โค้งอันตราย
เริงร่าปีใหม่
คงขึ้นหัวเรื่องไม่ผิดไปจากความจริงมากนัก เพราะจากยอดการขายแค่ 11 เดือน ขายกันได้แล้ว 707,235 คัน แซงตัวเลขยอดขายของปี 2548 ที่เป็นตัวเลขยอดขายสูงสุดของประเทศไปเรียบร้อย เพราะปีนั้นพอขายกันได้ 703,432 คัน ก็เริงร่ากระดี้กระด้า กันทั้งวงการมาแล้ว
โดยเฉพาะตลาดรถยนต์นั่ง มีอัตราการเติบโตขึ้นไปถึง 52.0 % เพราะมีรถยนต์นั่งขนาดเล็ก เพิ่มเข้ามาในตลาด ยิ่งปีหน้า จะยิ่งเพิ่มมากกว่านี้อีก
และขอบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ของงาน "มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 27" ที่ทำงานกันมา 27 ปี ปีนี้ยอดจองรถยนต์ในงานพีคสูงสุดเป็นครั้งแรก ทำได้ 33,058 คัน
โดยมีลูกค้าจองรถยี่ห้อ โตโยตา มากที่สุด 8,309 คัน ที่สอง ฮอนดา จอง 3,918 คัน ที่สาม อีซูซุ 2,902 คัน ที่สี่ นิสสัน 2,879 คัน และที่ห้า มาซดา จอง 2,727 คัน
มาดูความเป็นไปในวงการยานยนต์บ้านเรากัน
เรื่องแรก ภาครัฐเผยออกมาแล้ว ว่ากระทรวงอุตสาหกรรม กำลังปรับปรุงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ โดยจะใช้อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นตัวกำหนด ข้อที่ 2 อัตราการปล่อยไอเสีย และมาตรฐานด้านความปลอดภัย เป็นฐานในการคำนวณภาษี ทั้งนี้จะให้ระยะเวลากับค่ายรถยนต์ในการเตรียมตัวปีครึ่ง ถึง 2 ปี
เดิมนั้น ระบบการจัดเก็บภาษีรถยนต์ อ้างอิงกับขนาดของเครื่องยนต์เป็นหลัก แต่จากแนวคิดของโครงสร้างใหม่นี้ จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ และลดความซ้ำซ้อน ความไม่เหมาะสมของโครงสร้างเดิม และคาดว่าการปรับโครงสร้างภาษีครั้งนี้ ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อรถยนต์อีโคคาร์ เพราะน่าจะมีการพิจารณาถึงเรื่องดังกล่าวอย่างถ่องแท้ บนพื้นฐานเดียวกัน เพื่อให้เกิดความยุติธรรมมากที่สุด
ส่วนประเด็นที่ไม่ได้นำโครงสร้างใหม่ไปใช้ในการจัดเก็บภาษีรถพิคอัพ ที่ปัจจุบันเก็บอยู่อัตรา 3 ถือเป็นเรื่องที่เหมาะสม ยังเป็นการช่วยปกป้องรถประเภทนี้ เนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยีของรถดังกล่าวนั้นทำได้ค่อนข้างยาก บวกกับการจัดเก็บในปัจจุบัน ถือว่าเหมาะสม
ความเห็นในการพิจารณาปรับอัตราภาษีสรรพสามิตนี้ ค่ายรถยนต์ส่วนใหญ่ก็เข้าไปพบปะพูดคุยกันมาแล้ว ก็ต้องคอยภาครัฐว่าจะปรับกันอย่างไร
แต่ไม่ว่าจะปรับกันอย่างไร ก็ขอให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการวัดอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง การวัดอัตราการปล่อยไอเสีย ที่เป็นของใหม่เอี่ยม หรือมาตรฐานด้านความปลอดภัย ทั้ง 3 เรื่องนี้ ต้องมีมาตรการที่ชัดเจน และเป็นธรรมกับผู้ประกอบการ
สำคัญแต่ว่า พอประกาศออกมาแล้ว ส่วนราชการอื่นๆ ก็โยเยโยกโย้ ขอแค่หลักฐานอ้างอิงจากบริษัทแม่เท่านั้น มันไม่พอนะนาย ภาครัฐก็ต้องมีหน่วยงานที่ตรวจสอบเรื่องพวกนี้เช่นกัน
เพียงแต่ว่า ใครจะทำ เท่านั้นแหละ
