำลายมรดกทางวัฒนธรรมและศาสนาของทิเบตเสียหายจำนวนมาก องค์ดาไลลามะ ผู้นำสูงสุดของศาสนาต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ เกิดการประท้วงขึ้นเนืองๆ ทิเบตจึงกลายเป็นดินแดนลึกลับหลังม่านไผ่ ที่ใครๆ ก็อยากเข้าไปสำรวจ หลังจากจีนเริ่มเปิดทิเบตในต้นศตวรรษ 1980 ชาวต่างชาติจากทั่วโลกจึงหลั่งไหลเข้ามาเยือนทิเบตจำนวนมาก ปัจจุบันจึงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจีนอีกแห่งไปแล้ว
วัดจอคัง (JOKHANG TEMPLE) หรือ ต้าจาวซื่อ (DAZHAO SI)
วัดนี้สร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8 สมัยเดียวกับพระราชวังโพทาลา อายุกว่า 1,300 ปีสร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ พระศากยมุนี ที่เจ้าหญิงเหวินเฉินได้อาราธนามายังเมืองลาซา หลังจากที่ฮ่องเต้ ไท่จื้อ (พระราชบิดา) ได้ทรงพระราชทานเป็นของกำนัลให้แก่เจ้าหญิง เนื่องในวโรกาสงานอภิเษกสมรสของพระเจ้าซองเทนกัมโป (SONGTEN GAMPO) กษัตริย์แห่งทิเบต กับเจ้าหญิงเหวินเฉิน (WENCHENG) แห่งราชวงศ์ถัง
ตัวอารามสร้างตามหลักจักรวาลวิทยา แบบแมนดาลารูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ภายในมีของล้ำค่าที่ทำจากทองคำเก่าแก่นับพันปีมากมาย มีห้องเก็บพระพุทธรูปล้ำค่าจากเนปาล อินเดียรวมทั้งรูปปั้นลามะองค์ที่สำคัญๆ ในเทพต่างๆ ในศาสนาพุทธนิกายลามะ เช่น จงกาปา (TSONGKHAPA) ผู้บรรลุธรรมโดยไม่ได้บวชเป็นลามะ แต่เป็นอาจารย์ขององค์ดาไลลามะและเป็นผู้ก่อตั้งลามะนิกายลามะหมวกเหลือง หรือที่เรียกว่า เกลุกปะ (GELUGPA SECT) ส่วนความสำคัญของพระศากยมุนีนี้ ว่ากันว่าเป็นรูปหล่อของพระพุทธเจ้าด้วยทองคำแท้เมื่อตอนที่พระองค์ยังมีพระชนม์ชีพราว 2,500 ปีก่อน เพราะได้พบบันทึกสมัยราชวงศ์ของจีนที่มีมาก่อนพระพุทธเจ้าประสูติเสียอีก
พระราชวังโพทาลา (POTALA PLACE)
พระราชวังโพทาลา เป็นสถานที่สำคัญที่สุดของกรุงลาซา ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้วสร้างขึ้นในปี คศ. 1645 โดย ดาไลลามะองค์ที่ 5 มีคนงานก่อสร้างนับแสนคน เพื่อเป็นที่พักของผู้นำประเทศและผู้นำทางศาสนา ใช้เวลาก่อสร้างเกือบ 50 ปี จึงแล้วเสร็จสมบูรณ์นับเป็นอาคารสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นของโลก ยาว 400 เมตร กว้าง 350 เมตร สูง 13 ชั้นมีห้องต่างๆ เกือบ 2,000 ห้อง แต่ภายในจะเปิดให้ชมเพียงห้องหลักๆ ประมาณ 20 ห้องอาคารถูกสร้างเป็นแบบทรงพิรามิดวางซ้อนกัน แบ่งเป็น 2 ส่วน
ส่วนที่ 1 ตัวอาคารที่ทาสีขาวเป็นวังชั้นนอก สร้างเสร็จในปี คศ. 1648 เรียกว่า ตำหนักขาวเป็นส่วนที่สร้างขึ้นก่อนใช้เป็นที่ประทับขององค์ดาไลลามะ และเป็นหอสวดมนต์ส่วนพระตำหนักบนยอดสุดเป็นวังชั้นใน เรียกว่า ตำหนักแดง สร้างขึ้นหลังตำหนักขาวเกือบ
50 ปี ใช้เก็บของล้ำค่ามากมาย และยังใช้เป็นที่ประกอบพิธีทางศาสนา ภายในมีแท่นบรรจุพระศพขององค์ดาไลลามะองค์ที่ 5 ซึ่งสิ้นพระชนม์ในปี คศ. 1682 โดยมีการปิดข่าวไว้เป็นความลับนาน 12 ปี เพราะเกรงว่าวังจะสร้างไม่เสร็จ และที่สำคัญเกรงว่าทางการจีนจะทราบทำให้เกิดความไม่สงบ จนกระทั่งพระตำหนักแดงสร้างเสร็จจึงได้เปิดเผยการสิ้นพระชนม์