เรื่องถัดมา ก็เกี่ยวพันกับเรื่องข้างบนนั่นเหมือนกัน เพราะเป็นเรื่องน้ำมันเชื้อเพลิง อี 85 ที่ตอนนี้ หัวมันสด/ มันเส้น และกากน้ำตาล ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญ ต่างปรับราคาสูงขึ้น ส่งผลต้นทุนผลิตเอธานอลปาเข้าไปลิตรละ 26 บาท แต่บริษัทน้ำมัน บีบโรงงานรับซื้อมาทำเป็น อี 10-อี 20-อี 85 แค่ลิตรละ 22 บาท ไม่ยอมให้ปรับราคาขึ้น อ้างสตอคเต็ม
ขณะที่ต้นทุนผลิตเอธานอลของโรงงานที่ใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ คำนวณตามสูตรราคาของกระทรวงพลังงานอยู่ที่ 26.73 บาท/ลิตร ส่วนโรงงานเอธานอล ที่ใช้กากน้ำตาลเป็นวัตถุดิบอยู่ที่ 26.43 บาท/ลิตร ถูกบริษัทผู้ค้าน้ำมัน กำหนดราคารับซื้ออยู่ระหว่าง 22-23 บาท/ลิตร โดยที่โรงงานไม่สามารถปรับขึ้นราคาจำหน่ายเอธานอลให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงได้
ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ ตลาดเอธานอลเป็นของผู้ซื้อ เพราะกำลังผลิตรวมของโรงงานเอธานอลล้นเกินความต้องการ ส่งผลให้แต่ละโรงงานผลิตไม่เต็มกำลังผลิต บริษัทผู้ค้าน้ำมันจึงสตอคเอธานอลไว้เต็มที่ อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 3 เดือน ทำให้โรงงานเอธานอลไม่มีข้อต่อรอง
โรงงานก็เหลือทางเลือกอยู่เพียง 2 ทาง คือ ปิดโรงงานเป็นการชั่วคราว หรือนำวัตถุดิบ มันเส้น/กากน้ำตาล ส่งออก ผลเสียที่จะตามมา ก็คือ ไตรมาสแรกของปี 2554 ปริมาณเอธานอลอาจจะมีไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ของบริษัทผู้ค้าน้ำมัน เมื่อสตอคเก่าหมดลง
ก็ต้องมาดูกันว่า นอกจากปัญหาเรื่อง เอธานอล แล้ว ยังมีปัญหาเรื่องจะบังคับใช้น้ำมันดีเซล บี 5 อีกเรื่อง ที่ตอนนี้กลายเป็นแม่สายบัวไปแล้ว เพราะประกาศเลื่อนออกไปก่อน
ดูว่า ใครจะมีน้ำยากันขนาดไหน แค่นั้นแหละ
ก็ต้องมาคอยดูกันต่อไปว่า ทิศทางในการพัฒนาวงการยานยนต์บ้านเรา ที่จะถูกกำหนดโดยมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ จะก้าวไปทางไหน
อี 85 ราคาถูกกว่าน้ำมันเบนซินปกติ ราว 30 % แต่ความสิ้นเปลืองก็มากกว่าเกือบ 30 % เหมือนกัน รวมทั้งปัญหาเรื่องต้นทุนการผลิตเอธานอล ที่เล่ามาให้ฟังข้างบน
แกสธรรมชาติ แอลพีจี หรือ ซีเอนจี จะให้ไปทางไหนกันแน่ แอลพีจี สำหรับรถนั่งขนาดเล็ก หรือ ซีเอนจี สำหรับรถโดยสารขนาดใหญ่ หรือทั้ง 2 อย่าง
น้ำมันดีเซล บี 5 ก็ไปเกี่ยวกับวัตถุดิบที่จะเอามาผลิตอีกนั่นแหละ
รถไฟฟ้า บ้านเราไปถึงตรงนี้แล้วหรือ
รถไฮบริด แน่ใจเรื่องแบทเตอรี ที่เอามาใช้แล้วหรือ ว่าใช้รุ่นไหนกันแน่ แล้วจะหาซื้อวัตถุดิบในการผลิตมาจากไหน
ยิ่งปีหน้านี้ มี อีโคคาร์ ออกสู่ตลาดอีกยี่ห้อ รถยนต์นั่งขนาดเล็ก ก็จะยิ่งมีปริมาณที่เพิ่มขึ้น
แต่เพิ่งเห็นข่าวอีโคคาร์ ที่ออกขายในเมืองอินเดีย ท่านว่าใส่เครื่องยนต์ดีเซล ทำออกมาขายแล้ว ของเมืองไทยนี่สัมภาษณ์ถามยี่ห้อไหน ก็ตอบตรงกันเด๊ะ ว่าไม่มี
อ๋อ มันไม่ได้ 100 กม./5 ลิตร ใช่ไหมจ๊ะนาย
อินตระเดียมาน ไม่มีข้อกำหนดข้อนี้หรือจ๊ะ 555
เรื่องโดย : มือบ๊วยformula@autoinfo.co.th
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2554
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/82511