จากนั้นมา พระราชวังโพทาลา ยังอยู่ยืนยงมานับแต่บัดนั้น โดยใช้เป็นที่ประทับ และเป็นสัญลักษณ์แสดงอำนาจทั้งทางโลกและทางธรรม ขององค์ดาไลลามะ หลายพระองค์จนกระทั่งจีนได้บุกทิเบตในปี คศ. 1950 ในช่วงที่องค์ดาไลลามะที่ 14 มีพระชนม์เพียง
15 พรรษา โดยจีนยอมให้ดาไลลามะมีอำนาจได้อย่างจำกัด จนถึง ปี คศ. 1959 เมื่อดาไลลามะ พยายามแข็งข้อแต่ไม่สำเร็จ จึงต้องทรงลี้ภัยไปอยู่ที่อินเดีย จากนั้นมาทิเบตได้อยู่ในอาณัติและกลายเป็นเขตปกครองพิเศษทิเบต (มลฑลซีจ้าง) ของจีนในปี คศ. 1965
ประเทศเนปาล
เนปาล เป็นประเทศเล็กๆ ที่เรียกเป็นทางการว่า ราชอาณาจักรเนปาล (THE KINGDOM OF NAPAL) มีพื้นที่ 147,181 ตารางกิโลเมตร แผนภูมิของประเทศเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า พาดเป็นแนวนอนอยู่ทางตอนใต้ของทิศตะวันตก พรมแดนทางทิศเหนือติดกับทิเบต และจีนส่วนทางทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก ถูกโอบล้อมด้วยประเทศอินเดีย ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาสูง มียอดเขาที่สูงที่สุดในโลกคือ ยอดเขาเอเวอเรสต์ สูงถึง 8,848 เมตร ชาวบ้านเรียกกันว่า สาการมาธา หรือ สาครมาธา แปลว่า มารดาแห่งแม่น้ำ ในบรรดายอดเขาที่สูงสุดในโลก มี 18 ยอดที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล กว่า 7,800 เมตร และจำนวน 10 ยอดอยู่ในประเทศเนปาล
เนปาลมีประชากรทั้งหมด 26 ล้านคน ประกอบด้วยกลุ่มชนหลายเผ่าพันธุ์อยู่รวมกัน ได้แก่ เนปาลี 53.2 % พิหารี 18.4 % ธารุ 4.8 % เนวาร 3.4 % ส่วนที่เหลือจะเป็นชนเผ่าต่างๆรวมทั้ง กรูข่า ซึ่งแปลว่า นักสู้ผู้กล้าหาญ ที่อาศัยอยู่ในแถบตอนเหนือด้วย ชาวเนปาลจะนับถือศาสนาฮินดูเป็นหลัก ประมาณ 80 % รองลงมาเป็น พุทธ 8 % อิสลาม 3 % คริสต์ 2.5 % นอกนั้นจะเป็นลัทธิต่างๆ
เนปาลได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ประสูติขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสนาพุทธจึงแพร่หลายในแถบนี้ ในยุคแรกๆ ความเจริญที่พัฒนาขึ้นทั้งหลายมาจากกลุ่มคนที่นับถือศาสนาพุทธทั้งสิ้น แม้จะมีเจ้าครองเมืองที่เป็นอิสระต่อกัน แต่บางยุคจะถูกรวมไว้ด้วยกัน จนปี 2312 ถึงได้รวมเป็นประเทศเนปาล แต่ก็ต้องใช้เวลาถึง 2 ศตวรรษ ในการต่อสู้เพื่อปกป้องประเทศจากการถูกรุกราน
มหาสถูปแห่งเนปาล
สถูปสำคัญที่ควรเดินทางไปเที่ยวชมและสักการะในกาฐมัณฑุ มีความเก่าแก่และงดงามมีอยู่ 2 องค์ คือ สถูปสวยัมภูนาถ (SWAYUMBHUNATH STUPA) อายุร่วม 2,000 ปี ตั้งอยู่ที่วัดสวยัมภูนาถ บนเนินเขาสวยัมภูนาถ ทางทิศตะวันตกของหุบเขากาฐมัณฑุพระสถูปแห่งนี้ถือเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนา และเป็นที่ประกอบพิธีกรรมบูชาเทพเจ้าของฮินดูด้วย
อีกแห่งเป็นมหาสถูปองค์ใหญ่สุดของเนปาล พระสถูปโพธนาถ (BOUDTHNATH STUPA)เชื่อกันว่าเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า อยู่ห่างจากกรุงกาฐมัณฑุ ประมาณ 6 กิโลเมตร ลักษณะของสถูปเป็นรูปโอ่งคว่ำสีขาว การสักการะนิยมใช้น้ำผสมหญ้าฝรั่งสาดรดองค์สถูปจนกลายเป็นสีเหลืองอร่าม บริเวณรอบๆ นั้นจะมีผู้แสวงบุญเดินประทักษิณรอบสถูป โดยใช้มือขวาสัมผัสวงล้อมนต์ ที่เรียงเป็นแนวตลอดทางเดินรอบลานจัตุรัสกาฐมัณฑุทุรพาร์
ABOUT THE AUTHOR
ณ
ณัฐเวช ยอดแสง
ภาพโดย : ณัฐเวช ยอดแสงนิตยสาร 417 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2549
คอลัมน์ Online : พิเศษ(4wheels)